ทันทีที่คุณชายหยางและเหลยหงเดินออกไป คนอื่นๆ ต่างก็รีบหนีออกไปทีละคน พวกเขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่ารองเท้าตนจะหลุดหรือเสื้อจะขาด ไม่ว่าจะเป็นนางขับร้องหรือเหล่าคุณชาย ต่างก็รีบหนีออกไปโดยเร็วที่สุด
ใช้เวลาเพียงไม่นานผู้คนก็เดินหนีออกไปจนหมดเหลือเพียงเงาที่ลอยอยู่ภายในห้อง หมิงเวยมองขลุ่ยในมือแล้วพูดกับตัวเอง “ช่างแปลกใหม่เสียจริง สิ่งนี้น่าสนใจไม่น้อย…”
พูดจบนางก็เตรียมตัวเดินออกไป วิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้จะสลายไปเมื่อดวงอาทิตย์ยามเช้ามาถึงจึงไม่ต้องกังวลอันใดมาก หมิงเวยผลักประตูแต่พบว่านางไม่สามารถผลักออกไปได้จึงกลับไปตามทางเดียวกันกับตอนที่นางมา
ห้องนี้มีขนาดใหญ่เกินเหตุรอบๆ ห้องถูกม่านหนาปิดทึบเอาไว้ นางเลิกม่านชั้นหนึ่งขึ้น พอเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็เจออีกชั้นหนึ่ง เดินแบบนี้ไปสักพัก หมิงเวยก็พบปัญหาใหญ่เข้า
นางหลงทางแล้ว…
ทุกคนต่างก็มีจุดแข็งและจุดอ่อน นางเป็นคนที่เรียนรู้เร็วตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด เพียงครู่เดียวนางก็เข้าใจแล้ว แต่นางเข้าใจเกี่ยวกับโลกภายนอกได้ช้ามาก จำคนไม่ค่อยได้นับเป็นเรื่องหนึ่ง จำทางไม่ได้ก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน
หากอยู่ด้านนอกยังสามารถใช้เข็มทิศและการพยากรณ์ดวงดาวช่วยบอกตำแหน่งได้ แต่ภายในห้องนี้เหมือนกันหมดทุกอย่าง ไม่มีการอ้างอิงได้เลย นางจึงหมดปัญญา
นางจึงทำได้แค่ถามงูขาว “เจ้าจำทางออกได้หรือไม่”
งูขาวตัวน้อยสับสน “ข้า…ข้าอยู่ในแขนเสื้อของท่านจึงมองทางไม่ค่อยชัด…”
จบกัน ความหวังของนางหายไปแล้ว ตอนนี้พลังนางเหลือน้อยเต็มที คิดจะจับจิตอสูรมาถามยังทำไม่ได้เลย นางทำได้แค่เดินไปมั่วๆ เพียงเท่านั้น
หมิงเวยเดินไปฟังเสียงเคลื่อนไหวไป ทั่วทั้งห้องนี้มีแต่วิญญาณเร่ร่อนลอยอยู่รอบๆ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าวิญญาณพวกนั้นไปที่ใดกัน ต้องโทษฉีตงจวิ้นอ๋องที่สร้างห้องได้ใหญ่ถึงเพียงนี้ ความเพลิดเพลินเช่นนี้ก็เป็นแค่ความโลภมากไม่รู้จักพอของเขา ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะถูกจับในไม่กี่ปีต่อมา
หลังจากเดินไปสักพักหมิงเวยก็ยกม่านหนาขึ้นอีกครั้ง และในที่สุดก็เห็นเครื่องเรือนที่แตกต่างออกไป นางผลักประตูเข้าไปก็พบว่าที่นี่เป็นห้องนอนชั่วคราว
ไม่มีใครอยู่ในห้องนี้ แต่ไฟกลับส่องสว่าง และเตาป๋อซานบนโต๊ะยังมีไฟติดอยู่ ในขณะที่หมิงเวยกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น งูขาวตัวน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ในแขนเสื้อของนางก็ร้องเตือนขึ้นว่า “มีคนมาเจ้าค่ะ!”
นางครุ่นคิดอยู่เพียงครู่หนึ่ง หากพบใครสักคนในเวลานี้ และคนผู้นั้นสามารถพานางออกไปจากที่แห่งนี้ได้คงจะดีไม่น้อย เพียงแต่นางไม่แน่ใจว่าพวกชนชั้นสูงมีเรื่องสกปรกอยู่มากน้อยเพียงใด หากดันไปพบผู้ที่ไม่ควรเห็นเข้า…ซ่อนตัวก่อนดีกว่า นางเหลือบมองหาที่ซ่อนแล้วเข้าไปซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้า
ทันทีที่นางปิดบานตู้ก็มีคนเข้ามาพอดี “ข้างนอกวุ่นวายเช่นนี้ ท่านจะไม่สนหน่อยหรือขอรับ”
เสียงนี้ทำเอาหมิงเวยชะงัก นางมองลอดผ่านฉลุลายดอกไม้แล้วก็เห็นว่าเป็นเหลยหง มีชายผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเหลยหง ทันทีที่เข้ามาเขาก็นั่งลงเท้าแขนกับพนักเก้าอี้ ยกขาขึ้นบนโต๊ะอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์
“วุ่นวายแล้วไม่ดีหรือ สายตาที่จ้องมายังพวกเรา เหมือนโดนผีพวกนั้นหลอกจนตกใจวิ่งหนีไปเลย” พูดถึงเรื่องนี้เขาก็ยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “น่าสนใจมาก! ช่างน่าสนใจจริงๆ! ทำไมข้าถึงคิดวิธีเช่นนี้ไม่ออกนะ”
น้ำเสียงของเหลยหงดูจนปัญญาเป็นอย่างมาก “คุณชาย…”
เขาหันไปด้านข้างแล้วในที่สุดหมิงเวยก็เห็นหน้าของชายผู้นั้นอย่างชัดเจนที่แท้ก็เป็นคุณชายหยาง
เหลยหงพูดต่อ “เรื่องวิญญาณเร่ร่อนปรากฏตัวต้องมีสาเหตุเป็นแน่ พวกเราควรตรวจสอบดีหรือไม่ขอรับ”
“ไม่จำเป็นหรอก” เขาโบกมือพร้อมรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเกิดอันใดขึ้น”
“คุณชาย”
“เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้” เขาพูด “กว่าจะได้พูดคุยกันอย่างสบายใจเช่นนี้ไม่ง่ายเลย พูดเรื่องของท่านมาก่อนเถอะ”
เพราะเป็นเรื่องสำคัญเหลยหงจึงต้องพักหัวข้อก่อนหน้านี้ไปแล้วรายงานแก่เขา “ใต้เท้าได้เปิดอ่านเอกสารของเมืองตงหนิงในหลายๆ ปีที่ผ่านมาแล้วขอรับ แต่ไม่พบเบาะแสใดๆ”
“ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอันใดเลย มันเป็นเรื่องเมื่อสิบปีก่อนซึ่งนานมาแล้ว อีกทั้งหากเป็นการฆ่าฝังศพ เจ้าหน้าที่ย่อมไม่มีทางหาพบอยู่แล้ว” หมิงเวยฟังบทสนทนาของทั้งสองคนแล้วรู้สึกแปลกใจ พวกเขามาเพื่อสืบคดีเมื่อสิบปีก่อนงั้นหรือ เหมือนว่าพวกเขากำลังตามหาคนที่ถูกฆ่าอยู่
“แล้วทางนี้ล่ะขอรับคุณชาย มีอันใดคืบหน้าหรือไม่” คุณชายหยางหยิบพัดงาช้างที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากที่ใดออกมาควงเล่น “ตั้งแต่ข้าอาศัยอยู่ในสวนซิ่นก็มีผู้คนมากมายเข้ามาหาข่าว ท่านน้าจวิ้นอ๋องผู้นั้นแม้แต่อนุภรรยาของตนก็ยังสละมาให้…เหอะ คิดว่าข้าไม่เลือกกินหรืออย่างไร!”
“ผู้ใดใช้ให้คุณชายชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเช่นนี้ล่ะขอรับ” คุณชายหยางเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ไม่ง่ายเลย ในที่สุดท่านก็เรียนรู้ที่จะถากถางข้าแล้ว”
เหลยหงพูดคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยสัจธรรม “แต่ถึงอย่างนั้น ท่านก็ไม่ควรสร้างปัญหาทำให้แม่นางเสื่อมเสียชื่อเสียง” คุณชายหยางเอนหลังแล้วยกมืออย่างช่วยไม่ได้ “เห็นได้ชัดว่าทางนั้นคิดไม่ดีกับข้าก่อน ข้าก็แค่ผลักเรือไปตามน้ำ[1]”
เหลยหงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ที่ตงหนิงมีสายตาหลายคู่จ้องมองอยู่ ท่านได้ก่อเรื่องไปแล้ว เกรงว่าผู้อื่นคงไม่เชื่อ”
คุณชายหยางส่ายหัวแล้วยิ้ม “เหลยหง ท่านติดตามใต้เท้าเจี่ยงมานานเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่เรียนรู้เล่า หากเปลี่ยนเป็นเขา เขาก็คงเข้าใจความหมายของข้าในทันที”
เหลยหงมองอย่างเฉยเมย “ข้าน้อยไม่ฉลาดเท่าใต้เท้านี่ขอรับ ได้โปรดคุณชายลดเกียรติบอกข้าน้อยทีว่าเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่”
“พวกข้าราชการสกปรกล้วนฉลาดทันคน!” คุณชายหยางชี้บอกให้เหลยหงรินชาให้เขา จากนั้นก็พูดต่อ “แค่พูดชื่อตำแหน่งขุนนางในหวงเฉิงซือ ข้าก็มีปัญหาแล้ว อีกอย่างคงไม่มีผู้ใดเชื่อหรอก ไม่แน่ว่าหากข้าถือโอกาสนี้สร้างเรื่องใหญ่มากมายขึ้นมาไม่ดีกว่าหรือ ยิ่งมีเรื่องมากเท่าใดพวกเขายิ่งไม่เชื่อมากเท่านั้น พวกเขาจะได้ยิ่งรู้สึกว่าข้าไม่มีจุดประสงค์ใดแอบแฝง”
เหลยหงครุ่นคิด “เพราะอย่างนั้นตอนที่ท่านยังเดินทางไม่ถึงตงหนิง ถึงได้ปล่อยข่าวว่าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทออกไปเงียบๆ งั้นหรือขอรับ”
คุณชายหยางจิบชา “แค่เป็นคำสั่งจากฝ่าบาท พวกเขาก็นั่งไม่ติดแล้วยิ่งข้ามาทำเรื่องเช่นนี้อีก พวกเขายิ่งใจร้อนไปก่อนแล้ว”
“โอ้…” เหลยหงเข้าใจแล้ว “เพราะเหตุนั้นท่านเลยจงใจทำให้พวกเขาคิดว่าท่านกำลังแสร้งทำเพื่อให้พวกเขาเคลื่อนไหว!”
คุณชายหยางประคองถ้วยชาแล้วยิ้ม “คนแรกที่จะนั่งไม่ติดไม่ใช่ท่านน้าของข้าหรือ พี่ใหญ่ของฝ่าบาทไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว สิบปีก่อนแม้แต่จิ้นอ๋องที่ไม่มีลูกหลาน เขายังกลัวเลย!”
“คุณชาย…” เหลยหงเตือนเขา “พวกเราไม่ควรกล่าวหาฉีตงจวิ้นอ๋องที่สำคัญคือการติดตามคดีเก่าเมื่อสิบปีก่อน หากฉีตงจวิ้นอ๋องไม่เกี่ยวข้อง เราก็ไม่ควรไปแตะต้องเขา”
“หากเขาไม่ผิด ข้าเองก็ไม่แตะต้องเขา” คุณชายหยางพูดอย่างเกียจคร้าน “เอาล่ะ หากฝั่งพวกท่านตรวจสอบไม่เจอ งั้นข้าจะจัดการเอง ร่องรอยของคนที่หายตัวในตงหนิงข้าไม่เชื่อว่าเจียงคุนไม่รู้เรื่องนี้!”
“ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน” เหลยหงยกมือประสานกัน “ท่านระวังตัวด้วยขอรับ”
“ไปเถอะๆ!” คุณชายหยางโบกพัดในมือ “ท่านอยู่ที่นี่นานแล้ว เดี๋ยวผู้อื่นจะสงสัยเอาได้”
“ขอรับ” เหลยหงเดินไปที่ประตูแล้วหันกลับมา เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “คุณชาย ข้าน้อยมีอีกเรื่อง…”
“มีอะไรก็พูดมา!” เหลยหงลังเล “แม่นางตระกูลหมิงผู้นั้น…ท่านช่วย…”
คุณชายหยางมองเขาแล้วยิ้มออกมา “ท่านชอบนางหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับ!” เหลยหงรีบปฏิเสธ “แค่หวังว่าท่านคงไม่ต้องการ…ชื่อเสียงตระกูลนางสำคัญมาก”
คุณชายหยางกุมขมับท่าทางเขาดูจนปัญญา “ชื่อเสียงของข้ามันแย่ขนาดนั้นเลยหรือไร”
………………………………………………………
[1] ผลักเรือไปตามน้ำ : ทำตามสถานการณ์