SPH:บทที่ 137ฉันก็อยากเป็นนักต่อสู้นะ!
“หยางเฟิงหวู” เย่หยู่อึ้งไปชั่วขณะเมื่อเขาได้ยินเธอพูดชื่อนี้ขึ้นมา เขาหันหลังกลับมองตามทิศทางมือที่ซื้ออกมาของอีกฝ่ายในทันที เขาได้พบว่าหยางเฟิงหวูกําลังเดินตรงมาทางเขา
“ทําไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เย่หยู่ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ฉันมีเรื่องจะบอกนาย”
หยางเฟิงหวูหันไปส่งยิ้มให้กับฮันเสวี่ยหนึ่งครั้งจากนั้นเธอก็หันไปพูดกับเย่หยู่ตามเดิมว่า “ฉันคิดว่าฉันไม่ได้ฝึกกระบวนท่าของท่าออกกําลังกายที่ได้ศักยภาพดีที่สุด ฉันก็เลยอยากให้นายสอนฉันแบบตัวต่อตัว”
เมื่อเขาได้ยินในสิ่งที่เธอพูด คิ้วของเย่หยู่ก็กระตุกหนึ่งครั้ง ภายในใจของเขาคิดว่านี้ต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ!
แม้ว่าเย่หยู่จะไม่ได้หันหลังกลับไปมองหญิงสาวเขาก็รู้สึกได้ในทันที่ว่าฮันเสวี่ยกําลังสํารวจมองไปตามร่างกายของเธอด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่
“เอ่อ…ฉันได้บอกเธอไปหมดทุกอย่างแล้ว ตราบใดที่เธอยังฝึกฝนมันอย่างสม่ําเสมอ เธอก็ไม่จําเป็นที่จะต้องให้ฉันสอนเธอหรอกน่า”
เย่หยู่ส่งขยิบตาให้กับหยางเฟิงหวูหนึ่งครั้ง เหมือนเป็นการส่งสัญญาให้เธอรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็ว
หยางเพิ่งหวูทําเหมือนกับว่าเธอไม่ได้รับสัญญาณใดๆจากเย่หยู่มิหนําซ้ําเธอยังพูดต่อว่า “อ้อ ใช่วันนี้อย่ามาสายนะ! ฉันจะรอนายอยู่ที่สนามเหมือนเดิม”
ก่อนที่เธอจะเดินจากไปหยางเฟิงหวูได้หันกลับมาส่งยิ้มให้กับฮันเสวี่ยอีกหนึ่งครั้ง
เมื่อเห็นว่าหยางเพิ่งหรูหันหลังกลับและเดินจากไปเย่หยู่ก็ได้แต่พึมพํากับตัวเอง นี่หยางเพิ่งหรูไม่ได้ตั้งใจจริงๆใช่ไหม
ครั้งสุดท้ายที่เขากําลังร้องเพลงในห้องร้องเพลงของโรงเรียนนั้น หยางเพิ่งหวูได้ยืนขึ้นกลางห้องแล้วปาวประกาศว่าเธอชอบเขา แต่เย่หยู่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยสักนิด ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าหยางเพิ่งหวูนั้นต้องการที่จะแข่งกับฮันเสวี่ย
มือทั้งสองข้างได้ยื่นออกไปบีบเนื้อนุ่มนิ่มที่เอวของเย่หยู่ เธอออกแรงบิดมันเล็กน้อย
“ฮึ่ม!” กระบวนท่าออกกําลังกาย! สอนตัวต่อตัว! อย่ามาสายนะ! ไหนบอกมาสิ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หน้าตาที่สดใสของฮันเสวี่ยก่อนหน้านี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่โกรธเคืองขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเธอถามคําถามกับเย่ห
“เอ่อ จริงๆแล้วก็ … “
เย่หยู่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากว่าเขาจะบอกเธอเกี่ยวกับการฝึกของเขาจากซิงเหมิงและการเลื่อนขั้นเป็นนักต่อสู้ฝึกหัด
ฮันเสวี่ยดึงมือของเธอที่กําลังบีบเอวของเย่หยู่กลับไป แล้วพูดว่า “คืนนี้ฉันอยากไปกับนายด้วย! ฉันก็อยากฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยเหมือนกัน!”
ที่ใต้ต้นซากุระต้นหนึ่งมีชายหนุ่มรูปงามรูปหนึ่งสวมชุดสีขาวกําลังยืนกุมมือพาดไว้ทางด้านหลังอยู่
“เอาสิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว!” เย่หยู่ได้ยินดังนั้นก็รีบพยักหน้าในทันที
ในเวลาเดียวกัน ที่ประเทศญี่ปุ่นลานกว้างหน้าบ้านที่ถูกออกแบบได้อย่างสวยงามและมีวิจิตรศิลป์ และยังสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของภูเขาได้
ชายผู้นี้มีสีผิวที่ค่อนไปทางขาวดวงตาของเขาที่และยาวกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย ริมฝีปากบางของเขาคลี่ยิ้มเบาๆ
กลีบดอกซากุระที่กําลังร่วงหล่นถูกพัดออกจากต้นไปตามสายลมอ่อนๆ กลับดอกไม้ได้ปลิวไปรอบๆชายคนนี้อ่อนโยน
ในขณะที่ดอกซากุระปลิวเพราะแรงลมได้ร่วงลงไปตกอยู่บนเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านของคุณชายรูปงามปรากฏให้เห็นภาพราวกับภาพวาดที่สวยงาม
“คุณชายเปยหมิง ลูกน้องของคุณชาวได้ข่าวเกี่ยวกับสิบสามเข็มสํานักปีศาจแล้วครับ!”ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างท้วมเล็กน้อยกําลังคุกเข่าอยู่ทางด้านหลังของชายหนุ่มรูปงาม เขาพูดออกมาด้วยท่าทีที่ประหม่าเล็กน้อย
“เฮ้อ … “ เสียงพึมพําถอนหายใจและพูดอย่างเสียใจ “เทียนหยงสํานักชาง รู้อะไรไหมที่คุณพูดมา ในตอนนี้ฉันไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย!”
เทียนหยงสํานักชางแอบปาดเหงื่อที่ผุดตามใบหน้าของอย่างเบามือและเงียบที่สุดเท่าที่เขาจะทําได้ หลังจากนั้นเขาก็พูดออกมาด้วยความเคารพว่า”ผมขอโทษจริงๆครับที่รบกวนคุณชาย!”
เปยหมิงขยับตัวเล็กน้อยและหยุดที่เก้าอี้ม้าหินที่อยู่ถัดจากต้นซากุระ
เขายืดมือเรียวออกไปแล้วกวาดไปทั่วโต๊ะหินจู่ๆชุดน้ําชามกลางอากาศ
คุณอาเบะกําลังจิบชาอย่างเชื่องช้า
หลังจากนั้นไม่นานนักเปยหมิงได้วางถ้วยน้ําชาในมือของเขาลงบนโต๊ะหินและหันกลับมาถามด้วยน้ําเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิมว่า “คุณได้ตํารามารียัง”
“คือ … “ จู่ๆเหงื่อบนหน้าผากของเทียนหยงสํานักชางได้ผุดออกมามากกว่าเดิม เขาคุกเข่าบนพื้นและพูดว่า ” ตอนแรกฉันกําลังมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเพื่อโชคดีเราจะเจอคตําราลับกลับมาด้วย แต่เขาทําไม่สําเร็จครับ!”
เทียนหยงกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ผมได้ส่งคนไปที่ฮัวกัวแล้วครับคราวนี้ผมจะนําตําราลับกลับมาให้ได้!
“อืม.”
เปยหมิง ถามเบาๆว่า “มีอะไรอีกไหม”
เทียนหยงสํานักชางได้คุกเข่าลงแนบกับพื้นและพูดอย่างเคารพว่า “คราวนี้ด้วยผู้นําอาวุโสระดับเข้าสู่แก่นแท้จะไม่มีข้อผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอนครับ!”
“มันจะมาถึงเมื่อไหร่”
“คืนนี้ครับ!”
ตุ๊กตุ๊กตุ๊ก
เปยชิงเคาะนิ้วที่เรียวสวยของเขาลงบนโต๊ะหินเป็นจังหวะสม่ําเสมอเพื่อสร้างความกดดันให้กับเทียนหยง
ตูตู !
ในทันใดนั้นเองเปยหมิงก็ได้หยุดการการทําดังกล่าว เขาหันมาพูดกับเทียนหยงสํานักชางที่กําลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นว่า “ผู้นําสํานักชางเนื่องจากว่าตอนนี้คุณได้เป็นถึงผู้นําแล้ว หลังจากนี้อย่าได้เข่าบนพื้นอีกรีบลุกขึ้นแล้ว เร็วเข้าสิ”
“ครับท่าน!”
เทียนหยงสํานักชางขานรับด้วยน้ําเสียงที่หนักแน่นและยืนขึ้นตามคําสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างรวดเร็วในทันที
เปยหมิงมองไปที่ดอกซากุระที่กําลังร่วงหล่นและหันกลับมาโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้เขารู้ว่าตอนนี้ได้ถึงเวลที่เขาสมควรไปจากที่นี่ได้แล้ว “เอาล่ะไปได้แล้ว!”
“ครับท่าน!”
เทียนหยงสํานักชางขานรับเป็นครั้งสุดท้าย เขาปฏิบัติตามคําสั่งของผู้เป็นนายโดยหันหลังกลับและเดินจากไปจากที่ตรงนี้ในทันที
“อ้อ ใช่แล้ว ฉันลืมบอกเรื่องสําคัญไปเลย คราวหน้าอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ถ้าไม่ได้นําสิบสามเข็มสํานักปีศาจกลับมาด้วย เข้าใจไหม!”
น้ําเสียงที่นุ่มนวลของเปยหมิงลอยก้องกังวานอยู่ในหูของเทียนหยงสํานักชาง
ชายร่างท้วมตัวสั่นเล็กน้อยโดยไม่ทันตั้งตัว
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกดิน แสงไฟในห้องเรียนของโรงเรียนมัธยมเซียงหยูก็ค่อยๆดับลงหลังจากที่เหล่านักเรียนเริ่ม
พากันกลับไปยังบ้านของตน เว้นแต่เย่หยู่ที่กําลังพาฮันเสวี่ย ไปที่สนามของโรงเรียน
เย่หยู่เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าที่ในยามค่ํามืด บนท้องฟ้าผืนนี้ปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆครึ้ม เขาพูดออกมาเบาๆว่า “เหมือนฝนกําลังจะตก”
ฮันเสวี่ยที่เดิมตามหลังของเย่หยู่มาติดๆ ได้ถามเขาในสิ่งที่ตนสงสัยว่า”เย่หยู่ ฉันได้ยินพ่อพูดถึงพวกศิลปะการต่อสู้อะไรพวกนี้ด้วยอ่ะถ้าฉันได้เป็นนักต่อสู้แล้วมันจะวิเศษมากๆเลยใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ใช่ว่ามันจะวิเศษสักทีเดียวหรอก แต่ความสามารถที่เธอได้เรียนรู้มันจะอยู่ติดตัวเธอไปตลอดชีวิตเลยนะ!”
ฮันเสวี่ยพยักหน้ารับแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าใจมันสักเท่าไหร
ที่สนามซิงเหมิงและหยางเพิ่งหรูทั้งสองกําลังรอเย่หยู่อยู่
“เอ๊ะ” ฮันเสวี่ย เธอมาที่นี่ทําไมอ่ะ”
หยางเพิ่งหวูถามขึ้นมาในทันทีที่เธอสังเกตเห็นฮันเสวี่ยที่กําลังเดินตามหลังเย่หยู่มาติดๆ
“ฉัน ฉันก็อยากฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยเหมือนกัน!”
ฮันเสียกลอกตาของเธอในขณะที่กําลังตอบคําถามของหยางเฟิงหวูราวกับว่าต้องการยั่วโมโหเธอ
เย่หยู่ยกมือขึ้นมากดบริเวณหน้าผากของเขาเหมือนคนที่มีอาการปวดหัวขึ้นมาในทันที
เขารู้ดีว่าฮันเสวี่ยต้องการที่จะทําอะไร เธอแค่อยากให้หยางเฟิงหวูยอมแพ้กับเรื่องนี้ก็เท่านั้นเอง
แต่ด้วยนิสัยของหยางเพิ่งหรูแล้วมันเป็นเรื่องยากสําหรับ เธอที่จะท้าทายเขายิ่งเธอชอบมันมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งยากสําหรับเธอเท่านั้น
“ฮิฮิ ยินดีต้อนรับยินดีต้อนรับนะ!” ฉันหวังว่าทนจะทนกับความยากในการฝึกศิลปะการต่อสู้ได้นะ”
แน่นอนว่ามันเป็นไปตามที่เย่หยู่คิดไว้ไม่มีผิด เขาสังเกตเห็นว่านัยน์ตาของหยางเฟิงหวูนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของนักต่อสู้ ในขณะที่เธอกําลังมองไปทางฮันเสวี่ย รับรู้ได้ในทันที่ว่าเธอไม่มีวันยอมรับความพ่ายแพ้เด็ดขาด
“ฮึ่ม!” ฮันเสวี่ยพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นเธอหันไปทางเย่หยู่และพูดกับเขาว่า “เราจะฝึกศิลปะการต่อสู้กันยังไงดีนะ เย่หยู่สอนฉันหน่อยสิๆ นะ นะ”
“นี่เธออยากฝึกมันจริงๆเหรอ” เย่หยู่ถามออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ฮันเสวี่ยพยักหน้ารับด้วยความมุ่งมั่น “แน่นอนอยู่แล้วสิ!”
“ดีก่อนอื่นเธอจะต้องเรียนรู้กระบวนท่าออกกําลังกายเสียก่อน เพื่อสร้างพื้นฐานที่ดี!”
ฮันเสวี่ยหันไปมองหน้าเขาด้วยความสงสัย” กระบวนท่าออกกําลังกายเหรอ” เย่หยู่ นี่นายอย่ามาโกหกฉันเลยนะ ฉันรู้นะว่าพื้นฐานมันต้องเป็นท่าขี่ม้า ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันกลายเป็นกระบวนท่าออกกําลังกายกัน”
“เอ๊ะ มันคือสามสิบหกกระบวนท่าของท่าออกกําลังกาย!”
เย่หยู่กําลังอธิบายกับฮันเสวี่ยว่า “เอาเป็นว่า ฉันจะสอนมันกับเธอสักครั้งแล้วกันนะ”
ฮันเสวี่ยพยักหน้ารับคําโดยไม่ได้ถามคําถามอะไรเพิ่มอีก เธอกําลังสังเกตท่าทางของเหยู่ที่แสดงออกมาด้วยความตั้งใจ
“นี่ นี่คือกระบวนท่าสินะ” ฮันเสวี่ยมองดูกระบวนท่าที่เย่หยู่ได้แสดงมันออกมาในความคิดของเธอเต็มด้วยความประหลาดใจ นี่มันเกินขีดจํากัดของมนุษย์แล้ว!
“ฟูว ..“
เย่หยู่หยุดพักอยู่ครู่หนึ่ง เขาผ่อนหายใจออกมายาวๆ เมื่อลองเปรียบเทียบกับตอนแรกที่ร่างกายของเขายังไม่ได้เคลื่อนไหวในตอนนี้เขาแค่เริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น
“เอาล่ะนี่ก็คือสามสิบหกกระบวนท่าของท่าออกกําลังกายใช่ไหม”
เย่หยู่ได้บอกกับฮันเสวียว่า “อย่าดูถูกมันล่ะ ถ้าเธอฝึกฝน มันอย่างขยันขันแข็งสมรรถภาพทางกายของเธอก็จะเพิ่มขึ้น อย่างน้อยสามเท่าตัวเลย!”
“เธอจําท่ากระบวนท่าที่ฉันแสดงให้ดูเมื่อกี้ได้ใช่ไหม”
ฮันเสวี่ยพยักหน้าตอบ เธอยกโทรศัพท์ในมือของเธอขึ้นมา ได้แน่นอนอยู่แล้ว ฉันอัดวิดีโอกันลืมไว้ด้วยแหละ”
“เออ นั่นเป็นความคิดที่ดีนะ!”
ฮันเสวี่ยเหยียดข้อมือออกไปในขณะที่กําลังยืนอยู่กับที่เพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการฝึกกระบวนท่าต่างๆ
ซิงเหมิงและหยางเฟิงหวูที่กําลังยืนอยู่ข้างๆกําลังดูเย่หยู่ที่กําลังสอนกระบวนท่าต่างๆให้ฮันเสวี่ย
“ฮันเสวี่ย เธออย่าฝึกกระบวนท่าพวกนี้เลยมันยากมากเลยนะ!”
หยางเฟิงหวูเอื้อมมือไปจับเข้าที่แขนของเธอไว้เพื่อห้ามปราม แต่ในขณะเดียวกันเธอพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง ฉันเป็นคนที่รักการเต้นมาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ ฉันเคยฝึกโยคะด้วยนะ ร่างกายของฉันยืดหยุ่นได้สบายมาก! “ฉันฝึกกระบวนท่าสําเร็จแน่นอน”
ฮันเสวี่ยได้ตอบหยางเฟิงหวู ในขณะที่เธอก็เริ่มขยับท่าทางตามกระบวนท่าต่างๆไปพร้อมๆกัน
หยางเพิ่งหวูมองไปที่ฮันเสวี่ย เธอได้ตั้งข้อสงสัยกับตัวเองว่าฮันเสวี่ยจะสามารถฝึกกระบวนท่าได้สักเท่าไหร่กันเชียว หนึ่งหรือว่าสองกันแน่นะ
เพราะเป็นที่รู้ๆกันว่าครั้งแรกที่หยางเพิ่งหรูได้เริ่มฝึกกระบวนท่าพวกนั้น เธอฝึกมันได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่าด้วยซ้ํา
“กระบวนท่าแรกนี่มัน ว้าวยากจริงๆด้วย!”
กนออกมาในขณะเธอกําลังแสดง
“กระบวนท่าที่สอง อึม…รู้สึกเจ็บนิดหน่อยแหะ”
“ กระบวนท่าที่สามโอ้ย ยากอะไรขนาดนี้! เย่หยู่ ใครเป็นผู้คิดค้นกระบวนท่าพวกนี้เนี่ย ทําไมมันถึงยากขนาดนี้”
หยางเฟิงหวูที่กําลังมองจากทางด้านข้างและตาของเธอได้กระตุกหนึ่งครั้งทําไมเธอถึงผ่อนคลายได้ขนาดนี้ เป็นไปได้ยังไง ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้ป่วยถึงขนาดว่าพูดยังพูดไม่ได้ไม่ใช่รึไง!
คิ้วของซิงเหมิงก็กระตุกขึ้นมาด้วยเช่นกันเป็นไปได้ไหมว่า สิ่งที่เขาเคยได้ฝึกฝนนั้นเป็นของปลอมเพราะผู้หญิงตัวเล็กคนนึงที่ไม่เคยฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาเลยสักครั้งจะสามารถแสดงกระบวนท่าพวกนี้ได้อย่างไร
ฮันเสวี่ยไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าเธอนั้นทําให้ซิงเหมิงและหยางเฟิงหวูนั้นได้ตกตะลึงในความสามารถของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอสนเพียงแค่การฝึกสามสิบหกกระบวนท่าของท่าออกกําลังกายเท่านั้น
“ฟูว.. กระบวนท่าที่สิบแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนร่างกายปวดร้าวมากกว่าเดิมอีก!”
“กระบวนท่าที่สิบสาม เย่หยู่นี่คือวิธีการฝึกฝนที่ดีที่สุดในการลดน้ําหนักเลย แค่ขยับร่างกายไม่เท่าไหร่เหงื่อก็ไหลออกมาเต็มไปหมดแล้วเนี่ย!”
ฮันเสวี่ยปาดเหงื่อที่พรั่งพรูออกมาตามหน้าผากของเธอออกและยังคงเคลื่อนไหวต่อไปเหมือนคนที่ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด