ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1474 ไวน์และเนื้อหอมหวน

ฉินสือโอวถอดเสื้อคลุมนอกออกเหลือเพียงเสื้อขนแกะ พ่อฉินบอกว่า “อย่าถอดเสื้อสิ อากาศหนาวขนาดนี้ เดี๋ยวเป็นหวัดไปแล้วทำยังไง?”
ฉินสือโอวลากเขามาลองอยู่ดู เปลวไฟอันร้อนแรงเลียก้นหม้อตลอด น้ำมันร้อนๆ เดือดปุดๆ เมื่อยืนอยู่ข้างๆ จะรับรู้ได้ถึงไอคลื่นความร้อนที่กระทบมาเป็นระลอกๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อท่วม
หมูห้าตัวแบ่งออกมาได้เนื้อสัน 10 ชิ้นเป็นเนื้อสันนอกและเนื้อสันใน ซึ่งเป็นเนื้อสันแท้ๆ เนื้อมีความเหนียวนุ่ม หลังจากที่ล้างจนสะอาดแล้วจะเห็นเนื้อชมพูใส เหมาเหว่ยหลงหั่นเป็นแว่นๆ หมักด้วยเครื่องปรุงรสทิ้งไว้สักพักแล้วยกมาเพื่อไว้สำหรับเป็นเนื้อสันในทอด
นำเนื้อสันในคลุกในแป้งมันหนึ่งรอบให้ทั่ว แล้ววางลงในหม้อที่มีน้ำมันร้อน ไม่นานชิ้นเนื้อก็เริ่มลอยอยู่บนน้ำมันที่เดือดปุดๆ แล้วก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอร่าม เพียงเท่านี้ก็สามารถตักขึ้นมาสะเด็ดน้ำมันได้แล้ว
ฉินสือโอวทอดเนื้อสันในสองชิ้นติดกัน หมูบ้านออกกำลังกายเยอะ เนื้อติดมันจึงมีน้อย ผลิตออกมาได้เนื้อไม่ติดมันมาก หมูสันในชิ้นหนึ่งหนักประมาณสองกิโลครึ่งถึงสามกิโล เมื่อทอดสองชิ้นจึงได้ออกมาเป็นจานใหญ่จานหนึ่ง
อาหารหลักคือเนื้อย่างและซี่โครงตุ๋น กระดูกชิ้นใหญ่เอามาใช้ทำซุป ในโรงน้ำแข็งจะมีผักป่าที่พ่อฉินและแม่ฉิน ไปเด็ดเก็บไว้ตอนช่วงฤดูใบไม้ร่วงยามที่พวกท่านเบื่อๆ ผักป่าเหล่านี้ได้รับความร้อนมาแล้ว รสชาติสดใหม่จะถูกเก็บไว้ในระดับอุณหภูมิสูงสุด ตอนนี้หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในน้ำซุปต้มกระดูก รสชาติจะดีที่สุด
หลังจากที่ยัดไส้ในไส้กรอกเลือดเรียบร้อย ก็สามารถเอามาต้มกินได้เลย มัดปลายสองข้างให้แน่น แล้วใส่ลงไปทีละเส้น ต้มจนมันลอยขึ้นมาก็สามารถเอาขึ้นมากินได้
เมื่อเตรียมกับข้าวเหล่านี้จนเกือบเสร็จ ฉินสือโอวก็สั่งให้พวกทหารไปยกลังเหล้าขาวออกมาทีละลังซึ่งเป็นเหล้าดีทั้งนั้น เหล้าพวกนี้เป็นเหมาเหว่ยหลงที่เอามาได้ผ่านคอนเนคชั่น อย่างเหมาไถ อู่เหลียงเย่ อะไรก็มีทั้งนั้น
เกิงจุนเจี๋ยหยิบเอาเฟยเทียนเหมาไถขวดหนึ่งขึ้นมาดู แล้วถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “บอส คอนเนคชั่นของคุณนี่มันกว้างขวางจริงๆ นี่เป็นเหมาไถของแท้เลยนะ ไปเอามาจากไหนกัน?”
ฉินสือโอวชี้ไปที่เหมาเหว่ยหลง แล้วพูดขึ้น “ไอ้เนี่ย พ่อของเขาเป็นถึงรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรในเมืองหลวง จะเอาของพวกนี้ไม่ง่ายหรอกเหรอ?”
เหมาเหว่ยหลงผลักเขาไปหนึ่งที ยิ้มแล้วด่าว่า “เชี่ย อะไรคือองครักษ์เสื้อแพร? ตำรวจของประชาชนรู้จักเปล่า?”
เกิงจุนเจี๋ยรู้สึกเกรงขึ้นมาทันที ตอนที่เขาเกษียณตัวเลือกแรกของเขาก็คือไปสถานีตำรวจที่บ้านเกิดเขา แต่หลังจากที่พยายามหาหน่วยงานเข้าผ่านคอนเน็คชั่นมากมายก็ไม่เจอหน่วยงานไหน บวกกับตอนนั้นภรรยาของเขาป่วยต้องใช้เงิน จึงทำได้เพียงไปทำงานที่ต่างประเทศ ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าคนที่นั่งกินข้าวหม้อเดียวกันอยู่นี้จะเป็นบุตรชายของหัวหน้าใหญ่ในสถานีตำรวจในเมืองหลวง
โดยปกติการจัดปาร์ตี้กินข้าวด้วยกันมักจะเป็นช่วงเย็น แต่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว อากาศหนาวเกินไป ฉินสือโอวจึงเปลี่ยนเวลามาเป็นกลางวัน พอเป็นแบบนี้อย่างน้อยก็มีแสงแดดส่องมาให้ความอบอุ่นได้หน่อย
เมื่อถึงร้านอาหาร ซี่โครงหมูจานใหญ่ถูกยกออกมาทีละหม้อ และยังมีไส้กรอกเลือดจานใหญ่ เนื้อทอดจานใหญ่ บาร์บีคิวชิ้นใหญ่ หนังหมูพริกดองชิ้นโต กระจายไปตามโต๊ะต่างๆ
ฉินสือโอวตักซุปใส่ชามแล้วโรยด้วยผักชีและต้นหอม กลิ่นหอมสดชื่นของผักป่าผสมผสานกับความเข้มข้นหอมหวนของซุปกระดูกหมู เขาตักแล้วส่งให้เกิงจุนเจี๋ย “มา พี่เกิง ชิมซุปที่ตุ๋นโดยฝีมือบอสดู”
เกิงจุนเจี๋ยประหลาดใจในความใจดีของเขา ยื่นสองมือไปรับชามซุปแล้วซดลงไปอึกใหญ่ หลังจากซดแล้วเขาก็เช็ดเหงื่อที่ผุดตรงหน้าผากเขาแล้วอุทานว่า “สบายจริงๆ!”
ฉินสือโอวมองด้วยสายตาตกตะลึง “เชี่ย ไม่ร้อนเหรอ?”
เกิงจุนเจี๋ยหัวเราะ “ซุปที่บอสให้ ต้องซดจนเกลี้ยงอยู่แล้วสิครับ!”
ผู้ชายที่เป็นหนุ่มใหญ่ในร้าน ด้านหน้าทุกคนต่างมีเหล้าขาวหนึ่งขวดอยู่ในมือ ฉินสือโอวใช้แก้วขนาดสองเหลี่ยง[1]ใส่เหล้า ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “พี่น้องทั้งหลายมาอยู่กับฉันก็เป็นเวลานานแล้ว ฉันไม่เคยจัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับให้เลย ครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการต้อนรับโดยเฉพาะให้กับทุกคนนะ มา ชนแก้ว!”
เกิงจุนเจี๋ยยืนขึ้นมาแล้วตะโกนขึ้น “ยืนขึ้น!”
คนที่เหลืออีก 9 คนยืนขึ้นมาพร้อมกัน ยกแก้วเหล้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “ขอบคุณครับบอส!”
เสียงขึ้นๆ ลงๆ ไม่พร้อมเพรียงกัน ได้รับการฝึกจากกองทหารต่างกัน
ฉินสือโอวกวักมือเรียกให้เริ่มรับประทานอาหารได้ เขาเลือกซี่โครงมากินชิ้นหนึ่ง
ปกติเขากินเนื้อสัตว์ไม่เยอะ ถึงแม้ว่าเกาะแฟร์เวลจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็เหมือนกับเมืองใหญ่ๆ ในแคนาดา ผู้คนจะพิถีพิถันในการผสมผสานกันระวังเนื้อสัตว์และผัก และพวกธัญพืชหยาบ แต่ละมื้อจะกินอะไร วินนี่ต้องวางแผนก่อน ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่เขาจะหาโอกาสแบบนี้ในการกินเนื้อได้ไม่จำกัด
รสชาติของเนื้อซี่โครงหมูบ้าน หมูเลี้ยงเทียบไม่ได้เลย เพราะหมูพวกนี้ถูกเลี้ยงด้วยหญ้าที่ไร้ซึ่งมลภาวะหรือแม้กระทั่งผลไม้เป็นเวลาหนึ่งปี เนื้อซี่โครงไม่ติดมันแต่ก็ไม่แห้งเกินไป ชิ้นเนื้อตุ๋นหอมอบอวลแต่ไม่เลี่ยน กินคำใหญ่ทีละคำไปเรื่อยๆ ช่างมีความสุขเสียจริง
วินนี่เตรียมถุงมือพลาสติก ส่วนคนกลุ่มหนึ่งกำลังลงมือหยิบมากิน ฉินสือโอวคว้าขวดเหล้าพาเกิงจุนเจี๋ยไปยกแก้วชนทีละคน พวกเหล่าทหารต่างรู้สึกไม่ดี จะให้บอสมายกแก้วชนก่อนได้อย่างไร พวกเขาต้องให้เกียรติก่อน
ฉินสือโอวบอกว่า “เมื่อมาถึงฟาร์มปลาแล้ว ก็แตกต่างจากกองทัพ พวกเราดูแลแค่ผลประโยชน์ต่อกลุ่มเราที่นี่ แต่ว่าทุกผลประโยชน์เป็นของฉัน ครั้งแรกที่มาร่วมทานอาหารด้วยกัน ฉันเป็นพี่ใหญ่ก็ควรนำพวกเราก่อน ภายหลังฟาร์มปลาจะเป็นยังไงก็ดูที่ผลงานของพวกเราแล้ว”
คนทั้งกลุ่มตบไปที่หน้าอกตัวเองเสียงดังแปะ แปะ แล้วพูดขึ้นว่า “บอส วางใจเถอะครับ บอสพูดอะไรก็เป็นไปตามนั้น บอสชี้สั่งการไปที่ไหน พวกเราก็จัดการที่นั่น!”
สำหรับพวกเขาการที่มาอยู่ที่ฟาร์มปลาต้าฉินได้ พวกเขาก็พึงพอใจมากแล้ว เงินเดือนของเดือนธันวาคมและมกราคมจ่ายตรงตามเวลา ถึงแม้ว่าปีที่แล้วพวกเขาจะทำงานไปแค่เดือนเดียว แต่กลับได้โบนัสด้วยเล็กน้อย ซึ่งสำหรับคนทำงานเช้าชามเย็นชามนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง กินดื่มอยู่ที่ฟาร์มปลาดีไปหมด ที่พักของชาวประมงได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรา บ้านของพวกเขาเองยังไม่ดีเท่านี้เลย ปกติพอทำงานเสร็จยังไปแช่น้ำร้อน หรือล่าสัตว์ได้อีกด้วย ใช้ชีวิตแต่ละวันมีความสุขกว่าตอนอยู่ที่จีนเยอะ
เกิงจุนเจี๋ยพูดสิ่งเหล่านี้ออกไป สุดท้ายยังบอกอีกว่า “ผมกับพี่น้องยังพูดกันเองอยู่เลยว่า มาที่ฟาร์มปลาไม่ได้มาทำงานแต่มาพักผ่อน”
“เที่ยวพักผ่อนยังไม่ดีเท่านี้เลยด้วยซ้ำ” พวกทหารหัวเราะกันขึ้นมา
ฉินสือโอวตบไหล่พวกเขา แล้วพูดขึ้น “ฉันก็สบายใจละ ถ้าพวกนายคิดว่าที่นี่ดี พี่ๆ น้องๆ ทำงานที่นี่ดีๆ พวกเราไปแอบสืบจากพวกชาวประมงที่อยู่มานานได้ ฉัน ฉินดูแลลูกน้องและพี่ๆ น้องๆ ดีมากจนไม่ต้องบรรยายเลย!”
เกิงจุนเจี๋ยพูดขึ้น “เรื่องนี้บอสอย่ากังวลเลย เก้าคนนี้ผมจะคอยดูแลให้ดี ถ้าเกิดใครคิดสองจิตสองใจหรือเล่นอุบายอะไร ผมจะรายงานบอสอย่างแน่นอน คนประเภทนี้จะต้องไสหัวออกไปทันที!”
“ใช่ ใครแอบขี้เกียจ จงออกไป!” พวกทหารก็ตะโกนขึ้นมาเช่นกัน
ฉินสือโอวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ยกแก้วเหล้าขึ้นแล้วพูดว่า “มา หมดแก้ว!”
เมื่อกลับมาตรงที่นั่ง สีหน้าของเหมาเหว่ยหลงเต็มไปด้วยความอิจฉาและเกลียดชัง “เดี๋ยวกลับไปฉันก็จะรับสมัครคนมีความสามารถเหมือนกัน แม่งเอ๊ย ปีที่แล้วเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง ในที่สุดก็เอามาขยายการผลิตได้แล้ว”
ฉินสือโอวพูดขึ้น “แค่ฟาร์มเล็กๆ ของแก จะหาคนอะไรมาเพิ่ม? ตัวเองทำเองไม่ไหวเหรอ?”
เหมาเหว่ยหลงร้องฮึ “ฉันหาคนเพิ่มแกจะมาห้ามได้เหรอ?”
ฉินสือโอวหัวเราะขึ้นมา ตบไปที่ไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “โคโกโร่ แกอยู่บนที่ของฉัน ยังกล้าไม่มีเหตุผลแบบนี้เลยเหรอ? ฉันว่าแกนี่มันขี้โม้จริงๆ”
เขาตบไปที่โต๊ะแล้วพูดกับเกิงจุนเจี๋ยว่า “ฉันจะบอกอะไรพวกพี่ๆ น้องๆ ให้ ถึงเวลาทดสอบประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาแล้ว เทเหล้าให้คุณเหมาของเรา ถ้าเขาไม่สลบพวกนายก็ต้องสลบเอง!”
เหล้าที่เหมาเหว่ยหลงดื่มลงไปกลายเป็นเม็ดเหงื่อผุดออกมา พูดด้วยความหวาดกลัวว่า “เชี่ย ฉินแกทำแบบนี้ไม่ได้…”
เกิง จุนเจี๋ยเปิดอู่เหลียงเย่สองขวดแล้วนั่งกระเถิบมา “คุณชายเหมา เป็นอะไรเหรอ พวกเราเริ่มยังไงดีครับ?”
……………………………………….

[1] 1 เหลี่ยงเท่ากับ 50 กรัม

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset