บทที่ 9 รถเมล์ผี
เมื่อพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้าค่อยๆจางแสง โลกเริ่มมืดลง ดวงจันทร์สว่างเริ่มลอยสูงขึ้น ทำให้ท้องฟ้าและโลกที่มืดสลัว ค่อยๆสว่างขึ้น
“ พระจันทร์วันนี้ ช่างสว่างสดใสเสียจริง !” จางหลานกินแฮมเบอร์เกอร์ มองดูดวงจันทร์ แล้วพูดชื่นชม
“ โชคดีที่วันนี้แสงจันทร์สว่างพอ ถ้าเป็นคืนเดือนมืด ลมแรง เราควรกลับบ้านไปนอนกันแล้ว” เฉินฮุ่ยพูดติดตลก
“ นายว่าวันนี้รถเมล์มันจะมาไหม ?” จางหลานกินแฮมเบอร์เกอร์คำสุดท้ายแล้วเอามือเช็ดปาก มองเย่ปินที่กำลังมุ่งความสนใจไปยังป้ายรถเมล์
“ เฮ้อ ใครมันจะไปรู้ ! ก่อนหน้านี้เสี่ยวหลิวกับคนอื่นๆ เฝ้าซุ่มดูสถานที่ๆเด็กหายไปตั้งนาน แต่ก็ไม่พบอะไรเลย” เฉินฮุ่ยพูดด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว แต่แล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมา “นายว่า รถเมล์คันนั้นจะหมดเวลาวิ่งแล้ว ? หรือว่ามันจะปรากฏขึ้นตรงจุดที่เฉพาะเจาะจง ?”
เย่ปินเพิกเฉยต่อการสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ เขามองผ่านกล้องเทเลสโคป ไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ไกลๆตลอดเวลา
“ เป็นไปได้มาก ที่มันจะปรากฏขึ้นตรงจุดที่เฉพาะเจาะจงในเวลาที่แน่นอน” จางหลานคิดเกี่ยวกับคำพูดของเฉินฮุ่ย แต่แล้วเขาก็ส่ายหน้า “เฮ้อ ตอนนี้เรายังไม่เห็นรถเมล์นั่นเลย เราจึงยังไม่แน่ใจว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะโผล่มาเมื่อไหร่” ตอนนี้จางหลานรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย เกี่ยวกับเรื่องรถเมล์ ‘สาย 18’ เขาเพียงได้ยินคำบอกเล่ามาจากคนอื่นเท่านั้น ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง
“ ปินจื่อ หยุดกินอะไรก่อนเถอะ ฉันจะคอยเฝ้าดูต่อเอง” เฉินฮุ่ยหยิบแฮมเบอร์เกอร์ส่งให้เย่ปิน ตั้งแต่เริ่มมืดจนถึงตอนนี้เย่ปินเฝ้าดูป้ายรถเมล์อย่างไม่คาดสายตาเลย
“ ใช่ ให้เราผลัดกันดูแทนก็ได้ จ้องมองนานๆ แบบนี้ ดวงตาล้ากันพอดี หยุดกินอะไรสักหน่อยเถอะ” จางหลานช่วยเกลี้ยกล่อม
“ ฮู่ !” เย่ปินพ่นลมหายใจ วางมือจากกล้องเทเลสโคปและหยิบแฮมเบอร์เกอร์ที่เฉินฮุ่ยส่งให้ไปกัดกินคำโต
เฉินฮุ่ยหยิบกล้องเทเลสโคป เฝ้ามองป้ายรถเมล์ผ่านเลนส์แทน
ทั้งสามคนผลัดกันเฝ้ามองป้ายรถเมล์ จนเวลาผ่านไปค่อนคืนโดยไม่รู้ตัว
“ เกือบเที่ยงคืนแล้ว ผลัดนี้ฉันเฝ้าเอง พวกนายไปนอนพักก่อนเถอะ” จางหลานคว้ากล้องเทเลสโคปจากมือเย่ปิน พร้อมกับไล่ให้คนทั้งคู่ไปพักผ่อนสักครู่
“ โอเค อีกหนึ่งชั่วโมง หลานเกอ นายต้องปลุกฉันนะ” เย่ปินไม่ปฏิเสธ หลังจากมอบกล้องเทเลสโคปให้จางหลานแล้ว เขาก็กลับเข้าไปในรถ
“ ฉันจะพักสักครู่เหมือนกัน ปินจื่อนายอย่าลืมปลุกฉันนะ” เฉินฮุ่ยที่นอนอยู่ข้างๆพูดกับเย่ปิน
“ ง่วงชะมัด !” จางหลานหาว แล้วหมอบกับหลังคารถใช้กล้องเทเลสโคปส่องมองไปยังป้ายรถเมล์
เมื่อเวลาผ่านไปจางหลานก็เริ่มง่วงและหาวอยู่ตลอดเวลา หลังจากเฝ้ามองอยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จางหลานก็ทนความง่วงไม่ไหว ดวงตาปรือทั้งคู่ที่เฝ้ามองอยู่ค่อยๆปิดลง
ขณะที่จางหลานกำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีแสงจางๆ เกิดขึ้นในกล้องเทเลสโคปที่กำลังส่องดูตรงป้ายรถเมล์
พอได้เห็นแสงจางๆนั้น จางหลานก็ตาสว่างทันที แล้วยื่นมือลงไปตบที่กระจกรถเบาๆ “ตื่น ตื่น ! หัวหน้าเย่ ! เฉินฮุ่ย ! มีบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว !”
คนทั้งคู่ถูกเสียงตบกระจกปลุกให้ตื่น พอได้ยินคำพูดของจางหลาน พวกเขาก็รีบออกจากรถ หยิบกล้องเทเลสโคปขึ้นส่องมองไปยังป้ายรถเมล์ทันที
ในเวลานี้แสงสลัวตรงป้ายรถเมล์เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 5 นาทีต่อมา รถเมล์ร้างได้ปรากฏขึ้นมาจากที่ไหนไม่รู้ ค่อยๆวิ่งมาหยุดอยู่หน้าป้ายรถเมล์
“ นั่นมัน ! รถเมล์ ‘สาย 18’!” จางหลานกลืนน้ำลายจ้องมองแสงจางๆ จากป้ายที่แสดงสายเดินรถเหนือกระจกหน้ารถที่เขียนไว้ว่า ‘สาย 18’
“ เหมือนกับที่หลิวเจียซิ่งบอกไว้เลย” สายตาของเย่ปินกวาดมองไปทั่วรถอย่างรวดเร็ว หน้าต่างที่แตกหัก ตัวถังเป็นสนิม เหมือนกันทุกประการกับ รถเมล์ ‘สาย 18’ ที่หลิวเจียซิ่งได้บรรยายไว้
“ มืดเกินไป มองข้างในไม่เห็นเลย” จางหลานต้องการดูว่าใครเป็นคนขับ แต่ภายในรถเมล์มืดมาก จนมองข้างในได้ไม่ชัด
“ ปินจื่อ ดูตรงหน้าต่างท้ายรถ !” เฉินฮุ่ยพูดขึ้น เย่ปินกับจางหลานขยับสายตามองไปตรงจุดที่เฉินฮุ่ยพูดทันที
“ นั่นมัน ! มือขาด !” เย่ปินกับจางหลานถึงกับตัวสั่นและอุทานออกมาพร้อมกัน
หน้าต่างท้ายรถมองเห็นมือขาดห้อยอยู่นอกหน้าต่างได้อย่างชัดเจน ปลายนิ้วของมือที่ขาดยังมีเลือดไหลซึมออกมาอย่างผิดปกติ
“ บนรถเมล์นั่น มันเกิดบ้าอะไรกัน !” เสียงของจางหลานสั่นเล็กน้อย ลำพังมือขาดก็ทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นแล้ว เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าภายในรถเมล์คันนี้มีอะไรที่น่ากลัวอยู่
เย่ปินก็ตกใจกับภาพที่เห็นเช่นกัน แม้จะเคยได้ยินเรื่องราวของรถเมล์ ‘สาย 18’ มาก่อน ในตอนนั้นไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร เขาก็ไม่รู้สึกกลัว แต่ตอนนี้เขาได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ความกลัวก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในใจของเย่ปิน
“ ปินจื่อ ตอนนี้จะทำไงดี ?” เฉินฮุ่ยลดกล้องเทเลสโคปลง หลังจากที่ได้เห็นมือขาด เขาก็รู้สึกว่าไม่ควรซุ่มดูอีกต่อไป
เย่ปินไม่ตอบ เขาส่องดูรถเมล์ต่อไป ขณะส่องดูภายในรถ ประตูหน้าของรถเมล์ก็เปิดออกอย่างเงียบๆ จากนั้นเย่ปินก็ได้เห็นฉากที่เขาต้องจดจำไปตลอดชีวิต
ทันทีที่ประตูหน้ารถเปิดออก ศีรษะขาดที่แขวนอยู่ตรงประตูหน้ารถก็ปรากฏให้เห็น ศีรษะเปื้อนเลือด ปากครึ่งเปิดครึ่งปิด ดวงตาแดงก่ำจ้องมองไปข้างหน้าอย่างน่ากลัว ในขณะที่เย่ปินจ้องมองไปที่ศีรษะเปื้อนเลือด มันก็ค่อยๆหมุนอย่างช้าๆ จนกระทั่งดวงตาน่ากลัวของมันประสานเข้ากับสายตาของเย่ปิน
“ เฮ้ย !” เย่ปินสะดุ้งโหยง โยนกล้องเทเลสโคปในมือลงพื้นทันที และถอยจนหลังไปพิงกับรถ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เมื่อเห็นท่าทางของเย่ปิน จางหลานกับเฉินฮุ่ยก็เข้าไปข้างๆด้วยความเป็นห่วง
“ หัวหน้าเย่ !”
“ ปินจื่อ !”
“ นายโอเคไหม !” ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นเฉินฮุ่ยหรือจางหลาน ต่างก็ไม่เห็นภาพที่อยู่ด้านหลังประตูหน้ารถที่เปิดออก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเย่ปิน
“ ฮู่ ! ฮู่ ! ฮู่ !” เย่ปินอ้าปากเป่าลมหายใจ เหงื่อเย็นไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ในใจมีแต่ภาพของศีรษะขาดที่จ้องมองมายังเขาอยู่ตลอดเวลา
“ อ๊า ! อ๊า !” เย่ปินตัวสั่น อ้าปากร้องลั่น
“ นี่ ! ทำไงดี !” เมื่อเห็นท่าทางของเย่ปิน เฉินฮุ่ยที่ค่อนข้างตกใจก็หันไปมองจางหลานที่อยู่ข้างๆ
จางหลานขมวดคิ้ว ครู่ต่อมาก็ส่งสัญญาณให้เฉินฮุ่ยช่วยกันพยุงเย่ปินกลับขึ้นไปในรถ พวกเขาไม่สนใจเรื่องรถเมล์ผีอีกต่อไป รีบขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที