“พี่เจ็ด!” ดวงตาของหมิงเซียงเบิกกว้าง
“ชู่!” หมิงเวยทำมือบอกให้เงียบ แล้วหันไปสั่งตัวฝู “ตัวฝู เจ้าออกไปเฝ้าข้างนอก หากมีใครมาทางนี้ละก็แจ้งข้าด้วย”
“เจ้าค่ะ” ตัวฝูวางกล่องใส่อาหารลงแล้วหมุนตัวเดินออกไป
ความสนใจของเด็กทั้งสองอยู่ที่กล่องใส่อาหาร น้ำลายของพวกเขากำลังจะไหลลงมา
หมิงเวยเปิดกล่องอาหารและถามว่า “เมื่อสักครู่ผู้ใดกันที่พูดว่า ถ้าหากมีผู้ให้ซาลาเปาจะเรียกว่าท่านพ่อ”
หมิงเซียงแลบลิ้น นางหนังหน้าหนาราวกับกำแพงเมือง “ข้ากล้าเรียก แล้วพี่เจ็ดกล้าตอบรับรึเปล่าล่ะเจ้าคะ”
เมื่อเปิดกล่องอาหารชั้นแรก จานกระเบื้องสีขาวมีซาลาเปาสีขาวน่ารักอวบอ้วนวางอยู่รอบจาน ควันสีขาวบางๆ ส่งกลิ่นหอมเตะจมูก
“เจ้ายอดเยี่ยมมาก!” หมิงเวยวางซาลาเปาไว้บนมือของนาง “กินเถิด”
ซาลาเปานึ่งร้อนๆ กระตุ้นความอยากของทั้งสองคนทันที หมิงเซียงกับหมิงฮ่าวหยิบมันขึ้นมาแล้วยัดใส่ปาก เหมือนขอทานตัวน้อยที่หิวโหยมาสามวัน
เนื้อแป้งธัญพืชหอมหวานกำลังพอดี เนื้อสับมันๆ ที่กัดเข้าไป รสชาติหอมเค็มที่ถูกปาก…ไม่เคยทานซาลาเปาที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนในชีวิต!
หมิงเวยเห็นพวกเขาทานอย่างกับหมาป่ากลืนเสือกลืน[1] จึงเปิดกล่องชั้นที่สองออก แล้วพูดกับหมิงเซียงว่า “นมแพะที่เจ้าต้องการ ปรุงกับนมซิ่งเหริน เพิ่มน้ำผึ้งลงไป”
ในชามขนาดเล็ก น้ำนมแพะสีขาวขุ่นมีกลิ่นหอมหวานเลี่ยนของน้ำผึ้ง หมิงเซียงโห่ร้องด้วยความดีใจเบาๆ แทบรอไม่ไหวที่จะพุ่งเข้าไปหา
อึก น่าพอใจมาก…
หมิงเวยเปิดกล่องชั้นที่สาม นำเนื้อแห้ง พุทราเชื่อม เค้กข้าวแบ่งให้พวกเขาทาน “ยัดมันลงในแขนเสื้อ ถ้าหิวก็หยิบออกมากินสักเล็กน้อย ระวังอย่าให้ผู้ใดเห็นเข้าล่ะ”
“อืมๆ” เรื่องนี้หมิงเซียงมีประสบการณ์โชกโชนมาก แต่หมิงฮ่าวรู้สึกเขินอายในเรื่องนี้ “ขอบคุณขอรับพี่เจ็ด”
“ข้าเองก็มีส่วนในเรื่องนี้ ข้าไม่สามารถปล่อยให้พวกเจ้ารับผิดชอบกันสองคนได้หรอก” หมิงเวยแกะเมล็ดสนใส่เข้าปาก “เมื่อก่อนพวกเจ้าถูกลงโทษกันบ่อยครั้งเลยหรือ”
“เพราะพี่แปดเลย!” หมิงฮ่าวฟ้องก่อน “ทุกครั้งที่นางบอกว่าจะรับผิดชอบ แต่สุดท้ายแม้แต่ข้าก็ถูกลงโทษไปด้วย!”
“แต่เจ้าก็ยังฟังนางโกหกทุกครั้งเลยมิใช่หรือ”
หมิงฮ่าว “…”
“พี่เจ็ด อย่าไปฟังเขาพูดนะเจ้าคะ” หมิงเซียงพูดไปกัดเนื้อแห้งไป “ที่จริงเขาก็อยากออกไปเล่นเหมือนกันนั่นแหละ ข้าก็แค่เอ่ยเหตุผลกับเขาไปเฉยๆ เท่านั้นเอง”
“งั้นข้าต้องขอบคุณเจ้าด้วยหรือไม่!” หมิงฮ่าวพูดเหน็บแนม
“เจ้ารู้แล้วก็ดี!” หมิงเซียงพูดอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย หมิงเวยยิ้ม พวกเขาสองพี่น้องทำให้นางอดนึกถึงชาติที่แล้วของนางไม่ได้
ตอนนางอายุสิบขวบ สถานการณ์ในตอนนั้นอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ท่านอาจารย์ได้รับเด็กคนหนึ่งมาหลังสิ้นสงคราม เห็นเขาดูโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งแต่ดูมีความสามารถจึงรับเขาเป็นศิษย์
เขาคือศิษย์น้องเล็ก แม้ว่านางจะเกิดมาในช่วงเวลาที่มีแต่ความสับสนวุ่นสาย แต่นางก็มีท่านอาจารย์คอยดูแล นอกจากเรื่องฝึกซ้อมแล้ว นางก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงความเป็นเด็ก
เวลาที่นางขี้เกียจก็จะเอาศิษย์น้องเล็กมาเป็นข้ออ้าง ศิษย์น้องเล็กมักจะเป็นแพะแทนนางอย่างจริงใจอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์จะดูออกอยู่ทุกครั้งก็เถอะ
แต่หลังจากนั้นศิษย์น้องเล็กก็เสียชีวิตลง เขาตายพร้อมท่านอาจารย์ในวงล้อมของโจร
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ดวงตาของหมิงเวยก็แดงระเรื่อ ไม่ต้องรีบร้อน นางบอกกับตัวเอง ไม่ต้องรีบร้อน ตอนนี้นางได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อเจ็ดสิบปีที่แล้ว และยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น นางยังมีเวลามากพอที่จะค่อยๆ พลิกโชคชะตาของแผ่นดินและเปลี่ยนเส้นทางของประวัติศาสตร์
ท่านอาจารย์และศิษย์น้องเล็กจะต้องไม่ตาย นางต้องกำจัดต้นอ่อนพวกนี้ให้หมดสิ้นไปทั้งหมด
“พวกเราไม่ควรพาพี่เจ็ดออกไปข้างนอกเลย” หมิงฮ่าวพูด “คุณชายหยางผู้นั้น ถามสถานะของพี่เจ็ด ไม่รู้ว่าเขาต้องการอันใดกันแน่!”
พูดถึงเรื่องนี้หมิงเซียงก็รู้สึกหงุดหงิดเช่นกัน “เป็นเพราะข้า…”
หมิงเวยไม่สนใจ “เขาจะทำอันใดได้ ถึงจะอยากได้ แต่ข้าก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะคว้าได้ถ้าเขาต้องการ”
บรรพบุรุษของนางเป็นขุนนาง ท่านพ่อของนางเมื่อครั้นยังมีชีวิตก็เป็นขุนนาง อีกทั้งท่านลุงก็รับราชการอยู่
การเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนาง จึงไม่สามารถทำอะไรตามใจได้โดยง่าย
“หากเขาต้องการที่จะคว้าให้ได้ พวกเราก็ไม่กลัว” หมิงฮ่าวพูด “ถ้าจะกลัวก็กลัวเขาใช้วิธีสกปรก ถึงตอนนั้นมีแต่จะทำให้ชื่อเสียงของพี่เจ็ดเสียหาย”
“ใช่! พี่เจ็ดคงไม่รู้ วิธีสกปรกแบบนั้นยากที่จะป้องกัน” หมิงเซียงหงุดหงิด “เรื่องพี่ใหญ่ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว!”
“พี่ใหญ่งั้นหรือ…” หมิงเวยจำได้ พี่ใหญ่เป็นบุตรสาวคนโตของนายท่านสอง ซึ่งออกเรือนไปหลายปีแล้ว
หมิงเซียงเหลือบมองหมิงฮ่าว “ไม่รู้ว่าน้องหกจำได้หรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องเมื่อหกเจ็ดปีก่อน พวกเราในตอนนั้นยังเล็กอยู่เลยไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอันใดขึ้น แต่ท่านแม่ของข้ามาบอกข้าในภายหลังเป็นการเตือน”
หมิงฮ่าวมองนางด้วยความงุนงง “หกเจ็ดปีก่อน เกิดอะไรขึ้น ข้าจำได้ว่า…พี่ใหญ่นางล้มป่วยก่อนออกเรือน พอหายดีแล้วจึงออกเรือนไป”
“จริงๆ แล้วพี่ใหญ่ไม่ได้ป่วย” หมิงเซียงก้มหน้าลงเล่นนิ้วตนเอง “นาง…ถูกคนดูหมิ่นน่ะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” หมิงฮ่าวตกใจ
นางเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันมาหลายปีหลังจากออกเรือน แต่เมื่อเขายังเด็กนางอยู่กับเขาทุกวันทุกเวลา
“ทำไมพี่ใหญ่ถึงได้ถูกคนดูหมิ่นได้” หมิงเวยรู้สึกแปลกๆ “ในเรือนเป็นไปไม่ได้เลย หากออกไปข้างนอกต้องพาคนไปด้วยมิใช่หรือ”
“รายละเอียดท่านแม่ไม่ได้พูดถึง บอกแค่ว่าตอนที่พี่ใหญ่ไปเล่นที่บ้านผู้อื่น นางเหมือนปลาติดเบ็ดจึงถูกผู้อื่นเอาเปรียบ เพื่อปกปิดเรื่องนี้พี่ใหญ่กลับมาจึงบอกว่าไม่สบาย หลังจากนั้นก็ได้ติดต่อกับตระกูลหนึ่ง และถูกส่งไปออกเรือนที่แดนไกล”
ใบหน้าของหมิงฮ่าวเดี๋ยวขาวเดี๋ยวแดง เขาพึมพำ “มิน่าล่ะ…”
มิน่าล่ะทำไมท่านพี่ถึงได้ออกไปแต่งงานในที่ที่ไกลขนาดนั้น มิน่าล่ะนางถึงไม่เคยกลับบ้านมาเยี่ยมญาติเลย มิน่าล่ะท่านแม่ถึงไม่เคยพูดถึงท่านพี่เลย มีครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินท่านพ่อท่านแม่ทะเลาะกันเรื่องท่านพี่อีกด้วย!
พอพูดถึงเรื่องนี้จำได้ว่าตอนที่เขายังเล็ก ท่านพ่อท่านแม่ของเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่เลวร้ายขนาดนั้น เป็นไปได้ว่าอาจเป็นเพราะเรื่องของท่านพี่…
หมิงเวยพบว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “น้องหก…”
หมิงฮ่าวเช็ดหน้าอย่างแรง เขากดเสียงต่ำด้วยความโกรธแค้น “ผู้ใดเป็นคนทำ”
“ท่านแม่ไม่ได้บอก…” หมิงเซียงปลอบ “น้องหก อย่าใจร้อนไป เรื่องนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว ครอบครัวเราคงแก้แค้นไปเรียบร้อยแล้วล่ะ”
หมิงฮ่าวใช้เวลานานในการระงับอารมณ์ “อืม…”
“พี่เจ็ด พี่ต้องระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ หากผู้อื่นมุ่งประสงค์ร้าย พวกเขาคงหาโอกาสลงมือได้เสมอ” หมิงเซียงผู้ที่ซุกซนตลอดเวลากล่าวเตือนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
หมิงเวยรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นางตอบรับเบาๆ “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะจำไว้”
เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาปลดกลอนแล้ว หมิงเวยจึงลุกขึ้น “เวลายังไม่เช้า ข้าต้องกลับแล้ว”
“ฟ้ายังมืดอยู่ พี่เจ็ดกลับดีๆ นะเจ้าคะ”
“วางใจเถอะ” หมิงเวยหยิบกล่องอาหารที่ว่างเปล่าแล้วออกไปหาตัวฝู
………
ภายในห้องหลิวจิ่งเงียบสงัด
ฮูหยินสามคัดลอกคัมภีร์อย่างเงียบๆ เนื่องจากหมิงเวยหายดีแล้ว นางจึงเปลี่ยนเวลาคัดลอกพระคัมภีร์เป็นช่วงบ่าย และไม่ค่อยมาที่นี่ในตอนกลางคืน
หลังจากนั้นไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก และนายท่านสองก็เดินเข้ามา
“ท่านเป็นคนที่จริงใจจริงๆ เสี่ยวชีหายแล้ว แต่ก็ยังคัดลอกคัมภีร์ทุกวัน”
ฮูหยินสามไม่ได้พูดอะไรสักคำ จนกระทั่งคัดบทสุดท้ายเสร็จ นางจึงเก็บกระดาษแล้วหมุนตัวกลับมา
นางพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “จู่ๆ ท่านก็ส่งจดหมายมาบอกว่ามีเรื่อง ตกลงคือเรื่องอันใดกัน ในสายตาของท่านมันเป็นเรื่องสำคัญหรือ”
นายท่านสองค่อยๆ จิบชา และกล่าวว่า “เรื่องของเสี่ยวชี เจ้าว่าสำคัญหรือไม่ล่ะ”
ฮูหยินสามตกใจ แล้วสีหน้าโกรธจัดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง “ข้าเคยบอกท่านแล้ว อย่าแตะต้องเสี่ยวชี! ถ้าท่านกล้าแตะต้องเสี่ยวชี พวกเราต้องสู้กันจนตายไปข้าง!”
นายท่านสองหัวเราะเบาๆ “ดูเจ้าสิ ใจร้อนอะไรขนาดนั้น เสี่ยวชีเป็นลูกของเจ้า เป็นหลานของข้า ข้าจะคิดถึงนางไม่ได้เลยหรือ ข้าหวังดีกับนางหรอกถึงได้มาหาท่าน”
เมื่อได้ยินประโยคตรงกลาง ฮูหยินสามพูดเสียงหนักขึ้น “พูดมา! ตกลงคือเรื่องอันใดกัน”
…………………………………………………………………….
[1] หมาป่ากลืนเสือกลืน : กินอย่างตะกละตะกลาม