“ท่านพูดผิดแล้ว!”
“อะไรนะ”
หมิงเวยตอบ “คนตายไม่สามารถเก็บความลับได้”
คุณชายหยาง “….”
หมิงเวยจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะเป็นคนตายแบบใด ข้าก็สามารถทำให้พวกเขาเปิดปากบอกได้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณชายหยางค่อยๆ หายไป มือที่กดนางอยู่ขยับขึ้นไปที่คอระหงราวกับจะบีบคอนางทันทีที่นางพูดจาไม่เข้าหู
หมิงเวยหายใจเบาๆ หลังจากเผชิญหน้ากันไม่นานนางก็สัมผัสได้ถึงอุปนิสัยของคุณชายหยางผู้นี้ได้ ภายใต้หน้ากากเสเพลของเขาได้ซ่อนตัวตนที่โหดร้ายเอาไว้อยู่ เขาไม่ชอบให้ผู้อื่นโกหก ยิ่งหยอกกันมากเท่าใด เขายิ่งไม่ปรานี
พลังของนางในตอนนี้ต่ำมาก หากอยากออกไปจากที่นี่มีเพียงทางเดียวคือต้องจัดการเขาเท่านั้น คุณชายหยางหลุบสายตามองนางโดยปราศจากรอยยิ้มบนใบหน้า
ใบหน้าสำรวมตน สายตามองมายังนางราวกับตรวจสอบ แต่หมิงเวยมองว่าเป็นเรื่องที่ดี นั่นหมายความว่าเขาได้ถอดเปลือกนอกของเขาออกแล้ว
“ท่านเป็นใครกันแน่”
ไม่รอให้หมิงเวยตอบ คุณชายหยางก็พูดต่อว่า “อย่าสร้างเรื่องให้เสียเวลาเลย ข้าให้คนไปสอบถามก่อนหน้านี้แล้ว คุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงเกิดมาโง่เขลา หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเจอภูติผีจนตกใจกลัว แล้วจู่ๆ ก็หายเป็นปกติ ตามคำบอกเล่าของคนในตระกูลหมิง เสวียนหนี่เหนียงเหนียงสัมผัสได้ถึงความจริงใจของฮูหยินสามจึงส่งวิญญาณที่ลอยหายไปกลับมา…”
พูดถึงเรื่องนี้เขาก็หัวเราะออกมา “แต่งเรื่องมาได้ดี แต่ข้าไม่เชื่อในเรื่องเทพเจ้า”
หมิงเวยกลืนความคิดของตนกลับเข้าไปอย่างเงียบๆ นางไม่ได้เจอคนดื้อรั้นเพียงนี้มานานมากแล้ว
ต้องบอกว่าความสามารถของนางก่อนหน้านี้ ไม่จำเป็นต้องโกหกอันใดทั้งนั้น!
ทำก็ทำ ไม่พอใจก็ลงมือเสีย!
ทว่าตอนนี้เขาไม่พอใจก็สามารถลงมือกับนางได้จริงๆ…
คุณชายหยางคว้าข้อมือของนาง ค่อยๆ คลึงฝ่ามือทีละนิ้ว สัมผัสมันอย่างระมัดระวัง นี่ไม่ใช่การคลึงที่อ่อนหวานคลุมเครือของชายหญิง แต่เพื่อต้องการแน่ใจบางสิ่งบางอย่าง
“เป็นมือที่บอบบางมาก” เขาพูดเบาๆ “เหมือนได้รับการดูแลเอาใจใส่อยู่ตลอดเวลา นิ้วถึงได้เรียวสวยเช่นนี้ ง่ามมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้บางมาก ขอบฝ่ามือบวมแดงเล็กน้อย กระดูกนิ้วไม่ผิดรูปดูเหมือนจะเพิ่งเริ่มฝึกวรยุทธ์…”
พูดถึงตรงนี้แววตาของเขาเฉียบคมขึ้น “แต่ว่าวิธีการรับมือของท่านเมื่อครู่ดูเชี่ยวชาญมาก ในช่วงเวลาที่เร่งรีบ แสงไม่เพียงพอ แต่กลับรับรู้จุดเลือดลมบนร่างกายได้อย่างแม่นยำ ใช้ขลุ่ยต่อกรกับฝ่ามือแล้วยังพบข้อต่อที่อ่อนที่สุด หากไม่มีทักษะมากกว่าสิบปีคงไม่ทำได้ถึงเพียงนี้แน่”
“เพราะฉะนั้นท่านไม่ใช่คุณหนูเจ็ด” เขาเดินเข้ามาหา และพูดย้ำทีละคำข้างหูนาง “ท่านเป็นวิญญาณจากที่ใดกัน”
หมิงเวยเงียบสักพักแล้วตอบกลับ “ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าจะโชคไม่ดีเสียแล้ว ไม่ระวังตัวจนหลงทางแล้วยังมาถูกเปิดเผยความลับอีก”
“ผิดแล้ว”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
เขาตอบว่า “ตอนที่ท่านเป่าขลุ่ย ความลับของท่านก็ได้รั่วไหลออกมาแล้ว”
“อ้อ…”
“บทเพลงนั่นแต่งขึ้นโดยเสวียนชื่อท่านหนึ่งเมื่อร้อยปีก่อน ชื่อเดิมของบทเพลงนี้คือถามสวรรค์ แต่เพราะเขากวาดล้างโลกมนุษย์ และมักใช้บทเพลงนี้เพื่อนำทางวิญญาณ เพราะฉะนั้นบทเพลงนี้จึงมีอีกชื่อหนึ่งคือ นำทางวิญญาณ”
คุณชายหยางยิ้ม “บทเพลงนี้แทบจะไม่เป็นที่แพร่หลายในหมู่ผู้คน ผู้ที่รู้จักบทเพลงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเสวียนชื่อ ท่านมาจากที่ใดกันถึงได้รู้จักบทเพลงนี้”
หมิงเวยพยายามรักษาระดับการหายใจแล้วยิ้มตอบกลับด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกัน “คุณชายเองก็รู้จักบทเพลงนำทางวิญญาณนี้ด้วยหรือ ดูเหมือนท่านเองก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน!”
ฝ่ามือนั้นกดเข้าที่คอนางหนักขึ้นจนทำให้นางร้องครางออกมา “หากเมื่อครู่ท่านกลับไปอย่างว่าง่าย ข้าคงไม่มีเวลามาสนใจในตัวท่าน แต่ท่านดันบังเอิญหลงทางมาอยู่ที่นี่…”
“คุณชายไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าข้าตั้งแต่แรกแล้วหรือ” หมิงเวยแปลกใจ “ในเมื่อรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ เหตุใดจึงต้องมาพูดคุยโดยไม่เกรงกลัวผู้ใดเช่นนี้ด้วยเล่า”
“เปล่าหรอก” คุณชายหยางหัวเราะเบาๆ “ท่านซ่อนตัวได้ดีมาก ในตอนแรกข้าไม่รู้ตัว จนกระทั่งเมื่อสักครู่นี้ตอนที่ข้าเขียนจดหมาย การหายใจของท่านหนักขึ้นเล็กน้อย ท่านอยากรู้หรือว่าข้าเขียนสิ่งใดลงไป”
หมิงเวยเข้าใจขึ้นมาโดยฉับพลัน “เพราะเหตุนี้ท่านถึงได้เผามันสินะ”
“เอาล่ะ! ข้าตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของท่านแล้ว ท่านควรตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของข้าบ้างไม่ใช่หรือ” เขาถามเสียงนุ่ม “แม่นางหมิง ท่านเป็นใคร มาจากที่ใดกัน หากท่านสารภาพความจริงอย่างตรงไปตรงมาล่ะก็ ไม่แน่ข้าอาจมอบทางรอดแก่ท่านก็เป็นได้”
แสงสว่างวาบขึ้นในความคิดของหมิงเวย ฟังจากบทสนทนาเมื่อครู่ นางรู้ได้เลยว่าคุณชายหยางผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทเป็นอย่างมาก
อีกอย่างเขายังเป็นวรยุทธ์ ทั้งยังเจ้าแผนการเช่นนี้
เนื่องจากร่างกายของนางอ่อนแอจึงไม่สามารถแตกหักกับตระกูลหมิงได้ แต่เมื่อเทียบตระกูลหมิงกับเขาที่อยู่ตรงหน้านางแล้วละก็ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลย
หากรีบออกจากตระกูลหมิงให้เร็วที่สุดได้ ฮูหยินสามจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป หมิงเวยตัดสินใจตอบกลับเขา
“ในเมื่อคุณชายรู้จักบทเพลงนำทางวิญญาณ ท่านคงรู้ว่าเสวียนชื่อผู้แต่งบทเพลงนี้ขึ้นมาคือผู้ใด”
คุณชายหยางกะพริบตา
หมิงเวยพูดต่อว่า “เขาแซ่หนิง มีนามว่าจุน ในวัยเยาว์เขาเป็นคุณชายผู้ร่ำรวยผู้หนึ่ง แต่เมื่อเขาอยู่ในวัยหนุ่มครอบครัวตกอับจนต้องเร่ร่อนไปทั่ว จนเขาได้ค้นพบเคล็ดวิชาเข้าโดยบังเอิญ ยามเข้าสู่วัยกลางคนเขาเริ่มมีชื่อเสียง แต่เขากลับสูญเสียภรรยาและบุตรสาวไปเพราะศัตรูของเขา เพื่อที่จะล้างแค้นเขาใช้เวลาเกือบยี่สิบปี กราบไหว้อาจารย์ทั่วทิศจนกลายเป็นปรมาจารย์ หลังจากแก้แค้น ก็ได้พบกับผู้มีความสามารถชี้ทางให้ เขาจึงปลง ยามเขาแก่เฒ่าทั่วหล้าประสบกับความวุ่นวาย เขาตระเวนไปทั่ว คอยช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วนและได้รับชื่อเสียงมากมาย ในท้ายที่สุดเขาใช้ร่างกายของเขาปราบปรามวิญญาณชั่วร้าย ช่วยชีวิตผู้สืบทอดเสวียนเหมิน เปลี่ยนกายให้กลายเป็นอากาศที่สะอาดแก่โลกมนุษย์”
“เขาเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชา เรียนรู้จุดแข็งของผู้อื่นเพื่อให้ตนแข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งเขายังมีความเมตตากรุณา เสวียนชื่อทั่วหล้ายกให้เขาเป็นที่หนึ่ง แล้วยังมอบสมญานามเพียงหนึ่งเดียวให้กับเขา”
หมิงเวยมองเข้าไปในดวงตาของเขาและพูดคำสองคำเบาๆ “ปรมาจารย์แห่งชีวิต”
คุณชายหยางมองนางแต่ไม่พูดอันใดออกมา
“นี่เป็นเรื่องราวของปรมาจารย์แห่งชีวิตรุ่นแรก หลังจากนั้นปรมาจารย์แห่งชีวิตได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ถือเอาใต้หล้าเป็นความรับผิดชอบของตนเอง หลังจากการสืบทอดไปประมาณหนึ่งร้อยปี ปรมาจารย์แห่งชีวิตในยุคสมัยนั้นก็หายตัวไปโดยไม่คาดคิด ตั้งแต่นั้นมาชื่อของปรมาจารย์แห่งชีวิตผู้นั้นได้หายไปจากโลก”
หมิงเวยหัวเราะ “แม้ว่าจะไม่ค่อยมีผู้ใดได้ยินบทเพลงนำทางวิญญาณ แต่ก็ยังมีผู้ที่สามารถเล่นเพลงนี้ได้ แต่นอกเหนือจากผู้สืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิตแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถบรรเลงบทเพลงนี้ได้”
คุณชายหยางมองนางด้วยสายตาที่ลึกล้ำ
หมิงเวยมองกลับไปเงียบๆ “ท่านต้องการอันใด” ในที่สุดเขาก็ถาม แรงที่คอผ่อนคลายลงเป็นครั้งแรก หมิงเวยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “คุณชายคงทราบว่าข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ตระกูลหมิงส่งท่านมา” หมิงเวยรู้สึกประหลาดใจเมื่อเขาตอบอย่างไม่แยแส
คุณชายหัวเราะเยาะ “ท่านคงไม่คิดว่ามีแค่พวกท่านตระกูลหมิงเท่านั้นที่ทำเรื่องเช่นนี้ใช่หรือไม่”
“….” นางประเมินจริยธรรมของผู้ดีเหล่านี้มากเกินไปจริงๆ!
“ข้าอยากออกจากตระกูลหมิงแล้วไปเมืองหลวงกับท่านแม่” นางบอก
เขาตอบกลับ “ท่านต้องพิสูจน์ว่าท่านมีประโยชน์”
หมิงเวยหัวเราะ “ข้าไม่ได้บอกท่านหรือว่าไม่ว่าจะเป็นคนตายแบบใด ข้าก็สามารถทำให้เขาเปิดปากพูดได้ ท่านไม่ได้มองหาคนตายอยู่หรอกหรือ แต่ละคนมีด้านที่เก่งไม่เหมือนกัน เรื่องนี้ให้ผู้ที่ถนัดจัดการไม่ดีกว่าหรือ”
คุณชายหยางเหลือบตามองนาง “ท่านบอกว่าท่านเป็นผู้สืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิต ข้าต้องเชื่อท่านอย่างนั้นหรือ ท่านพูดเองว่าผู้สืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิตได้หายตัวไปแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าท่านเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม”
“ตัวจริงก็ดี ตัวปลอมก็ดี แต่มีความสามารถไม่ดีหรืออย่างไร” คุณชายหยางหรี่ตาคิดพิจารณา แล้วจู่ๆ เขาก็เคลื่อนไหว มือข้างที่กุมคอของนางเปลี่ยนไปจับคอเสื้อแล้วฉีกมันลง
“แคว้ก” เสียงเสื้อฉีกขาดเผยให้เห็นผิวขาวราวกับหิมะ เขาไม่ลังเลที่จะโน้มตัวลงและกดใบหน้าของเขาไปที่ซอกคอของนาง
หมิงเวยตกตะลึงไปชั่วขณะ การสัมผัสทางผิวหนังที่มากกว่าปกตินี้ทำให้นางรู้สึกอึดอัดมาก และต้องการที่จะหลุดพ้นโดยเร็ว
ในเวลานั้นเองประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามา “คุณชายสาม ท่าน…”
……………………………………………………………