ฮูหยินสามกำลังจะพูด แต่ก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลังของนางเสียก่อน “ท่านอาสี่” นายท่านสี่หันหน้าไปตามเสียงแล้วเขาก็พบเด็กสาวเดินมาตามทางเดินอย่างช้าๆ หลานสาวของเขาคนนี้เติบโตขึ้นมาเป็นอย่างไรนายท่านสี่จำได้อย่างชัดเจน
ฮูหยินสามเป็นผู้ที่น่าทึ่งมาก คุณหนูเจ็ดและนางมีความเหมือนกันเจ็ดถึงแปดส่วน ในเรื่องหน้าตาไม่มีบุตรสาวผู้ใดในเรือนนี้เทียบนางได้ แต่นางโง่มาแต่กำเนิด วันๆ ทำตัวแข็งทื่อ ไม่ว่าจะขัดเกลาอย่างไรก็ยังทำตัวไม่ต่างจากหุ่นไม้
หญิงงามไม่ใช่แค่ผิวพรรณที่ดูดีเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือความงามจากภายในซึ่งนางขาดเสน่ห์นี้ไป มารดาของนางเป็นผู้ที่มีเสน่ห์มาก แต่หลงเหลือมาถึงตัวนางเพียงห้าส่วน ไม่ได้ดึงดูดคนมากนัก
แต่คุณหนูเจ็ดที่อยู่ตรงหน้านี้…อากัปกิริยาไม่เรียกได้ว่าสง่างามนัก รูปลักษณ์ดูไม่ใช่หญิงที่นุ่มนวล แม้จะดูสบายๆ ขี้คร้านเกินไป แต่โดยรวมก็ดูมีชีวิตชีวาและสดใส หลานสาวคนนี้แม้ว่าจะเหมือนพี่สะใภ้ที่เป็นหม้ายอยู่มาก แต่โครงคิ้วของนางเหมือนพี่ชายของเขาเสียมากกว่า
เขากับพี่ชายนั้นเหมือนกันมาก เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้านี้ตัวเขาที่เต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธก็ดับลงไปกึ่งหนึ่ง หมิงเวยเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านายท่านสี่ ย่อตัวทำความเคารพแล้วพูดว่า “หลานเป็นคนสั่งให้พวกนางพังลงเองเจ้าค่ะ”
นายท่านสี่ได้สติเขาขมวดคิ้ว “ได้ยินว่าเจ้าหายดีแล้ว ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี หลายปีมานี้เป็นเพราะเจ้าป่วย วิชางานบ้านงานเรือนที่บุตรสาวในเรือนควรเรียนรู้จึงไม่ได้เรียน เจ้าควรหาเวลามาใส่ใจเรื่องเรียนเสียบ้าง เหตุใดจึงต้องยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่งเช่นนี้ด้วย”
หมิงเวยหัวเราะ “ที่หลานเรียกให้พวกนางพังกำแพง ก็เพราะมันไม่จำเป็นแล้วเจ้าค่ะ” นายท่านสี่ได้ยินอย่างนั้นก็โกรธ “เจ้าเข้าใจหรือไม่ เป็นเพราะพวกเจ้าบอกเองว่าที่สวนอวี๋ฟางมีภูติผี ในเมื่อเป็นเช่นนี้แยกตัวออกมาล้วนเบาใจกว่าไม่ใช่รึ” หมิงเวยถอนหายใจ
“เจ้าถอนหายใจทำไม”
หมิงเวยตอบ “ถ้าหลานบอกว่าเข้าใจ ท่านอาสี่จะเชื่อหรือไม่เจ้าคะ” นายท่านสี่ชะงักมองนางด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
หมิงเวยพูดต่อว่า “อย่างที่ท่านอาสี่ได้ยินมาหลานหายดีแล้ว เป็นเพราะเสวียนหนี่เหนียงเหนียงรู้สึกถึงความจริงใจของท่านแม่ และดวงวิญญาณที่หายไปของหลานได้อยู่รับใช้ข้างกายเสวียนหนี่เหนียงเหนียงมาโดยตลอดซึ่งเรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยากเจ้าค่ะ”
พอเห็นนายท่านสี่ขมวดคิ้ว นางจึงรู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไร “ท่านอาสี่อยากบอกว่าบนโลกใบนี้ไม่มีภูติผีเทวดาใช่หรือไม่เจ้าคะ”
นายท่านสี่พอถูกนางพูดตัดหน้าก็รู้สึกไม่พอใจ “ภูติผีเทวดาอันใดกัน เจ้าเป็นหญิง ไม่ควรยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้”
“ถ้างั้นผู้ใดควรยุ่งเรื่องนี้หรือเจ้าคะ” หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมองนายท่านสี่แล้วยิ้มอย่างใจเย็น “ท่านอาสี่ หลายปีมานี้ท่านดูแลพวกเราแม่ลูกเป็นอย่างดี หลานกับท่านแม่ไม่มีวันลืม แต่ตอนนี้พวกเราแม่ลูกกำลังถูกบีบคั้นจนตาย ท่านอาสี่คงช่วยอันใดพวกเราไม่ได้เจ้าค่ะ!”
นายท่านสี่ชะงักไปชั่วขณะแล้วพูดด้วยความโกรธอีกครั้ง “ถูกบีบคั้นจนตายอะไร เจ้าเป็นหญิงอย่าพูดจามั่วซั่วกุเรื่องไปทั่ว!”
หมิงเวยไม่ตอบแต่หัวเราะออกมา นางหันกลับไปพูดกับฮูหยินสามว่า “ท่านแม่ แดดแรงเช่นนี้เราเชิญท่านอาสี่ไปนั่งจิบชาด้านในดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินสามพยักหน้า “ดี” นางหันกลับไปพูดกับแม่นมถง “เรียกพวกนางไปพักก่อน ช่วงบ่ายค่อยมาทำก็ไม่สาย” แม่นมถงตอบรับแล้วไล่พวกนางออกไป จากนั้นก็เรียกซู่เจี๋ยกับปิงซินมาเตรียมน้ำชา
ในที่สุดหมิงเฉิงก็เดินมาถึง “ท่านพ่อ!” เขามองท่านพ่อของตนเองแล้วหันไปมองฮูหยินสามและหมิงเวย จากนั้นก็กลืนประโยคที่เตรียมไว้ลงคอไป
บรรยากาศแปลกๆ…เขาไม่กล้าพูดอันใดออกมาเลย
“พี่สี่ก็มาด้วย” หมิงเวยท่าทางดูปกติ “มาดื่มชาด้วยกันไหมเจ้าคะ” ท่าทางของนายท่านสี่เปลี่ยนไป เขาแค่นหัวเราะ “ข้าได้แต่รับฟังจะไปทำอันใดได้เล่า!”
……….
โถงขนาดเล็กสำหรับรับแขกในสวนอวี๋ฟาง ฮูหยินสามรินน้ำชาให้สองพ่อลูกด้วยตัวเอง นางพูดว่า “จะยามบ่ายแล้วพวกท่านดื่มชาเถิด เดี๋ยวจะหิวกันเสียก่อน”
หมิงเฉิงไม่กล้ารับยืนรอนางรินชาเสร็จเขาถึงนั่งลงอีกรอบ นายท่านสี่ไม่มีใจที่จะดื่มชา เขาจ้องเขม็งไปที่หมิงเวย ต้องการฟังคำอธิบายจากนาง
หมิงเวยหันไปพูดว่า “ท่านแม่ เที่ยงนี้ลูกอยากกินปาเป่ายา ท่านไปดูที่ครัวให้ลูกได้หรือไม่เจ้าคะ” จะรีบให้ฮูหยินสามออกไปอะไรขนาดนั้น นายท่านสี่แค่นหัวเราะ ฮูหยินสามขมวดคิ้วใจจริงอยากปฏิเสธ แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนของบุตรสาว นางจึงพยักหน้า “ได้ลูก”
แม้เพิ่งจะผ่านไปหนึ่งวัน แต่นางก็รู้สึกได้ว่า บุตรสาวของนางเปลี่ยนไปไม่เหมือนแต่ก่อน ยามตอนที่นายท่านสี่โกรธมาก เสี่ยวชีก็ไม่ได้แสดงความอ่อนแอต่อหน้าเขา
เรื่องนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ทำไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางจะเชื่อในตัวเสี่ยวชีก็แล้วกัน พอฮูหยินสามเดินออกไปในห้องจึงเหลือเพียงสามคน
ความหนาวเย็นปกคลุมไปทั่วกายของนายท่านสี่ เขานั่งอยู่ในที่นี้ด้วยสีหน้าเย็นชา หมิงเฉิงรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อยก่อนจะส่งสายตาไปให้หมิงเวย จากนั้นก็มองไปยังท่านพ่อของเขาอย่างประหม่า แต่หมิงเวยกลับไม่ตอบสนองอันใด นางแค่ดื่มชาอย่างช้าๆ
จิบชาไปสามรอบแล้ว แต่นางก็ยังไม่พูดอะไรในที่สุดนายท่านสี่ก็ทนไม่ไหว
“เจ้าอยากบอกอันใดกันแน่”
หมิงเวยยิ้ม “หลานคิดว่าท่านอาสี่คงไม่สนใจเรื่องนี้เจ้าค่ะ!”
นายท่านสี่พูดเสียงเย็น “อย่าคิดว่าเจ้าเป็นเด็กแล้วจะก่อเรื่องอันใดก็ได้ จู่ๆ เรื่องที่เจ้าหายจากอาการนี้ยังไม่ชัดเจน! ผู้ใดจะรู้ว่าดวงวิญญาณที่หายไปของเจ้ากลับมาแล้วหรือว่าเจ้าถูกผีเข้าสิงกันแน่!” หมิงเวยเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
นายท่านสี่ทำสีหน้าเย็นชา “ทำไมรึ ข้าพูดถูกหรืออย่างไร”
หมิงเวยตอบด้วยเสียงเนิบนาบ “ท่านอาสี่เข้าใจผิดแล้วหลานก็แค่แปลกใจเท่านั้น ท่านไม่ได้ไม่เชื่อเรื่องภูติผีเทวดาหรอกหรือเจ้าคะ”
“เจ้า…”
หมิงเวยพูดต่อในทันที “มาพูดเรื่องสำคัญกันดีกว่าเจ้าค่ะ พวกเราลูกกำพร้าพ่อ และแม่หม้ายสามี ไม่อยากรั้งท่านเอาไว้ ปล่อยให้ท่านอาสี่หิวอยู่นานคงไม่ดีเป็นแน่”
“….” ใบหน้าของนายท่านสี่เข้มขึ้น ตกลงผู้ใดกันแน่ที่โดนลากทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้พูดเรื่องสำคัญอย่างนั้นแหละ ไม่รอให้นายท่านสี่โต้กลับหมิงเวยพูดต่อว่า “ท่านอาสี่คงอยากรู้ว่าก่อนหน้านี้ทำไมหลานถึงบอกว่าพวกเราสองแม่ลูกกำลังถูกบีบคั้นจนตายใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ฮึ!”
หมิงเวยหัวเราะเบาๆ “นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือเจ้าคะ ทิ้งสิ่งชั่วร้ายไว้ในสวนอวี๋ฟางเช่นนี้ ซ้ำในเรือนก็ไม่สามารถเชิญเสวียนชื่อมาได้อยู่แล้วไม่ใช่ว่าต้องการให้พวกเราสองแม่ลูกตายหรอกหรือ”
ก็คิดว่านางจะพูดเรื่องอันใดที่แท้ก็เรื่องนี้! นายท่านสี่ทำสีหน้าสงบพยายามระงับอารมณ์อย่างเต็มที่ “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรยุ่ง เชิญเสวียนชื่อหรือไม่เชิญเป็นเรื่องที่ท่านลุงสองของเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ ส่วนกำแพงที่ล้อมรอบนั่นก็เพื่อให้พวกเจ้าสองแม่ลูกคิดได้ว่าไม่ควรเข้ามาพัวพันเรื่องนี้!”
หมิงเวยมองเขาแล้วหัวเราะ นายท่านสี่พอถูกอีกฝ่ายหัวเราะใส่ก็ไม่สบอารมณ์ “ทำไมกัน! ข้าเข้าใจอันใดผิดอีก”
“ท่านอาสี่เข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ” หมิงเวยบอกเสียงเบา “หลานก็แค่พบว่า ท่านอาสี่ปากบอกไม่เชื่อเรื่องภูติผีเทวดา แต่จริงๆ แล้วท่านเชื่ออย่างสนิทใจเลย ดูเหมือนหลานจะเข้าใจท่านอาสี่ผิด หลานต้องขออภัยจริงๆ เจ้าค่ะ”
นายท่านสี่ได้ยินเช่นนั้นก็โกรธ “เจ้าพูดจาไร้สาระอันใดกัน ข้าดูเหมือนเชื่อเรื่องนี้อย่างไรรึ”
“งั้นหรือเจ้าคะ” หมิงเวยเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ แล้วนางก็ค่อยๆ หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะ
มันเป็นถุงกระดาษทั่วไป แต่ด้านในมีสีแดงเล็กน้อย นายท่านสี่ลุกขึ้นยืนในทันที เขาชี้หน้าหมิงเวยด้วยความโกรธ “เจ้า…พูดจาซี้ซั้ว!” พูดแล้วก็คว้าถุงกระดาษ และลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินออกไป
แล้วก็มีเสียงดังจากด้านหลัง “ท่านอาสี่จะกลับไปเติมสีชาดหรือเจ้าคะ ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ อันที่จริงหลานไม่ได้ขุดสีชาดออกมา แต่เมื่อครู่หลานเพียงให้แม่นมถงจัดเตรียมไว้เท่านั้น”
นายท่านสี่หยุดอยู่ตรงนั้น จะเข้าก็ไม่ใช่ จะออกก็ไม่เชิง
……………………………………………………….