ไม่โทษพวกเขาที่คาดเดาผิด หากเป็นคนอื่นเห็นที่หลังเรือดาวตกมีสายฟ้าสีแดงอยู่ ก็คงคิดไปในทำนองเดียวกันทั้งนั้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือสายฟ้าสีแดงไม่ได้มีท่าทีจะโจมตีแต่อย่างใด มันแค่อยู่ตรงนั้นเท่านั้น เช่นนี้แล้วมหาศิษย์แห่งเต๋าบนเรืออีกแปดลำจึงมองดูทุกคนบนเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำที่หวังเป่าเล่ออยู่อย่างระมัดระวัง
หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้โง่จึงตอบสนองไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ในใจแต่ละคนจะรู้สึกแปลก แต่ก็ไม่มีใครแก้ไขความเจ้าใจผิดนั้น กลับกันพวกเขาต่างเงียบกริบทำให้ความเข้าใจผิดยิ่งมากขึ้นไปอีก
ส่วนหวังเป่าเล่อหลังจากตรวจดูเรืออีกแปดลำแล้วในใจก็เริ่มขรึม ดูคร่าวๆ จำนวนคนบนเรือทั้งแปดลำนี้มีประมาณ 400 คน หากรวมพวกเขาด้วยผู้ที่มายังสุสานดวงดาราครั้งนี้ก็มีประมาณ 450-460 คน
คนที่อ่อนแอที่สุดในนี้…ก็แข็งแกร่งกว่าระดับจิตวิญญาณอมตะชั้นมหาวัฏจักรในโลกภายนอกมาก ทำให้เขารู้สึกว่าระดับความยากใกล้เคียงกับตอนที่เขายังอยู่ไม่ถึงระดับจิตวิญญาณอมตะชั้นมหาวัฏจักร และยังมีบางคนที่ดูเหนือกว่าเขาในตอนนี้ไม่มาก และยังมีอีกหลายคนที่หวังเป่าเล่อมองไม่ออก
“ถึงจะรู้สึกเช่นนี้ แต่ยามลงมือจริง ไม่ใช่แค่ระดับการฝึกฝนเท่านั้นที่เป็นตัวตัดสินแพ้ชนะ ยังมีอาวุธเวทและจิตสำนึกในการต่อสู้ด้วย…” ยามที่หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด สายตาบางส่วนจากบนเรืออีกแปดลำก็กวาดมองร่างของหวังเป่าเล่อ แต่เขาสัมผัสได้ว่าจุดสนใจของคนส่วนใหญ่คงจะไปอยู่ที่หญิงสวมหน้ากากผู้นั้น
ในขณะที่ทุกคนมองหน้ากัน เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าลำก็หยุดอยู่หน้าดาวกระดาษขนาดใหญ่ จู่ๆ…ดาวกระดาษยักษ์นั้นก็เปล่งแสงสีขาวแรงกล้าขึ้นครอบคลุมไปทั่วทุกทิศ พร้อมกับเสียงคำรามลั่นฟ้า
ดาวกระดาษยักษ์สั่นไหวจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพร้อมกับระเบิดเสียงคำรามออกมา ราวกับมันขยายตัวออกช้าๆ จากทรงกลม…ยืดออกจนกลายเป็นร่างมนุษย์!!
พูดให้ชัดเจนก็คือกระดาษรูปมนุษย์ยักษ์ รูปร่างหน้าตาเหมือนกับกระดาษรูปมนุษย์ที่พายเรืออย่างไม่อาจแยกได้
เดิมตัวขดคดคู้จึงดูเหมือนดาวเคราะห์ แต่เมื่อคลายกระดาษรูปมนุษย์ยักษ์ตัวออกและเผยโฉมหน้าอย่างเต็มที่ ทั้งจักรวาลก็สั่นสะเทือน แรงกดดันที่ยากจะบรรยายพุ่งออกมาจากร่างของเขาราวกับจะโค่นภูเขาคว่ำทะเลได้ มันแผ่ขยายไปรอบทิศอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับว่าภายในร่างของเขามีดารานิรันดร์มากกว่า 1,000 ดวงมารวมตัวกันจนก่อตัวเป็นพลัง
ทำให้เพียงแค่เหลือบมองทุกคนก็อดใจสั่นไม่ได้ สายตาเสียดแทงราวกับอีกฝ่ายสามารถทำให้พวกเขาตาบอดได้เพียงแค่นึกคิด ความรู้สึกเช่นนี้กลายเป็นแรงกดดันจนเกือบทำให้หายใจไม่ออก
หนึ่งเป็นเพราะความน่ากลัวของการฝึกฝน อีกหนึ่งดูเหมือนจะเป็นเพราะรูปร่างใหญ่โตของเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่เดินทางมาขัดเกลาทั้งหลายก็ดูตัวเล็กยิ่งกว่ามดเสียอีก มีเพียงเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าลำเท่านั้นที่ยังพอเรียกได้ว่าเป็นมด!
“ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งนครดารา!!” นี่คือข้อสรุปที่หวังเป่าเล่อคิดได้ทันทีหลังจากเห็นกระดาษรูปมนุษย์ยักษ์และสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของเขา เพราะความรู้สึกเช่นนี้เขาเคยสัมผัสจากร่างของคนเพียงสองคนเท่านั้น หนึ่งคือปรมาจารย์แห่งไฟ อีกหนึ่งคือศิษย์พี่เฉินชิงของเขา
ถึงแม้ความรู้สึกจะคล้ายกัน แต่ก็มีจุดต่างกันอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ากระดาษรูปมนุษย์ยักษ์นี้ไม่ได้กว้างใหญ่เท่าปรมาจารย์แห่งไฟ และเมื่อเทียบกับศิษย์พี่ ความดุดันก็ต่างกันมาก
ไม่ใช่แค่หวังเป่าเล่อที่ได้ข้อสรุปประมาณนี้ มหาศิษย์แห่งเต๋าที่มาถึงที่นี่ได้ต่างเรียกได้ว่ามาจากตระกูลที่ร่ำรวยของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นกันทั้งนั้นจึงย่อมมีความรู้มากมาย พวกเขาจึงคาดเดาได้ทันทีเช่นกัน
วินาทีที่มหาศิษย์แห่งเต๋ากำลังตกตะลึงและถอนสายตาก้มศีรษะทำความเคารพอยู่นั้น จู่ๆ เจ้ากระดาษรูปมนุษย์ยักษ์ก็ลืมตาขึ้นเผยให้เห็นแสงเย็นเยียบ ขณะเดียวกันก็มีเสียงจักรวาลดังหึ่งๆ ออกมา
“ยินดีต้อนรับสู่ประตูดาวตก!”
ทันทีที่เอ่ยออกมา ขณะที่ทุกคนกำลังจิตใจสั่นไหว จักรวาลสีขาวแห่งนี้ก็ดูเหมือนได้รับผลกระทบไปด้วย เกิดระลอกคลื่นจำนวนมากกระจายไปทั่วทุกทิศจนทำให้ทั้งจักรวาลราวกับกลายเป็นทะเลแห่งระลอกคลื่นสะท้อน!
จากนั้นคลื่นยักษ์สีขาวก็เคลื่อนตัวมาจากระยะไกล มันม้วนสูงขึ้นเรื่อยๆ และในวินาทีต่อมามันก็สามารถเห็นได้ด้วยหางตาของทุกคน ทำให้ทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ใบหน้าไม่สามารถซ่อนความตกใจไว้ได้
แม้แต่หญิงสวมหน้ากากรวมถึงมหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นที่ถูกหวังเป่าเล่อจับตามองอยู่ก็ยังนิ่งไปชั่วครู่ มันคือ…คลื่นลูกใหญ่ที่เริ่มก่อตัวขึ้น ระลอกคลื่นหายไปพร้อมกับเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของมันอย่างช้าๆ!
นั่นไม่ใช่คลื่นลูกใหญ่อะไร แต่ราวกับเป็นแผ่นกระดาษเรียบๆ ที่ถูกพับครึ่งแล้วยกขึ้นข้างหนึ่ง!
จะใช้คำว่าราวกับมาอธิบายก็คงไม่เหมาะ เพราะ ณ ตอนนี้หากมองจากมุมสูงจะเห็น…จักรวาลด้านในที่เป็นสีดำ พื้นที่สีขาวนี้…เป็นกระดาษขาวยักษ์จริงๆ!
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ก็ดี เรือดาวตกก็ช่าง แล้วยังมีมหาศิษย์แห่งเต๋าอีก 400 กว่าคน พวกเขาทั้งหมดอยู่บนกระดาษขาวแผ่นนี้และขณะนี้กระดาษขาวนี่ก็กำลังพับครึ่ง!
ทั้งหมดนี้ดูยาวนาน แต่ในความเป็นจริงแล้วเกิดขึ้นในพริบตา กระดาษขาวยักษ์พับครึ่ง แล้วเรือดาวตกทั้งเก้าลำรวมถึงทุกคนที่อยู่บนนั้นและยังมีกระดาษรูปมนุษย์ยักษ์นั่นต่างก็ถูกพับและจมลงพร้อมกับจักรวาลสีขาวที่เล็กลงไปครึ่งหนึ่ง
ยังไม่จบแค่นั้น กระดาษขาวที่ถูกพับครึ่งได้ส่งเสียงคำรามออกมาและพับครึ่งอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครคาดคิด มันพับครึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า พื้นที่เล็กลงอย่างรวดเร็ว มันเล็กลงเรื่อยๆ พร้อมกับหนาขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
หลังจากพับอยู่นานในที่สุดกระดาษขาวที่ลอยอยู่ในจักรวาลสีขาวแห่งนี้ก็กลายเป็นเข็มสีขาวเล่มหนึ่ง มันแทงเข้าไปในความว่างเปล่าและหายไปในทันที!
ในชั่วพริบตาที่มันหายไป จุดที่เคยมีกระดาษขาวยักษ์อยู่ก็ปรากฏร่องรอยพลังงานหลายสิบดวงที่ดูเหมือนจะมาจากส่วนลึกของจักรวาล พวกเขาไม่ได้มีรูปร่างชัดเจน แต่เป็นเพียงดวงจิต หลังจากสัมผัสที่แห่งนี้แล้วพวกเขาก็มองไปยังจุดที่เข็มสีขาวหายไป
“ยังใช้วิธีเช่นนี้อยู่อีก…”
“ต่อให้ดูอีกครั้งก็ยังไม่เข้าใจ และหาตำแหน่งที่แท้จริงของสุสานดวงดาราไม่ได้!”
“ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืด แต่ความจริงแล้วไม่มีความเชื่อมโยงกันเลยแม้แต่น้อย…”
“สุสานดวงดารา ตัดขาดการเชื่อมต่อกับจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นกับโลกภายนอกหรือ…”
“ยังมีสายฟ้าสีแดงนั่นด้วย แปลกจริง…มันก็เข้าไปด้วยหรือ”
ดวงจิตเหล่านี้ต่างดำรงอยู่เหมือนบรรพบุรุษของตระกูลและอำนาจ พวกเขามารวมตัวกันที่นี่ไม่ใช่เพื่อคุ้มกันทายาทของตนแต่อย่างใด แต่เพื่อดูการเปิดประตูดาวตกอีกครั้งและพยายามทำความเข้าใจมัน
แต่เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้พวกเขาก็ยังคงล้มเหลว
ขณะเดียวกันในส่วนลึกของจักรวาล ท่ามกลางจักรวาลที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงมีดาวดวงใหญ่ซึ่งดูเหมือนหม้อหลอมโอสถที่โอบล้อมด้วยดารานิรันดร์นับร้อย ที่ด้านบนสุดของดาวหม้อหลอมโอสถมีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่
ชายชราผู้นี้คือปรมาจารย์แห่งไฟ ฉับพลันเขาก็ลืมตาขึ้น เขาก้มศีรษะและพลิกมือขวา แผ่นหยกส่งเสียงแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ หลังจากก้มมองและหันไปมองส่วนลึกของจักรวาลอันแสนไกล รอยยิ้มก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
“เจ้าเด็กน้อยตระกูลเซี่ยขอความช่วยเหลือรึ? ขอร้องผิดคนแล้วกระมัง…แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่าก่อนที่เฉินชิงจะตัดหัวจักรพรรดิสวรรค์ได้ ศิษย์น้องของเขาผู้นั้นจะกลายเป็นศิษย์ของข้า”
“เฉินชิงเอ๋ยเฉินชิง นี่คือชะตากรรมอย่างไรล่ะ ฮึๆ ถึงข้าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้ แต่หากลางสังหรณ์ของข้าเป็นจริง เมื่อถึงเวลานั้นพอเจ้าได้พบข้าจะเรียกข้าว่าอย่างไรดีล่ะ แล้วยังมีการขอความช่วยเหลือจากเจ้าเด็กน้อยตระกูลเซี่ยอีก ฮ่าๆ น่าสนุกจริงเชียว หลังจากรู้ว่าคนที่ตัวเองต้องช่วยคือเจ้าเป่าเล่อ ไม่รู้ว่าเจ้าตุ๊กตานี่จะรู้สึกอย่างไร…” เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เช่นนี้ ปรมาจารย์แห่งไฟก็อดที่จะหัวเราะอย่างเบิกบานใจไม่ได้
เสียงหัวเราะของเขาดังก้องไปทั่วนครดาราแห่งไฟ ดังสะท้อนไปทั่วสัมผัสสวรรค์นับไม่ถ้วนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น รอบตัวเขามีร่างมายาปรากฏขึ้น 18 ร่าง มันควบแน่นกันจนกลายเป็นเซียนของแต่ละตระกูลที่แตกต่างกันไป ทั้ง 18 คนคำนับปรมาจารย์แห่งไฟ
“พวกเราคำนับท่านอาจารย์”
“ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์มีความสุขด้วยเรื่องใด” เหล่าเซียนพวกนี้ล้วนมีตบะชั้นเยี่ยมเมื่อเห็นอาจารย์ของตนมีความสุขเช่นนี้จึงอดถามไม่ได้
ปรมาจารย์แห่งไฟที่นั่งอยู่บนหม้อล้อมโอสถได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงดังอีกครั้ง
“เป็นไปได้มากว่าพวกเจ้ากำลังจะมีศิษย์น้องเพิ่มขึ้นอีกคน” ในคำพูดนั้นไม่มีใครสังเกตเห็นว่ายามที่ปรมาจารย์แห่งไฟมองเหล่าลูกศิษย์ของตน ดวงตาของเขามีความเศร้าล้ำลึกปรากฏอยู่
“ศิษย์น้องที่แท้จริงของพวกเจ้า…”
……………………………………