บทที่ 67
สายกลางดึก
หลังจากที่ทั้งสองกลับมาที่วิลล่าส่วนตัวของชางกวนโม่ เขาก็อดไม่ได้ที่กอดมู่หรงเสวี่ยไว้แน่น “เสี่ยวเสวี่ย ขอบคุณนะ!”
มู่หรงเสวี่ยกอดเขากลับและได้กลิ่นวานิลลาที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาทำให้รู้สึกสงบในหัวใจ “ฉันยินดีที่ได้ช่วยคุณเพราะฉะนั้นไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ…”
ชางกวนโม่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่กอดเธออยู่เป็นเวลานาน
กลางดึกคืนนั้นพวกเขาต่างก็นอนกอดกันจนหลับไป แต่แล้วอยู่ดีๆก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา รบกวนพวกเขาทั้งคู่ที่กำลังนอนอย่างสงบอยู่บนเตียง ชางกวนโม่ขมวดคิ้วและลุกขึ้นมาหยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะ หลังจากที่ดูชื่อที่หน้าจอว่าเป็นชื่อคุณอาฟาง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและรีบรับโทรศัพท์ทันที
คุณอาฟางเป็นอาที่รับผิดชอบในการดูแลไป๋เสวี่ยหลี่ในช่วงวันธรรมดา เธอไม่เคยทำเรื่องอะไรผิดพลาดเลยในระหว่างที่เธอยังไม่ได้สติ นอกจากนี้เธอถูกนายจ้างหลายคนมาขอซื้อตัวไปเพราะฝีมือการดูแลที่ยอดเยี่ยมของเธอ ดังนั้นชางกวนโม่จึงพอใจกับฝีมือและจ้างเธอต่อมาเป็นเวลานานแบบนี้ เมื่อเวลาผ่านไป ถึงแม้ทั้งชางกวนโม่และไป๋เสวี่ยหลี่จะมองว่าเธอเป็นคนนอกแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าคนงานทั่วไป
ถ้าไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญ คุณอาฟางคงไม่โทรหาเขากลางดึกแบบนี้และก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียว นั่นคือเรื่องปัญหาสุขภาพของไป๋เสวี่ยหลี่
“ฮัลโหลคุณอาฟาง มีเรื่องอะไรเหรอครับ?” ชางกวนโม่ถามอย่างกังวล
น้ำเสียงของคุณอาฟางเองก็กังวลมากเช่นกัน “คุณชาย คุณหนูไม่รู้ว่าเป็นอะไร? ฉันอยากจะส่งเธอไปโรงพยาบาลแต่คุณหนูไม่ยอมให้พวกเราแตะตัวเธอเลย ฉันควรจะทำยังไงดีคะคุณชาย?”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะไปตอนนี้เลย!” เมื่อวางสายชางกวนโม่ก็จ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยที่ยังหลับอยู่ เดิมทีเขาอยากจะขอให้เธอไปกับเขาด้วยแต่ในเวลานี้เขากำลังรีบ เขารีบสวมเสื้อผ้าและปิดประตูอย่างเบามือ แล้วจึงรีบขับรถไปที่คฤหาสน์ของ ไป๋เสวี่ยหลี่ในทันที
เมื่อมาถึงคฤหาสน์ ชางกวนโม่ก็รีบวิ่งตรงไปที่ห้องของ ไป๋เสวี่ยหลี่ ทันทีที่เขาเปิดประตูห้อง เขาก็เห็นไป๋เสวี่ยหลี่ที่กำลังนั่งกุมหัว ร่างกายเธอสั่นเทอมและสีหน้าก็ซีดเผือด ชางกวนโม่รีบวิ่งเข้าไป “เสวี่ยหลี่ เป็นอะไรไป? พี่จะพาเธอไปโรงพยาบาลนะ…” แล้วเขาก็รีบอุ้มไป๋เสวี่ยหลี่เพื่อที่จะพาไปข้างนอก
ไป๋เสวี่ยหลี่กัดริมฝีปาก เก็บซ่อนความภูมิใจและแกล้งทำเป็นเจ็บปวดพร้อมทั้งพูดว่า “พี่ใหญ่ ฉันไม่อยากไปโรงพยาบาล…ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้ว…ฉันไม่อยากไปโรงพยาบาล…”
“ไม่ต้องเถียง! ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล…” ชางกวนโม่จะปล่อยให้เธอเป็นอันตรายได้ยังไง
ไป๋เสวี่ยหลี่ทำหน้าน่าสงสาร “แต่ฉันต้องอยู่ที่โรงพยาบาลคนเดียว ฉันกลัว…”
ชางกวนโม่ไม่ได้หยุดเดิน อุ้มไป๋เสวี่ยหลี่ไปด้วยตลอดทาง อีกอย่างพร้อมทั้งบอกให้คุณอาฟางเดินตามมากับเขาด้วย “เด็กโง่ เธอจะอยู่คนเดียวได้ยังไง ไม่ต้องห่วงนะ คุณอาฟางจะอยู่เป็นเพื่อนเธอด้วยตลอด”
เมื่อไม่ได้ยินคำตอบที่ต้องการ ไป๋เสวี่ยหลี่ก็แอบกัดฟันเงียบๆ “พี่ใหญ่ พี่ไม่ว่างเหรอคะ? ทันทีที่ฉันนึกถึงเรื่องการยิงกันวันนั้น หัวฉันก็จะปวดมากเลย…ฉันกลัว…” แล้วเธอก็กอดชางกวนโม่แน่นขึ้น
ชางกวนโม่ยังจำร่างของไป๋เสวี่ยหลี่ที่อยู่ตรงหน้าเขาในวันนั้นได้และรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก “เสวี่ยหลี่ พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่ปกป้องเธอ…” เขาค่อยๆวางเสวี่ยหลี่ลงบนเบาะด้านหลังแล้วเข้าไปนั่งในเบาะคนขับ
คุณอาฟางเองก็นั่งที่เบาะหลังด้วยเช่นกันเพื่อที่จะดูแลไป๋เสวี่ยหลี่
ไป๋เสวี่ยหลี่พูดด้วยร้ำเสียงต่ำ “พี่ใหญ่ มันไม่ใช่แบบนั้น…เรื่องทั้งหมดต้องโทษคนพวกนั้น…ฉันจะโทษพี่ได้ยังไง…”
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?” ชางกวนโม่มองมาข้างหลังแล้วถาม
สีหน้าของไป๋เสวี่หลี่ยังซีดอยู่จึงตอบอย่างแผ่วเบา “ดีขึ้นแล้วค่ะพี่ใหญ่ เราไม่ต้องไปโรงพยาบาลก็ได้…”
“ไม่ได้ เธอต้องเจอหมอก่อนเผื่อเธออาการยังไม่ดีขึ้น!” รถขับไปด้วยความเร็วปกติ ซึ่งต่างจากตอนขามามาก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา คุณอาฟางก็ช่วยไป๋เสวี่ยหลี่ให้ออกมาจากรถ เมื่อเธอพร้อมที่จะช่วยพยุงเธอที่อีกด้านหลังจากที่ ชางกวนโม่ล็อกรถ ไป๋เสวี่ยหลี่ก็รีบหันกลับและเกือบที่จะล้ม ชางกวนโม่เข้ามารับไว้ไม่ให้ร่างผอมบางของเสวี่ยหลี่ต้องล้มไปกับพื้น
ไม่มีใครสังเกตเห็นรอยยิ้มแห่งชัยชนะของไป๋เสวี่ยหลี่ที่แอบอยู่ในอ้อมแขนของชางกวนโม่ ชางกวนโม่รีบพาไป๋เสวี่ยหลี่ไปหาเพื่อนของเขา จางหลินหลี่ที่แผนกคนไข้แล้วจึงโทรตาม จางหลินหลี่ “รีบมาที่นี่ด่วนเลย ฉันรอนายอยู่ที่แผนกฉุกเฉิน!” แล้วกดวางสาย
จางหลินหลี่ที่กำลังพักอยู่ในห้องของตัวเอง ก่นด่าเบาๆ ในชีวิตนี้เขาเป็นหนี้ชางกวนโม่ดังนั้นเขาจึงต้องทำตามที่เขาสั่ง แต่เขาก็ยังรีบลุกขึ้นและเดินตรงไป เขาหวังว่าครั้งนี้จะดีกว่าคราวก่อนนะ ไม่งั้นเขาจะโกรธอย่างมากเลยด้วย เขาไม่พอใจอย่างมากจริงๆ!!! ใครจะไปเชื่อกัน?
เมื่อมาถึงที่ประตู จางหลินหลี่ก็พูดแซว “มีเรื่องอะไรอีก? เมียนายทำอะไรอีก…” เขารู้สถานการณ์ช่วงนี้ของชางกวนโม่เป็นอย่างดี อย่างน้อยในเมืองหลวงก็ยังไม่มีปัญหาอะไรร้ายแรง คนพวกนั้นไม่กล้าทำอะไรในเมืองหลวงหรอก งั้นหลังจากที่คิดเรื่องนี้งั้นก็ต้องเป็นเรื่องของเมียหรืออะไรพวกนั้นแน่ๆ
ชางกวนโม่พูดตอบอย่างเย็นชา “ไร้สาระ มาดูอาการเสวี่ยหลี่สิว่าเป็นอะไร? เธอบอกว่าปวดหัว…”
เสวี่ยหลี่เหรอ?! ในตอนนี้จางหลินหลี่รู้แล้วว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงอันที่จริงแล้วเป็นน้องสาวของเพื่อนเขาเอง ก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ยินเรื่องนี้ ต่อมาเขาก็ได้ช่วยรักษาน้องสาวคนนี้ด้วยเหมือนกัน อันที่จริงในตอนนั้นมันไม่มีความหวังเลย เขาเกือบจะคิดว่าเธอคงจะไม่รอดแน่ๆ เป็นปาฏิหาริย์มากจริงๆที่เธอยังรอดมาได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะฟื้นขึ้นมาเลย ในตอนนั้นเขาลงความเห็นไปแล้วว่าเธอต้องเป็นเจ้าหญิงนิทราไปตลอดชีวิตแต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาตอนนี้ แบบนี้จะไม่ให้เขาประหลาดใจได้ยังไงกัน
“ไป๋เสวี่ยหลี่ฟื้นแล้วงั้นเหรอ?! มันเกิดขึ้นเมื่อไรน่ะ?” จางหลินหลี่ถามออกมาอย่างประหลาดใจ
“พี่จาง! ไม่เจอกันนานเลยนะคะ…” ไป๋เสวี่ยหลี่ยิ้มอย่างอ่อนแรงและพูดทักด้วยเสียงแผ่วเบา
จางหลินหลี่พยักหน้าและมองไปที่ชางกวนโม่ ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนรักของเขาคนนี้ เขาก็คงไม่อยากที่จะรู้จักกับ ไป๋เสวี่ยหลี่แน่ๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์ราวกับดอกไม้แต่เขากลับรู้สึกแปลกๆกับเธออย่างมาก พูดง่ายๆก็คือเขาคิดว่าไป๋เสวี่ยหลี่มีอะไรแปลกๆแต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของจางหลินหลี่ ไป๋เสวี่ยหลี่ก็กำมือแน่นใต้ผ้าห่มแล้วก็คลายมือออก
ชางกวนโม่อธิบายว่า “เป็นเพราะเสี่ยวเสวี่ยที่ทำให้เธอฟื้นวันนี้เอง! นายไปตรวจเสวี่ยหลี่ก่อนแล้วเดี๋ยว…”
เพียงแค่อยากที่จะทำให้จางหลินหลี่เงียบปากไปก่อน จะได้ไม่ต้องกังวลอะไรในตอนนี้ จางหลินหลี่ตรวจอย่างจริงจังและถามไป๋เสวี่ยหลี่เรื่องคำถามพื้นฐานทั่วไป แล้วก็หันมาขอให้คุณอาฟางช่วยพาเธอไปที่ห้องตรวจเพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด
หลังจากเวลาผ่านไปนาน จางหลินหลี่ก็มองที่ดัชนีต่างๆของไป๋เสวี่ยหลี่และถึงกับเก็บอาการตกใจไว้ไม่ได้ มันเป็นไปได้ยังไง? ในทุกๆเดือนเขาจะปที่คฤหาสน์เพื่อที่จะตรวจอาการไป๋เสวี่ยหลี่เพราะเห็นแก่เพื่อนรัก ดังนั้นเขาจึงรู้อาการในร่างกายของไป๋เสวี่ยหลี่เป็นอย่างดี
ตอนนี้ถึงแม้ร่างกายของไป๋เสวี่ยหลี่จะยังอ่อนแออยู่นิดหน่อยแต่ดัชนีของร่างกายก็บ่งบอกว่าทุกอย่างเป็นปกติ และเขาก็ยังตรวจซีทีสแกนเธอด้วย ภาพที่แสดงออกมาแสดงให้เห็นว่ารูกระสุนก่อนหน้านี้ค่อยๆผสานกันซึ่งถึงได้ว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์อย่างมาก
ซึ่งตามความจริงแล้วถ้าร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้ขนาดนี้ก็ไม่น่าที่จะมีปัญหาทางร่างกายอะไร แล้วเธอจะมีอาการปวดหัวได้ยังไง แถมตอนนี้ยังดูไม่มีอาการอีกซึ่งแปลกมากๆ
หลังจากการตรวจ ไป๋เสวี่ยหลี่ก็นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลโดยมีคุณอาฟางคอยดูแลและคอยเหล่มองเป็นระยะๆ
หลังจากที่คิดเรื่องนี้ เขาก็พูดออกมา “หลังจากที่ตรวจแล้ว ดัชนีในร่างกายของไป๋เสวี่ยหลี่ปกติดีและเริ่มจะดีขึ้นเรื่อยๆด้วย แม้แต่ตำแหน่งที่เธอเคยถูกยิงมาก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆหายแล้วด้วยและอีกไม่นานเธอน่าจะหายเป็นปกติ สำหรับเรื่องอาการปวดหัวของไป๋เสวี่ยหลี่ อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้เธออยู่ในอาการโคม่าและไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดจากการถูกยิง ซึ่งแม้ตอนนี้เธอจะยังไม่หายเป็นปกติก็เลยอาจจะมีอาการเจ็บอยู่บ้างนิดหน่อย ถ้ามันปวดมากจนทนไม่ไหว ฉันจะเขียนใบสั่งยาแก้ปวดให้” หลังจากที่พูดจบ จางหลินหลี่ก็จ้องไปที่ชางกวนโม่ตรงๆ
เมื่อได้ฟังว่าไป๋เสวี่ยหลี่ไม่ได้เป็นอะไร ชางกวนโม่ก็โล่งใจไปมากแต่ทำไมเพื่อนต้องจ้องหน้าเขาแบบนี้ด้วย เขาขมวดคิ้ว “นายจ้องหน้าฉันทำไม?!!”
“ฉันบอกนายไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าเป็นเพราะเสี่ยวเสวี่ย?” ชางกวนโม่จ้องหน้าเพื่อนกลับ เขารู้ความคิดของเพื่อนรักคนนี้ดี เขามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องทางการแพทย์จนแทบจะกลายเป็นบ้าไปแล้ว
“นายหมายถึงหมอที่เสี่ยวเสวี่ยหามางั้นเหรอ? แบบนั้นใช่ไหม?!!!”
“เปล่า แค่เสี่ยวเสวี่ย เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการฝังเข็มและการรมยาทางแพทย์แผนจีนโบราณ…” ถ้าเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เขาก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน
ทันใดนั้นจางหลินหลี่ก็กระโดดลุกขึ้นและชี้ไปที่ ชางกวนโม่ “นาย…นาย…นายล้อฉันเล่นใช่ไหม?” ดวงตาของเขาเบิกกว้างและเขาไม่อยากที่จะเชื่อว่าเด็กสาวแสนสวยที่เขาเพิ่งจะได้เจอไปจะเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ลึกซึ้งขนาดนี้
ชางกวนโม่กางมือขึ้นมาและจับเขาเขย่าตัวไปมาพร้อมพูดอย่างแผ่วเบา “หน้าฉันเหมือนกำลังล้อเล่นงั้นเหรอ?!!”
ล้อกันเล่นงั้นเหรอ?!!! จางหลินหลี่อยากที่จะด่าเขาจริงๆแต่เขาก็เห็นว่าเพื่อนมีท่าทางที่ดูจริงจังอย่างมาก นี่เป็นเรื่องจริง “มันจริง…” เขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี เธออายุเพียงแค่ 15 เองนะ! อัจฉริยะชัดๆ
“พี่ใหญ่…” ในเวลานี้ เสียงอันนุ่มนวลของไป๋เสวี่ยหลี่ก็ดังขึ้นมา
ชางกวนโม่รีบเดินออกไปทันที “เป็นอะไรหรือเปล่า? ยังเจ็บอยู่ไหม?”
ไป๋เสวี่ยหลี่ส่ายหัว “ไม่เจ็บแล้วค่ะ พี่ใหญ่คืนนี้อยู่เป็นเพื่อนฉันทีได้ไหม?” ดวงตากลมโตยังเป็นประกายไปด้วยน้ำตา
ชางกวนโม่จะกล้าปฏิเสธได้ยังไง เดิมทีเขาก็รู้สึกผิดอยู่แล้ว “ได้สิ คืนนี้พี่จะอยู่กับเธอเอง เธอนอนเถอะ!”
จางหลินหลี่กลอกตาอยู่ไม่ห่าง เธอไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วที่ต้องมีคนอื่นมาคอยดูแล!!! ตั้งแต่แรกเลยเขาคิดว่าน้องสาวของเพื่อนรักคนนี้ติดกับชางกวนโม่มากเกินไป
หลังจากนั้นสักพัก เสวี่ยหลี่ก็หลับตาลงและหลับไป
ชางกวนโม่บอกคุณอาฟางให้ดูแลเธอด้วยแล้วเดินออกนอกห้องไป จางหลินหลี่กำลังรอเขาอยู่ประตู
“นายมีอะไรอีกหรือเปล่า?!” ชางกวนโม่ถาม
ทันใดนั้นจางหลินหลี่ก็เลียปากตัวเอง, พับแขนเสื้อ, และเดินตรงเข้าไปหาชางกวนโม่ “นั่น…ฮ่าฮ่า…นั่น…”
จางหลินหลี่รู้สึกขยะแขยงเมื่ออยู่ในความดูแล พวกเขาบางคนอยากที่จะเอาชนะเขา เขาพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “นายนี่ดูเหมือนเจ้าของร้านขายเป็ดเลย ที่พอแก่แล้วก็หาลูกค้าไม่ได้!”
ไล่กันงั้นเหรอ!? ฉันเป็นเจ้าของร้านขายเป็ดงั้นเหรอ!!! ตระกูลของฉันเป็นเจ้าของร้านขายเป็ดกันหมดเลยงั้นเหรอ!!!
จางหลินหลี่ยิ้มอย่างพอใจ เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “ฉันอยากที่จะคุยกับเสี่ยวเสวี่ย นายช่วยนัดให้ฉันหน่อย”
ฮ่า?! นัดงั้นเหรอ?! ฝันไปเถอะ นี่เมียเขานะ! “ไม่มีทาง ฝันไปเถอะ!”
“ทำไมล่ะ!!!! โม่อย่าเห็นแก่ตัวไปหน่อยเลย นายต้องเสียสละตัวเองเพื่อการแพทย์สิ…” จางหลินหลี่เริ่มที่จะพูดถึงความสำคัญของเรื่องการแพทย์และอื่นๆอีก
ชางกวนโม่ตบแมลงที่อยู่ข้างๆเขา! เรื่องการแพทย์ไม่เกี่ยวอะไรกับเมียเขานี่ เขารู้แค่เพียงว่าเสี่ยวเสวี่ยเป็นเมียของเขา “อย่าพยายามที่จะมาเข้าใจเธอ…”
“จะไม่ช่วยจริงๆเหรอพี่ใหญ่?!! จางหลินหลี่บ่นอย่างไม่พอใจ
ชางกวนโม่ขยี้หูตัวเอง “อะไรนะ?! ฉันไม่เคยมองว่านายเป็นน้องชายฉันเลยนะ!!! นายก็แค่อ่อนไหวไปเอง”
แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำลายหัวใจเขาแล้ว แล้วจะยังทำเป็นมีความสุขได้ยังไง?!!!
ชางกวนโม่ไม่แคร์จางหลินหลี่ เขาหันไปพิงอยู่ที่กำแพงด้านหนึ่ง มองไปที่นาฬิกา นี่ก็ตี 3 แล้ว ไม่รู้ว่าเสี่ยวเสวี่ยรู้หรือยังว่าเขาหายไป?!!! ลืมไปเลย เดี๋ยวพอเช้าแล้วเขาจะต้องโทรไปอธิบายเรื่องนี้ให้เธอได้รู้
ที่อีกฝั่ง มู่หรงเสวี่ยที่นอนหลับอยู่ท่ามกลางความมืด เธอพลิกตัวกลับและไม่เจอร่างที่คุ้นเคย เธอลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียและพบว่าอีกฝั่งของเตียงว่างเปล่าแล้ว และเตียงก็เย็นไปหมด แสดงให้เห็นว่าเจ้าของที่นอนหายออกไปนานแล้ว
มู่หรงเสวี่ยสงสัยว่าชางกวนโม่หายไปไหนกลางดึกแบบนี้?!!!
ออกไปทำงานเหรอ?!!!!
ก็อาจจะใช่ มู่หรงเสวี่ยไม่ได้คิดอะไรมากและกลับไปนอนต่อ
เช้าวันต่อมา มู่หรงเสวี่ยที่เพิ่งจะกินอาหารเช้าเสร็จก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
“ฮัลโหลค่ะ พี่โม่!”
“เสี่ยวเสวี่ย เมื่อคืนนอนหลับสบายหรือเปล่า?” เสียงของชางกวนโม่ที่ไม่ได้นอนทั้งคืนแหบไปหมด
หัวใจของมู่หรงเสวี่ยพองโต “ดีค่ะพี่โม่ มีอะไรเหรอคะ? เมื่อคืนพี่หายไปไหนเหรอคะ?”
“เมื่อคืนเสวี่ยหลี่รู้สึกไม่ค่อยสบาย ฉันเลยต้องพาเธอมาโรงพยาบาล…” ชางกวนโม่อธิบาย
มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจ ไป๋เสวี่ยหลี่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วนี่ “มีอะไรเหรอคะ? ทำไมคุณไม่ปลุกฉันล่ะคะ? ฉันเป็นหมอแผนจีนโบราณนะ ในสถานการณ์แบบนี้โทรหาฉันไม่ง่ายกว่าเหรอคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันไม่อยากปลุกเธอ เมื่อวานเธอเหนื่อยมากแล้ว…” ในตอนแรกเขาอยากที่จะปลุกเธอมากจริงๆ แต่เขาเห็นว่าเธอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าและไม่อยากที่จะโทรปลุกเธอด้วยซ้ำ เธอคงจะเหนื่อยอย่างมากเขาเลยลังเลที่จะปลุกเธอนิดหน่อย
หัวใจของเธอรู้สึกอบอุ่น นี่โง่หรือเปล่าแต่ก็ปฏิเสธหัวใจตัวเองไม่ได้ว่าตอนนี้มันช่างหวานมากจริงๆ “พี่โม่ยังอยู่ที่โรงพยาบาลหรือเปล่าคะ?”
“ใช่ เสวี่ยหลี่อยู่ที่โรงพยาบาลและให้หมอคอยดูอาการต่ออีก 2-3 วันจะดีกว่า ฉันเป็นห่วงนิดหน่อย…” สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกผิดที่มีต่อไป๋เสวี่ยหลี่มันยังกดทับแน่นและไม่คลายไปไหน