คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 229 แผนการของอวี๋จวินเหยา

“หึ ๆ ข้ารู้ว่าใครคือคนที่พวกท่านกำลังตามหาอยู่”

เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นและเป็นผลให้บรรยากาศภายในงานเลี้ยงเปลี่ยนไปทันที

ยอดฝีมือจากดินแดนเทพมายาที่กำลังอยู่ในอาการผิดหวังเปลี่ยนกลับมาเป็นตื่นเต้นดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่

พวกเขามายังดินแดนแห่งนี้ก็เพื่อตามหาคน แต่หลังจากค้นหากันอยู่นานก็ยังไม่พบตัว ในตอนที่กำลังคิดว่าต้องกลับบ้านมือเปล่า คาดไม่ถึงว่าจะมีคนที่รู้เบาะแสปรากฏตัวขึ้น

อวี๋จวินซานขมวดคิ้วด้วยว่าเสียงนั้นดังมาจากทางฝั่งที่นั่งของนครเมฆา มันเป็นเสียงของน้องสามของเขาอวี๋จวินเหยา จ้าวนครเมฆาเกิดความสงสัยขึ้นมาในทันทีว่าสิ่งที่คนผู้นี้ล่วงรู้คืออะไรกันแน่

แม้ว่าจะเกิดความกังวลขึ้นมาในใจ แต่บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ก็พยายามกดข่มไม่ให้มันปรากฏบนสีหน้า ทว่าตัวเขาเตรียมพร้อมสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ซึ่งนั่นก็คือการต่อสู้ครั้งใหญ่

เมื่อได้ยินวาจาของอวี๋จวินเหยา ฉินอวี้โม่เองก็ขมวดคิ้ว

เรื่องที่นางเป็นผู้สืบทอดของเทพมายามีคนรู้น้อยมาก นอกจากอวี๋จวินซาน ฉินเฟิน หานโม่ฉือ และมู่อวิ๋นแล้ว แม้แต่เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ที่เป็นสหายสนิทของนางก็ยังไม่เคยรู้เรื่องนี้

ดังนั้นแล้ว การที่อวี๋จวินเหยาจะล่วงรู้เรื่องนี้ด้วยก็แทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย

อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสสามแห่งนครเมฆากลับแสดงท่าทีที่มั่นใจอย่างยิ่ง นี่ทำให้ฉินอวี้โม่ไม่กล้าประมาท

“อะไรนะ ! ท่านรู้จริง ๆ หรือว่าคนที่เราต้องการหาตัวอยู่ที่ใด ? หากสามารถช่วยเราพบเจอคนผู้นั้นได้ พวกเราจะมีรางวัลให้อย่างงาม”

ว่านเจียงเอ่ยกับอวี๋จวินเหยาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมล้นด้วยความหวัง

“น้องสามบอกพวกเขาไปว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง”

อวี๋จวินซานมองอวี๋จวินเหยาพลางเอ่ยสั้น ๆ หนึ่งประโยค เขาอยากจะเห็นเช่นกันว่าอวี๋จวินเหยากำลังเล่นตลกสิ่งใดอยู่กันแน่

อวี๋จวินเหยามองอวี๋จวินซานแล้วหันไปมองฉินอวี้โม่ที่อยู่ในกลุ่มผู้เข้ามาร่วมงาน “พี่ใหญ่ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าท่านเคยบอกข้าว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์ก็คือผู้สืบทอดของเทพมายา”

เมื่อได้ยินวาจาของอวี๋จวินเหยา สีหน้าของจ้าวนครเมฆาก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ฉินอวี้โม่เองก็อึ้งไปเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เพียงชั่วพริบตาใบหน้าของฉินอวี้โม่ก็แปรเปลี่ยนกลับมาเย็นชาอย่างรวดเร็ว นางไม่เชื่อวาจาของอวี๋จวินเหยาแม้แต่น้อย สตรีผู้มีกายเทพมายาไม่เชื่อว่าท่านตาของตนจะบอกเรื่องนี้กับเขา

เหตุผลที่ใบหน้าของฉินอวี้โม่เย็นชาขึ้นมาก็เป็นเพราะว่านางคาดเดาว่านี่เป็นแผนการเลวร้ายบางอย่างของอวี๋จวินเหยา เกรงว่าคนผู้นี้คงจะเตรียมการมาก่อนแล้ว และครั้งนี้เขาคงจะมีเจตนาให้นางและท่านตาต้องพบเจอเรื่องยุ่งยากและความเสียหายครั้งใหญ่

และการคาดเดาของฉินอวี้โม่ก็ไม่ผิด เรื่องทั้งหมดนี้เป็นแผนการของอวี๋จวินเหยาจริง ๆ

ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสสามของนครเมฆาบังเอิญล่วงรู้ว่าเหตุผลที่คนจากดินแดนหนเหนือเข้ามาในดินแดนหวนหลิงเป็นเหตุจากกายเทพมายา แม้ว่าเขาจะไม่ทราบว่าใครคือผู้สืบทอดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเพิกเฉยละเลยเรื่องสำคัญและโอกาสอันงดงามนี้

อวี๋จวินเหยาเกลียดชังฉินอวี้โม่ที่มีสายเลือดของคนนอกเข้ากระดูก ที่สำคัญสตรีน่าชังผู้นั้นยังมารังแกอวี๋เฟิงหลานชายที่รักของเขาอีก เรื่องนี้ทำให้เขาโกรธมาก กอปรกับช่วงหลังมานี้อวี๋จวินซานเริ่มแสดงท่าทีไม่ไว้ใจเขาชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังพยายามลิดรอนอำนาจของเขาลงทีละเล็กละน้อยทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดและขุ่นเคืองแทบไม่อาจขมกลั้น

อวี๋จวินเหยาเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานอันแรงกล้า ตัวเขานั้นต้องการครอบครองตำแหน่งจ้าวนครเมฆามาตลอด ซึ่งนี่คือโอกาสทองของเขาแล้ว

ในเวลานี้ ขอเพียงคนจากดินแดนหนเหนือเชื่อว่าฉินอวี้โม่คือผู้ที่ครองกายเทพมายา ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือไม่ อย่างไรทั้งพี่ชายน่าหงุดหงิดและสตรีน้อยน่ารังเกียจผู้นั้นก็ต้องเจอกับปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน

อวี๋จวินเหยารู้ดีว่าทุกคนจะต้องตกตะลึง หากเขาพูดเกี่ยวกับเรื่องผู้สืบทอดเทพมายาออกไป

ถึงเวลานั้น เขาแค่รอฉกฉวยผลประโยชน์จากความโกลาหลนี้ลดทอนอำนาจและความน่าเชื่อถือของผู้เป็นพี่ชายให้ได้ก็พอ ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจจะสามารถยึดอำนาจทั้งหมดมาจากอวี๋จวินซานและสถาปนาตนเป็นจ้าวนครเมฆาคนใหม่ได้

ต้องบอกว่าแม้แผนการของอวี๋จวินเหยาจะดูคล้ายโง่งม แต่วิธีการนี้กลับประสบผลสำเร็จอย่างน่าพอใจ

ทันทีที่ได้ฟังวาจาของผู้อาวุโสสามแห่งนครเมฆา ผู้มาจากดินแดนหนเหนือก็หันหน้าไปมองฉินอวี้โม่เป็นตาเดียว

“น้องสาม เจ้าอย่าพูดเหลวไหล ถ้าเสี่ยวโม่เอ๋อร์คือผู้สืบทอดของเทพมายาจริง แล้วเหตุใดข้าจะไม่รู้ ถ้าข้ารู้ข้าก็คงจะปกป้องนาง ไม่มีทางปล่อยให้นางไปอยู่ข้างนอกนครให้ถูกผู้อื่นรังแก !”

อวี๋จวินซานกล่าวตอบโต้น้องชายด้วยเสียงดังลั่น น้ำเสียงของจ้าวนครแฝงด้วยโทสะหลายส่วน พร้อมกันนั้นจิตสังหารของเขาก็เริ่มเล็ดลอดออกมาจากร่างกายแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาน้องชายร่วมสายเลือดผู้นี้ไม่เคยทำสิ่งใดให้เขาไว้วางใจได้ ทว่าเขาเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะอีกฝ่ายจะกล้าใช้วิธีการชั่วช้าเช่นครั้งนี้

“ใช่ น้องสาม ถ้าพี่ใหญ่เป็นบอกว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์มีกายเทพมายาจริง แล้วข้าจะไม่ทราบเรื่องได้อย่างไร อีกทั้งพวกเราชาวนครเมฆาจะปล่อยให้นางต้องพบเจอกับอันตรายมากมายได้หรือ เจ้าเองก็รู้ดีว่าตอนอยู่ข้างนอกนางถูกรังแกมาตั้งแต่เล็ก ๆ เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นความจริงแน่”

เหวินเปียวส่ายศีรษะ เขาไม่เชื่อเรื่องที่น้องชายต่างมารดากล่าว

เมื่ออวี๋จวินเหยาได้ยินวาจาของทั้งอวี๋จวินซานและเหวินเปียว เขาก็แย้มยิ้มมุมปาก

“พี่ใหญ่ พี่รอง อย่าปกปิดมันอีกเลย ในตอนที่พวกท่านรู้ว่าคนจากดินแดนหนเหนือเข้ามาเพราะเรื่องนี้ พวกท่านยังบอกให้ข้าช่วยกันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่ว่าต่อหน้าพันธมิตรของเราทุกคนในวันนี้ข้าโกหกพวกเขาไม่ลงจริง ๆ ข้าไม่สามารถปิดบังความจริงที่ว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์คือผู้สืบทอดของเทพมายาได้อีกแล้ว จะไม่เป็นเกียรติกว่าหรือหากจะถือโอกาสนี้ประกาศต่อคนมากมายจากทั้งหวนหลิงและดินแดนที่สูงกว่าว่า หลานสาวของเราคือผู้ที่เทพมายาเลือกให้เป็นผู้สืบทอด”

ยิ่งอวี๋จวินเหยาพูด หลงจื้อและยอดฝีมือจากขุมกำลังต่าง ๆ ในดินแดนหนเหนือก็ยิ่งเชื่อเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าตอนนั้นท่านจ้าวนครบอกเจ้าว่าอย่างไร ?”

อวี๋จวินเหยามองอวี๋เฟิงก่อนจะขยิบตาให้เขา

“แน่นอนขอรับ”

อวี๋เฟิงเข้าใจสิ่งที่ท่านปู่ของตนต้องการได้ในทันที เขารีบพยักหน้าแล้วกล่าวเสียงดัง “ท่านจ้าวนครบอกข้าว่าปัญหาเรื่องเกี่ยวพันกับความปลอดภัยของน้องอวี้โม่ ดังนั้นจะเอ่ยเรื่องนี้ออกไปไม่ได้ แต่ข้าคิดว่าเกิดเป็นคนก็ควรจะมีความซื่อสัตย์ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเราไม่ควรปกปิดเรื่องนี้ อีกอย่างทุกคนที่นี่ล้วนเป็นคนดีน่าเชื่อถือ มีหรือจะทำอันตรายใด ๆ น้องอวี้โม่ได้ พวกเขาเพียงอยากพบเจอผู้มีกายวิเศษเท่านั้น”

เมื่อได้ฟังคำพูดของอวี๋เฟิง ใบหน้าของจ้าวนครเมฆาก็บิดเบี้ยวอย่างนึกรังเกียจ

ไม่คิดเลยว่าปู่หลานคู่นี้จะกล้าใช้วิธีการต่ำทรามเช่นนี้

“ฮ่า ๆ ๆ แต่สำหรับข้า ข้าคิดว่าเรื่องนี้ยังไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่นัก”

อู่ซิงที่อยู่ไม่ไกลจากฉินอวี้โม่ลุกขึ้นยืน ก่อนจะกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อพวกท่านบอกว่าแม่นางอวี้โม่คือผู้สืบทอดของเทพมายา จ้าวนครเมฆาที่รู้ดีว่าคนจากดินแดนหนเหนือมาที่นี่เพื่อหาตัวผู้สืบทอดเหตุใดถึงยังกล้าให้นางมาร่วมงานนี้ อีกทั้งยังออกหน้าแสดงตัวตนว่าคือผู้ใด แทนที่จะให้นางหลบหนีหรือไปอยู่ที่อื่นเพื่อความปลอดภัยก่อน ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรจะต้องเอานางมาเสี่ยงอันตรายที่นี่เลย”

ในตอนแรก อู่ซิงยอมรับว่าตนเองก็คล้อยตามถ้อยคำของอวี๋จวินเหยาเช่นกัน ทว่าเมื่อฟังจนถึงตอนนี้เขาก็เริ่มเกิดความสงสัยขึ้น

เพราะถ้าหากฉินอวี้โม่คือผู้สืบทอดของเทพมายาจริงและอวี๋จวินซานรับรู้เรื่องนี้ นางคงไม่ได้รับอนุญาตให้มาเข้าร่วมงานชุมนุมเมฆาเป็นแน่

เมื่อได้ยินคำคัดค้านของอู่ซิง ยอดฝีมือคนอื่น ๆ จากดินแดนหนเหนือก็เร่มเกิดความลังเลและสับสนขึ้น สายตาที่เคยจับจ้องฉินอวี้โม่เปลี่ยนกลับไปมองอวี๋จวินเหยาอย่างรอคอยคำอธิบายแทน

ดูเหมือนว่าสิ่งที่อู่ซิงพูดมาจะฟังดูมีเหตุผลอยู่บ้าง

“ฮ่า ๆ ๆ ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด พี่ใหญ่ของข้าคงคิดว่าไม่มีใครเอาเรื่องนี้มาบอกพวกท่านอย่างแน่นอนเขาถึงยังกล้าให้นางมาร่วมงาน”

อวี๋จวินเหยายิ้มแล้วกล่าวต่อ “พวกท่านลองคิดกันให้ดี ๆ ตลอดหลายปีมานี้เหตุใดฉินอวี้โม่ถึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้าจำได้ว่าเกือบสามปีก่อนนางยังเป็นเพียงคนที่ไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ ในเวลาเพียงสามปีนางกลับกลายเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าของแผ่นดิน หากไม่ใช่เพราะมีกายเทพมายาแล้วจะเป็นเพราะเหตุผลใดได้อีก”

คนจากดินแดนหนเหนือกลับมามีสีหน้าสับสนอีกครั้ง พวกเขาไม่ทราบว่าควรจะเชื่อใครดี แม้แต่อู่ซิงเองก็หันไปมองฉินอวี้โม่พลางขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ทราบเลยว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่

“ข้าเป็นบิดาของฉินอวี้โม่ เป็นผู้ที่เลี้ยงดูนางมาแต่ยังเล็ก ข้าสามารถรับรองเรื่องนี้ได้”

ทันใดนั้นฉินเทียนตัวปลอมก็ยืนขึ้น เขาหันมามองฉินอวี้โม่แล้วกล่าว “ฉินอวี้โม่ไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้มาตั้งแต่เด็ก ๆ นางเป็นเพียงขยะไร้ค่าและเป็นที่เสื่อมเสียของตระกูลฉิน แต่สองสามปีมานี้นางราวกับเป็นคนละคน สามารถฝึกฝนจนขึ้นมาเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าได้ ข้าค่อนข้างมั่นใจว่านางจะต้องเป็นผู้ครอบครองกายเทพมายาไม่ผิดแน่ !”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินเทียนตัวปลอม ผู้คนมากมายในงานเลี้ยงก็จ้องมองฉินอวี้โม่เป็นตาเดียวอีกครั้ง ในตอนนี้พวกเขาเริ่มเชื่อถือเรื่องที่อวี๋จวินเหยาบอกขึ้นมาแล้ว

“หึ ๆ เจ้าคือบิดาผู้ ‘เลี้ยงดู’ ฉินอวี้โม่จริง ๆ หรือ ? เหตุใดถึงดูเหมือนไม่คุ้นเคยกับนางเลยเล่า ?”

หลินจิ้งหงโพล่งวาจาออกมา

เรื่องที่ฉินอวี้โม่มีกายเทพมายาหรือไม่เขาไม่สนใจ แต่อย่างไรวันนี้เขาก็ต้องหาทางช่วยสหายของเขาให้ได้

ส่วนเรื่องที่ฉินเทียนตรงหน้านี้เป็นฉินเทียนตัวปลอมเขาทราบเรื่องนี้อยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ดูจากรูปการณ์ในตอนนี้หากคาดเดาไม่ผิดบุรุษจอมปลอมผู้กำลังกล่าวยัดเยียดอันตรายให้ฉินอวี้โม่คงจะเป็นคนของอวี๋จวินเหยาเสียมากกว่า

“หากเรื่องที่เจ้าบอกเป็นความจริง ในฐานะบิดา เจ้าควรจะเป็นคนแรกที่ออกมาปกป้องนาง แล้วเหตุใดถึงยังกล้ากล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้ ?…”

หลินจิ้งหงเอานิ้วชี้หน้าฉินเทียนตัวปลอมพร้อมกับเอ่ยเสียงเย็นชา “…นอกเสียจากว่าเจ้าจะไม่ใช่พ่อของนางตั้งแต่แรกแล้ว”

บุรุษผู้แสร้งใช้นามผู้อื่นมากว่ายี่สิบปีหน้าซีดลงครึ่งส่วนอย่างฉับพลัน ทว่าเขาก็รีบดึงสติกลับมาแล้วหัวเราะกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว

“ฮ่า ๆ ๆ หากสงสัยนักข้าจะบอกให้รู้ บิดาที่จริงแท้ของนางหายสาบสูญไปสิบกว่าปีแล้ว และที่ข้าต้องแอบอ้างเข้ามาเช่นนี้ก็เป็นเพราะความต้องการของฉินเทียนตัวจริง เขาไหว้วานให้ข้ามาช่วยดูแลบุตรสาวไร้ค่าให้”

กล่าวจบฉินเทียนตัวปลอมก็แสยะยิ้ม ไม่มีใครทราบว่าทำได้อย่างไร แต่จู่ ๆ รูปลักษณ์ภายนอกของบุรุษผู้ใช้นามฉินเทียนก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน

ในพริบตาคนผู้นี้ก็กลายเป็นอีกคนที่ฉินอวี้โม่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน อย่างไรก็ตามด้วยกลิ่นอายจากร่างกายก็ยังทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง

“ฉินจิ่ว เจ้า!”

เมื่อเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนผู้นั้น ฉินเฟินก็จดจำได้ในทันที

“ฮ่า ๆ ๆ ท่านลุง ไม่เจอกันนานเลยนะ”

แท้จริงแล้ว ฉินเทียนตัวปลอมผู้นี้คือบุรุษนามว่า–ฉินจิ่ว เขากล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย วาจานั้นฟังราวกับรู้จักฉินเฟินเป็นอย่างดี

ฉินจิ่วคือบุตรเพียงคนเดียวของน้องชายร่วมบิดามารดาของฉินเฟิน หรือก็คือหลานของผู้นำตระกูลฉินและเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฉินเทียน ฉินจิ่วนั้นหายสาบสูญไปจากตระกูลนานหลายสิบปีแล้ว ไม่คิดเลยว่าคนผู้นี้จะมาปลอมตัวเป็นญาติผู้พี่ของตนและอยู่ใกล้ตัวฉินอวี้โม่มานานนับสิบปีเช่นนี้

“ฉินจิ่ว เหตุใดเจ้าถึงต้องสวมรอยเป็นเทียนเอ๋อร์ตั้งหลายปี ?”

ฉินเฟินจ้องมองฉินจิ่วพลางกล่าวถามด้วยสีหน้าที่ดูสับสนยิ่งยวด

“ฮ่า ๆ ๆ ท่านลุงอย่าเรียกว่าสวมรอยเลย ข้าไม่ได้อยากเป็นเขาสักนิด ข้าแค่ดูแลลูกให้เขาเท่านั้น”

ฉินจิ่วหัวเราะ ใบหน้าของเขาคล้ายคลึงฉินเทียนอยู่ราว ๆ สามส่วน ทว่าแววตากลับดูกลิ้งกลอกไม่เป็นมิตรต่างจากฉินเทียนตัวจริงอย่างมาก

“เหอะ เรื่องของพวกเจ้าเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้พวกเราอยากจะรู้ว่าฉินอวี้โม่คือผู้สืบทอดของเทพมายาใช่หรือไม่ !”

ฉินเฟินอ้าปากคล้ายอยากจะถามฉินจิ่วอีกสองสามประโยค ทว่ากลับถูกเสียงเรียบนิ่งแต่ชวนขนลุกของหลงจื้อดังขึ้นมาขัดเสียก่อน

บัดนี้ผู้มาจากนิกายหงส์มังกรปลดปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวออกมาเรียบร้อยแล้ว ราวกับว่าเขาเตรียมพร้อมที่จะทำอะไรบางอย่างหลังจากได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจน

จู่ ๆ สตรีผู้อยู่ในหัวข้อสนทนาก็โพล่งวาจาด้วยรอยยิ้ม

“ทุกท่านโปรดฟังข้าสักครู่ ในเมื่อผู้อาวุโสสามบอกว่าข้าคือผู้สืบทอดของเทพมายา เช่นนั้นพวกท่านกล้าหลั่งเลือดสาบานไหมเล่าว่า วาจาที่กล่าวออกมาเป็นความจริงทั้งหมด”

ฉินอวี้โม่หันไปกล่าวกับอวี๋จวินเหยา อวี๋เฟิน และฉินจิ่ว สองคนนี้กำลังสร้างเรื่องเหลวไหลขึ้นมาเพื่อทำให้นางเดือดร้อน

นางไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะล่วงรู้ว่านางคือผู้สืบทอดของเทพมายาจริง ดังนั้นแล้วคุณหนูตระกูลฉินจึงจงใจกล่าวเช่นนี้ออกไปเพื่อบีบให้เหล่าคนโกหกยอมพ่ายแพ้

ต่อให้นางเป็นผู้สืบทอดจริง แต่หากพวกเขาไม่กล้าสาบาน สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดก็ไร้น้ำหนักไม่น่าเชื่อถือ สุดท้ายพวกเขาจะแพ้ภัยตัวเองไปเอง

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 229 แผนการของอวี๋จวินเหยา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 229 แผนการของอวี๋จวินเหยา

“หึ ๆ ข้ารู้ว่าใครคือคนที่พวกท่านกำลังตามหาอยู่”

เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นและเป็นผลให้บรรยากาศภายในงานเลี้ยงเปลี่ยนไปทันที

ยอดฝีมือจากดินแดนเทพมายาที่กำลังอยู่ในอาการผิดหวังเปลี่ยนกลับมาเป็นตื่นเต้นดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่

พวกเขามายังดินแดนแห่งนี้ก็เพื่อตามหาคน แต่หลังจากค้นหากันอยู่นานก็ยังไม่พบตัว ในตอนที่กำลังคิดว่าต้องกลับบ้านมือเปล่า คาดไม่ถึงว่าจะมีคนที่รู้เบาะแสปรากฏตัวขึ้น

อวี๋จวินซานขมวดคิ้วด้วยว่าเสียงนั้นดังมาจากทางฝั่งที่นั่งของนครเมฆา มันเป็นเสียงของน้องสามของเขาอวี๋จวินเหยา จ้าวนครเมฆาเกิดความสงสัยขึ้นมาในทันทีว่าสิ่งที่คนผู้นี้ล่วงรู้คืออะไรกันแน่

แม้ว่าจะเกิดความกังวลขึ้นมาในใจ แต่บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ก็พยายามกดข่มไม่ให้มันปรากฏบนสีหน้า ทว่าตัวเขาเตรียมพร้อมสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ซึ่งนั่นก็คือการต่อสู้ครั้งใหญ่

เมื่อได้ยินวาจาของอวี๋จวินเหยา ฉินอวี้โม่เองก็ขมวดคิ้ว

เรื่องที่นางเป็นผู้สืบทอดของเทพมายามีคนรู้น้อยมาก นอกจากอวี๋จวินซาน ฉินเฟิน หานโม่ฉือ และมู่อวิ๋นแล้ว แม้แต่เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ที่เป็นสหายสนิทของนางก็ยังไม่เคยรู้เรื่องนี้

ดังนั้นแล้ว การที่อวี๋จวินเหยาจะล่วงรู้เรื่องนี้ด้วยก็แทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย

อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสสามแห่งนครเมฆากลับแสดงท่าทีที่มั่นใจอย่างยิ่ง นี่ทำให้ฉินอวี้โม่ไม่กล้าประมาท

“อะไรนะ ! ท่านรู้จริง ๆ หรือว่าคนที่เราต้องการหาตัวอยู่ที่ใด ? หากสามารถช่วยเราพบเจอคนผู้นั้นได้ พวกเราจะมีรางวัลให้อย่างงาม”

ว่านเจียงเอ่ยกับอวี๋จวินเหยาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมล้นด้วยความหวัง

“น้องสามบอกพวกเขาไปว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง”

อวี๋จวินซานมองอวี๋จวินเหยาพลางเอ่ยสั้น ๆ หนึ่งประโยค เขาอยากจะเห็นเช่นกันว่าอวี๋จวินเหยากำลังเล่นตลกสิ่งใดอยู่กันแน่

อวี๋จวินเหยามองอวี๋จวินซานแล้วหันไปมองฉินอวี้โม่ที่อยู่ในกลุ่มผู้เข้ามาร่วมงาน “พี่ใหญ่ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าท่านเคยบอกข้าว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์ก็คือผู้สืบทอดของเทพมายา”

เมื่อได้ยินวาจาของอวี๋จวินเหยา สีหน้าของจ้าวนครเมฆาก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ฉินอวี้โม่เองก็อึ้งไปเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เพียงชั่วพริบตาใบหน้าของฉินอวี้โม่ก็แปรเปลี่ยนกลับมาเย็นชาอย่างรวดเร็ว นางไม่เชื่อวาจาของอวี๋จวินเหยาแม้แต่น้อย สตรีผู้มีกายเทพมายาไม่เชื่อว่าท่านตาของตนจะบอกเรื่องนี้กับเขา

เหตุผลที่ใบหน้าของฉินอวี้โม่เย็นชาขึ้นมาก็เป็นเพราะว่านางคาดเดาว่านี่เป็นแผนการเลวร้ายบางอย่างของอวี๋จวินเหยา เกรงว่าคนผู้นี้คงจะเตรียมการมาก่อนแล้ว และครั้งนี้เขาคงจะมีเจตนาให้นางและท่านตาต้องพบเจอเรื่องยุ่งยากและความเสียหายครั้งใหญ่

และการคาดเดาของฉินอวี้โม่ก็ไม่ผิด เรื่องทั้งหมดนี้เป็นแผนการของอวี๋จวินเหยาจริง ๆ

ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสสามของนครเมฆาบังเอิญล่วงรู้ว่าเหตุผลที่คนจากดินแดนหนเหนือเข้ามาในดินแดนหวนหลิงเป็นเหตุจากกายเทพมายา แม้ว่าเขาจะไม่ทราบว่าใครคือผู้สืบทอดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเพิกเฉยละเลยเรื่องสำคัญและโอกาสอันงดงามนี้

อวี๋จวินเหยาเกลียดชังฉินอวี้โม่ที่มีสายเลือดของคนนอกเข้ากระดูก ที่สำคัญสตรีน่าชังผู้นั้นยังมารังแกอวี๋เฟิงหลานชายที่รักของเขาอีก เรื่องนี้ทำให้เขาโกรธมาก กอปรกับช่วงหลังมานี้อวี๋จวินซานเริ่มแสดงท่าทีไม่ไว้ใจเขาชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังพยายามลิดรอนอำนาจของเขาลงทีละเล็กละน้อยทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดและขุ่นเคืองแทบไม่อาจขมกลั้น

อวี๋จวินเหยาเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานอันแรงกล้า ตัวเขานั้นต้องการครอบครองตำแหน่งจ้าวนครเมฆามาตลอด ซึ่งนี่คือโอกาสทองของเขาแล้ว

ในเวลานี้ ขอเพียงคนจากดินแดนหนเหนือเชื่อว่าฉินอวี้โม่คือผู้ที่ครองกายเทพมายา ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือไม่ อย่างไรทั้งพี่ชายน่าหงุดหงิดและสตรีน้อยน่ารังเกียจผู้นั้นก็ต้องเจอกับปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน

อวี๋จวินเหยารู้ดีว่าทุกคนจะต้องตกตะลึง หากเขาพูดเกี่ยวกับเรื่องผู้สืบทอดเทพมายาออกไป

ถึงเวลานั้น เขาแค่รอฉกฉวยผลประโยชน์จากความโกลาหลนี้ลดทอนอำนาจและความน่าเชื่อถือของผู้เป็นพี่ชายให้ได้ก็พอ ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจจะสามารถยึดอำนาจทั้งหมดมาจากอวี๋จวินซานและสถาปนาตนเป็นจ้าวนครเมฆาคนใหม่ได้

ต้องบอกว่าแม้แผนการของอวี๋จวินเหยาจะดูคล้ายโง่งม แต่วิธีการนี้กลับประสบผลสำเร็จอย่างน่าพอใจ

ทันทีที่ได้ฟังวาจาของผู้อาวุโสสามแห่งนครเมฆา ผู้มาจากดินแดนหนเหนือก็หันหน้าไปมองฉินอวี้โม่เป็นตาเดียว

“น้องสาม เจ้าอย่าพูดเหลวไหล ถ้าเสี่ยวโม่เอ๋อร์คือผู้สืบทอดของเทพมายาจริง แล้วเหตุใดข้าจะไม่รู้ ถ้าข้ารู้ข้าก็คงจะปกป้องนาง ไม่มีทางปล่อยให้นางไปอยู่ข้างนอกนครให้ถูกผู้อื่นรังแก !”

อวี๋จวินซานกล่าวตอบโต้น้องชายด้วยเสียงดังลั่น น้ำเสียงของจ้าวนครแฝงด้วยโทสะหลายส่วน พร้อมกันนั้นจิตสังหารของเขาก็เริ่มเล็ดลอดออกมาจากร่างกายแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาน้องชายร่วมสายเลือดผู้นี้ไม่เคยทำสิ่งใดให้เขาไว้วางใจได้ ทว่าเขาเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะอีกฝ่ายจะกล้าใช้วิธีการชั่วช้าเช่นครั้งนี้

“ใช่ น้องสาม ถ้าพี่ใหญ่เป็นบอกว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์มีกายเทพมายาจริง แล้วข้าจะไม่ทราบเรื่องได้อย่างไร อีกทั้งพวกเราชาวนครเมฆาจะปล่อยให้นางต้องพบเจอกับอันตรายมากมายได้หรือ เจ้าเองก็รู้ดีว่าตอนอยู่ข้างนอกนางถูกรังแกมาตั้งแต่เล็ก ๆ เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นความจริงแน่”

เหวินเปียวส่ายศีรษะ เขาไม่เชื่อเรื่องที่น้องชายต่างมารดากล่าว

เมื่ออวี๋จวินเหยาได้ยินวาจาของทั้งอวี๋จวินซานและเหวินเปียว เขาก็แย้มยิ้มมุมปาก

“พี่ใหญ่ พี่รอง อย่าปกปิดมันอีกเลย ในตอนที่พวกท่านรู้ว่าคนจากดินแดนหนเหนือเข้ามาเพราะเรื่องนี้ พวกท่านยังบอกให้ข้าช่วยกันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่ว่าต่อหน้าพันธมิตรของเราทุกคนในวันนี้ข้าโกหกพวกเขาไม่ลงจริง ๆ ข้าไม่สามารถปิดบังความจริงที่ว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์คือผู้สืบทอดของเทพมายาได้อีกแล้ว จะไม่เป็นเกียรติกว่าหรือหากจะถือโอกาสนี้ประกาศต่อคนมากมายจากทั้งหวนหลิงและดินแดนที่สูงกว่าว่า หลานสาวของเราคือผู้ที่เทพมายาเลือกให้เป็นผู้สืบทอด”

ยิ่งอวี๋จวินเหยาพูด หลงจื้อและยอดฝีมือจากขุมกำลังต่าง ๆ ในดินแดนหนเหนือก็ยิ่งเชื่อเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าตอนนั้นท่านจ้าวนครบอกเจ้าว่าอย่างไร ?”

อวี๋จวินเหยามองอวี๋เฟิงก่อนจะขยิบตาให้เขา

“แน่นอนขอรับ”

อวี๋เฟิงเข้าใจสิ่งที่ท่านปู่ของตนต้องการได้ในทันที เขารีบพยักหน้าแล้วกล่าวเสียงดัง “ท่านจ้าวนครบอกข้าว่าปัญหาเรื่องเกี่ยวพันกับความปลอดภัยของน้องอวี้โม่ ดังนั้นจะเอ่ยเรื่องนี้ออกไปไม่ได้ แต่ข้าคิดว่าเกิดเป็นคนก็ควรจะมีความซื่อสัตย์ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเราไม่ควรปกปิดเรื่องนี้ อีกอย่างทุกคนที่นี่ล้วนเป็นคนดีน่าเชื่อถือ มีหรือจะทำอันตรายใด ๆ น้องอวี้โม่ได้ พวกเขาเพียงอยากพบเจอผู้มีกายวิเศษเท่านั้น”

เมื่อได้ฟังคำพูดของอวี๋เฟิง ใบหน้าของจ้าวนครเมฆาก็บิดเบี้ยวอย่างนึกรังเกียจ

ไม่คิดเลยว่าปู่หลานคู่นี้จะกล้าใช้วิธีการต่ำทรามเช่นนี้

“ฮ่า ๆ ๆ แต่สำหรับข้า ข้าคิดว่าเรื่องนี้ยังไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่นัก”

อู่ซิงที่อยู่ไม่ไกลจากฉินอวี้โม่ลุกขึ้นยืน ก่อนจะกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อพวกท่านบอกว่าแม่นางอวี้โม่คือผู้สืบทอดของเทพมายา จ้าวนครเมฆาที่รู้ดีว่าคนจากดินแดนหนเหนือมาที่นี่เพื่อหาตัวผู้สืบทอดเหตุใดถึงยังกล้าให้นางมาร่วมงานนี้ อีกทั้งยังออกหน้าแสดงตัวตนว่าคือผู้ใด แทนที่จะให้นางหลบหนีหรือไปอยู่ที่อื่นเพื่อความปลอดภัยก่อน ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรจะต้องเอานางมาเสี่ยงอันตรายที่นี่เลย”

ในตอนแรก อู่ซิงยอมรับว่าตนเองก็คล้อยตามถ้อยคำของอวี๋จวินเหยาเช่นกัน ทว่าเมื่อฟังจนถึงตอนนี้เขาก็เริ่มเกิดความสงสัยขึ้น

เพราะถ้าหากฉินอวี้โม่คือผู้สืบทอดของเทพมายาจริงและอวี๋จวินซานรับรู้เรื่องนี้ นางคงไม่ได้รับอนุญาตให้มาเข้าร่วมงานชุมนุมเมฆาเป็นแน่

เมื่อได้ยินคำคัดค้านของอู่ซิง ยอดฝีมือคนอื่น ๆ จากดินแดนหนเหนือก็เร่มเกิดความลังเลและสับสนขึ้น สายตาที่เคยจับจ้องฉินอวี้โม่เปลี่ยนกลับไปมองอวี๋จวินเหยาอย่างรอคอยคำอธิบายแทน

ดูเหมือนว่าสิ่งที่อู่ซิงพูดมาจะฟังดูมีเหตุผลอยู่บ้าง

“ฮ่า ๆ ๆ ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด พี่ใหญ่ของข้าคงคิดว่าไม่มีใครเอาเรื่องนี้มาบอกพวกท่านอย่างแน่นอนเขาถึงยังกล้าให้นางมาร่วมงาน”

อวี๋จวินเหยายิ้มแล้วกล่าวต่อ “พวกท่านลองคิดกันให้ดี ๆ ตลอดหลายปีมานี้เหตุใดฉินอวี้โม่ถึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้าจำได้ว่าเกือบสามปีก่อนนางยังเป็นเพียงคนที่ไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ ในเวลาเพียงสามปีนางกลับกลายเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าของแผ่นดิน หากไม่ใช่เพราะมีกายเทพมายาแล้วจะเป็นเพราะเหตุผลใดได้อีก”

คนจากดินแดนหนเหนือกลับมามีสีหน้าสับสนอีกครั้ง พวกเขาไม่ทราบว่าควรจะเชื่อใครดี แม้แต่อู่ซิงเองก็หันไปมองฉินอวี้โม่พลางขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ทราบเลยว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่

“ข้าเป็นบิดาของฉินอวี้โม่ เป็นผู้ที่เลี้ยงดูนางมาแต่ยังเล็ก ข้าสามารถรับรองเรื่องนี้ได้”

ทันใดนั้นฉินเทียนตัวปลอมก็ยืนขึ้น เขาหันมามองฉินอวี้โม่แล้วกล่าว “ฉินอวี้โม่ไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้มาตั้งแต่เด็ก ๆ นางเป็นเพียงขยะไร้ค่าและเป็นที่เสื่อมเสียของตระกูลฉิน แต่สองสามปีมานี้นางราวกับเป็นคนละคน สามารถฝึกฝนจนขึ้นมาเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าได้ ข้าค่อนข้างมั่นใจว่านางจะต้องเป็นผู้ครอบครองกายเทพมายาไม่ผิดแน่ !”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินเทียนตัวปลอม ผู้คนมากมายในงานเลี้ยงก็จ้องมองฉินอวี้โม่เป็นตาเดียวอีกครั้ง ในตอนนี้พวกเขาเริ่มเชื่อถือเรื่องที่อวี๋จวินเหยาบอกขึ้นมาแล้ว

“หึ ๆ เจ้าคือบิดาผู้ ‘เลี้ยงดู’ ฉินอวี้โม่จริง ๆ หรือ ? เหตุใดถึงดูเหมือนไม่คุ้นเคยกับนางเลยเล่า ?”

หลินจิ้งหงโพล่งวาจาออกมา

เรื่องที่ฉินอวี้โม่มีกายเทพมายาหรือไม่เขาไม่สนใจ แต่อย่างไรวันนี้เขาก็ต้องหาทางช่วยสหายของเขาให้ได้

ส่วนเรื่องที่ฉินเทียนตรงหน้านี้เป็นฉินเทียนตัวปลอมเขาทราบเรื่องนี้อยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ดูจากรูปการณ์ในตอนนี้หากคาดเดาไม่ผิดบุรุษจอมปลอมผู้กำลังกล่าวยัดเยียดอันตรายให้ฉินอวี้โม่คงจะเป็นคนของอวี๋จวินเหยาเสียมากกว่า

“หากเรื่องที่เจ้าบอกเป็นความจริง ในฐานะบิดา เจ้าควรจะเป็นคนแรกที่ออกมาปกป้องนาง แล้วเหตุใดถึงยังกล้ากล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้ ?…”

หลินจิ้งหงเอานิ้วชี้หน้าฉินเทียนตัวปลอมพร้อมกับเอ่ยเสียงเย็นชา “…นอกเสียจากว่าเจ้าจะไม่ใช่พ่อของนางตั้งแต่แรกแล้ว”

บุรุษผู้แสร้งใช้นามผู้อื่นมากว่ายี่สิบปีหน้าซีดลงครึ่งส่วนอย่างฉับพลัน ทว่าเขาก็รีบดึงสติกลับมาแล้วหัวเราะกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว

“ฮ่า ๆ ๆ หากสงสัยนักข้าจะบอกให้รู้ บิดาที่จริงแท้ของนางหายสาบสูญไปสิบกว่าปีแล้ว และที่ข้าต้องแอบอ้างเข้ามาเช่นนี้ก็เป็นเพราะความต้องการของฉินเทียนตัวจริง เขาไหว้วานให้ข้ามาช่วยดูแลบุตรสาวไร้ค่าให้”

กล่าวจบฉินเทียนตัวปลอมก็แสยะยิ้ม ไม่มีใครทราบว่าทำได้อย่างไร แต่จู่ ๆ รูปลักษณ์ภายนอกของบุรุษผู้ใช้นามฉินเทียนก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน

ในพริบตาคนผู้นี้ก็กลายเป็นอีกคนที่ฉินอวี้โม่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน อย่างไรก็ตามด้วยกลิ่นอายจากร่างกายก็ยังทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง

“ฉินจิ่ว เจ้า!”

เมื่อเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนผู้นั้น ฉินเฟินก็จดจำได้ในทันที

“ฮ่า ๆ ๆ ท่านลุง ไม่เจอกันนานเลยนะ”

แท้จริงแล้ว ฉินเทียนตัวปลอมผู้นี้คือบุรุษนามว่า–ฉินจิ่ว เขากล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย วาจานั้นฟังราวกับรู้จักฉินเฟินเป็นอย่างดี

ฉินจิ่วคือบุตรเพียงคนเดียวของน้องชายร่วมบิดามารดาของฉินเฟิน หรือก็คือหลานของผู้นำตระกูลฉินและเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฉินเทียน ฉินจิ่วนั้นหายสาบสูญไปจากตระกูลนานหลายสิบปีแล้ว ไม่คิดเลยว่าคนผู้นี้จะมาปลอมตัวเป็นญาติผู้พี่ของตนและอยู่ใกล้ตัวฉินอวี้โม่มานานนับสิบปีเช่นนี้

“ฉินจิ่ว เหตุใดเจ้าถึงต้องสวมรอยเป็นเทียนเอ๋อร์ตั้งหลายปี ?”

ฉินเฟินจ้องมองฉินจิ่วพลางกล่าวถามด้วยสีหน้าที่ดูสับสนยิ่งยวด

“ฮ่า ๆ ๆ ท่านลุงอย่าเรียกว่าสวมรอยเลย ข้าไม่ได้อยากเป็นเขาสักนิด ข้าแค่ดูแลลูกให้เขาเท่านั้น”

ฉินจิ่วหัวเราะ ใบหน้าของเขาคล้ายคลึงฉินเทียนอยู่ราว ๆ สามส่วน ทว่าแววตากลับดูกลิ้งกลอกไม่เป็นมิตรต่างจากฉินเทียนตัวจริงอย่างมาก

“เหอะ เรื่องของพวกเจ้าเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้พวกเราอยากจะรู้ว่าฉินอวี้โม่คือผู้สืบทอดของเทพมายาใช่หรือไม่ !”

ฉินเฟินอ้าปากคล้ายอยากจะถามฉินจิ่วอีกสองสามประโยค ทว่ากลับถูกเสียงเรียบนิ่งแต่ชวนขนลุกของหลงจื้อดังขึ้นมาขัดเสียก่อน

บัดนี้ผู้มาจากนิกายหงส์มังกรปลดปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวออกมาเรียบร้อยแล้ว ราวกับว่าเขาเตรียมพร้อมที่จะทำอะไรบางอย่างหลังจากได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจน

จู่ ๆ สตรีผู้อยู่ในหัวข้อสนทนาก็โพล่งวาจาด้วยรอยยิ้ม

“ทุกท่านโปรดฟังข้าสักครู่ ในเมื่อผู้อาวุโสสามบอกว่าข้าคือผู้สืบทอดของเทพมายา เช่นนั้นพวกท่านกล้าหลั่งเลือดสาบานไหมเล่าว่า วาจาที่กล่าวออกมาเป็นความจริงทั้งหมด”

ฉินอวี้โม่หันไปกล่าวกับอวี๋จวินเหยา อวี๋เฟิน และฉินจิ่ว สองคนนี้กำลังสร้างเรื่องเหลวไหลขึ้นมาเพื่อทำให้นางเดือดร้อน

นางไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะล่วงรู้ว่านางคือผู้สืบทอดของเทพมายาจริง ดังนั้นแล้วคุณหนูตระกูลฉินจึงจงใจกล่าวเช่นนี้ออกไปเพื่อบีบให้เหล่าคนโกหกยอมพ่ายแพ้

ต่อให้นางเป็นผู้สืบทอดจริง แต่หากพวกเขาไม่กล้าสาบาน สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดก็ไร้น้ำหนักไม่น่าเชื่อถือ สุดท้ายพวกเขาจะแพ้ภัยตัวเองไปเอง

.

Options

not work with dark mode
Reset