ต้าเซี่ยมีสี่ชายแดนหลัก
แดนตะวันออก แดนตะวันตก แดนใต้ แดนเหนือ
แต่ละแดน ต่างก็มีหนึ่งผู้พิทักษ์
สี่ผู้พิทักษ์ใหญ่ พลังฝีมือเรียกได้ว่าสุดยอด ใครก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าใครไปเท่าไหร่
รองจากเจ้ามังกร พวกเขาคือยิ่งใหญ่
ใครจะไปคิดถึงได้ว่า ผู้พิทักษ์แดนตะวันตก จะมาปรากฏตัวได้ที่นี่ได้
ในพริบตานั้นเอง พลานุภาพที่แทบทำให้คนขาดใจได้ม้วนตลบโหมกระหน่ำเข้ามาดั่งคลื่นสึนามิ ไม่ว่าฉินเจียนเวย หรือฉินผู่หยาง ต่างเขม็งเกร็งไปทั่วร่าง ไม่กล้าขยับกายแม้แต่น้อย
“มู่.. ท่านมู่!”
ท่อนขาทั้งสองข้างของฉินผู่หยางสั่นกระทบกัน ภายในดวงตาฉายความสั่นสะท้าน ใช้สายตาแหงนมองมู่ตงเฟิง
เก้าตระกูลหลวงใหญ่ในเมืองซื่อจิ่ว ตระกูลฉินต้องจัดอยู่ในอันดับต้น มีอยู่หนึ่งสาเหตุใหญ่ ก็ด้วยว่าตระกูลฉินมีพันธะผูกพันแต่เก่าก่อนมากับผู้พิทักษ์แดนใต้มู่ตงเฟิง
ในการประชุมแดนเหนือครั้งก่อนนี้ ผู้ตัดสินใหญ่ก็คือมู่ตงเฟิง แทบจะทุกคนล้วนเชื่อว่าตระกูลฉินจะต้องได้เป็นผู้ชนะในรอบตัดเชือก
ทำไมจึงมีความเชื่อมั่นแบบนี้?
ก็ด้วยเหตุที่ว่าตระกูลฉินมีความผูกพันกับมู่ตงเฟิงอย่างค่อนข้างลึกซึ้งนั้นเอง!
ฉินผู่หยางรู้ดีถึงความน่ากลัวของมู่ตงเฟิง เขามาปรากฏตัวที่นี่ ผนวกกับยอดฝีมือตระกูลฉินแห่งตระกูลราชวงศ์ ฉินจิ่วจิง พูดได้เลยว่า เป็นเครื่องชั่งในการชี้ขาดการประกาศชัยชนะโดยตรง
ช่างยิ่งใหญ่จริง ๆ!
ฉินผู่หยางไม่มีวันจะลืมเหตุการณ์ที่ครั้งหนึ่งในคราวที่มู่ตงเฟิงขอเข้าพบท่านบ้าบู๊อู่ตงหยาง หนึ่งในเจ็ดผู้บ้า(ชีชือ) แต่กลับถูกปฏิเสธให้อยู่หน้าประตู มู่ตงเฟิงได้ประมือกับผู้บ้าบู๊อยู่หลายกระบวนท่า
ถึงแม้ว่า การในครั้งนั้นทั้งสองคนแทบจะเป็นการดูเชิงกัน ไม่ได้ใช้ฝีมือกันเต็มกำลัง แต่มันน่ากลัวมากเอาทีเดียว!
คู่ต่อสู้เป็นลูกศิษย์สายเลือดนักรบเทพ ผู้บ้าบู๊อู่ตงหยาง มู่ตงเฟิงสามารถไม่ตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบ นั้นย่อมเป็นที่ให้เห็นได้ถึงพลังฝีมือจริงของผู้พิทักษ์แดนตะวันตก
ในขณะนี้ได้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เพียงแค่เห็นเขาหยุดยืนตรงไหน ยังไม่ได้ทำอะไร ก็เพียงพอจะทำให้เกิดความกดดันที่เกินพอกับคนแล้ว
ฉินจิ่วจิงก็ยังตาค้างยืนเซ่อ เหงื่อผุดบนหน้าผากจนหนาว ให้รู้สึกในจิตสำนึกว่า นอกเหนือไปจากในราชวงศ์ ยังมียอดฝีมือถึงระดับนี้เชียวหรือ?
ใช่แล้ว
มู่ตงเฟิงยังไม่ทันได้ลงมือ เพียงอานุภาพอันทรงพลังที่ยังไม่ได้ออกอารมณ์เกรี้ยวกราด ก็ยังทำเอาฉินจิ่วจิงขวัญผวา
เขารู้สึกลึก ๆ ในใจว่า หากแม้นต้องต่อสู้กันจริง เขาคงค่อนไปทางไม่ใช่คู่ต่อสู้เอาเลย
มู่ตงเฟิงพอเหยียบก้าวเข้ามา สายตาจับจ้องไปที่ถังเฉาที่นั่งสงบเฉยอยู่กับโซฟา แสงสลัวมัวมืด เขามองเห็นหน้าตาถังเฉาได้ไม่ชัด แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลานุภาพที่แฝงเต็มดั่งทะเลกว้างไพศาล
“ท่านผู้พิทักษ์ คนคนนั้น…….”
ที่ข้างตัวของมู่ตงเฟิงเป็นทหารเด็กตามมาด้วยสองคน ที่ว่าทหารเด็ก อายุก็ปาไปอยู่ที่ประมาณสามสิบบวกลบแล้ว พวกเขาจ้องมองถังเฉาอย่างเคร่งขรึม
มู่ตงเฟิงโบกมือ ระงับคำจากความหงุดหงิดที่จะพูดต่อของพวกเขา มองเพ่งไปที่ถังเฉาอย่างมีความหมาย แล้วย้ายสายตานั้นออก มองไปยังฉินโช่ววง
“ผู้เฒ่าฉิน คนที่ท่านอยากจะฆ่าโดยไม่นึกเสียดายในการสิ้นเปลืองค่าน้ำใจนี้ คือคนนี้ หรือ?”
มู่ตงเฟิงชี้ไปที่ถังเฉา มองหน้าฉินโช่ววงแล้วถาม
“มิผิด เขากับตระกูลฉินของข้า มีหนี้แค้นกันมานาน เมื่อห้าปีก่อน หลานคนที่สองของข้าที่อยู่ในกองทัพต้องขาขาดมา ทำให้ชีวิตในกองทัพของเขาต้องดับมอด ก็เป็นเพราะไอ้คนคนนี้มันมอบให้”
แสงยะเยือกกะพริบส่องจากนัยน์ตาของฉินโช่ววง เสียงแหบคนวัยชราที่แฝงอารมณ์ฆ่า “ยังหลานคนโตของข้าก็มีความขัดเคืองกับเขา ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งมากอยู่บ้าง ซึ่งแต่ถ้ากับท่านมู่แล้วคงก็ยังแค่ไร้สารสาระ”
พูดมาถึงตอนท้าย ยังคงไม่ลืมหยอดคำยกยอมู่ตงเฟิงเข้าให้หน่อย
แน่นอนที่สุด ใครหรือจะกล้ามาคุยโวอวดว่าเก่งต่อหน้ามู่ตงเฟิง? แค่เพียงได้ยินชื่อเรียกผู้พิทักษ์แดนตะวันตก ก็อกสั่นขวัญแตกกระเจิงแล้ว
“คำพูดวรรคสุดท้าย คงจะตัดทิ้งออกดีกว่านะ”
มู่ตงเฟิงพูดเสียงทุ้มลึก สายตาจ้องเขม็งที่ถังเฉา
ฉินโช่ววงย่นคิ้วหน่อย ๆ ไม่เข้าใจในความหมายของเขา แต่ก็ไม่ได้ไปคิดมาก
นัยน์ตาฉินจิ่วจิงส่องประกายเยือกเฉียบ พูดว่า “ท่านมู่ ในเมื่อท่านก็เป็นผู้ที่ผู้เฒ่าฉินเชิญมาช่วย ถ้าเช่นนั้นก็ลงมือด้วยกัน สังหารไอ้ขี้ข้าคนนี้ทิ้งเสียเลย!”
“อย่าเพิ่งรีบร้อน”
มู่ตงเฟิงพูดพลาง เดินเข้าไปหาถังเฉาอย่างช้า ๆ
บนทางที่เดินผ่านไป ฉินเจียนเวยกับฉินผู่หยางต่างรีบถอยเปิดทางให้
สุดท้าย เขามาถึงข้างหน้าถังเฉา มองหน้าตาถังเฉาได้อย่างชัดเจน
แต่ทว่า ถังเฉายังคงไม่มีทีท่าจะลุกขึ้น คงยังนั่งอยู่ด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง
ฉินผู่หยางอึดอัดจนใจเกือบจุกมาถึงที่คอแล้ว คุณมู่ยืนอยู่ แต่ถังเฉากลับนั่งเฉย?
แต่ก็น่าแปลก มู่ตงเฟิงก็ไม่ยักจะโกรธ เพียงยืนมองอย่างครุ่นคิด ถามว่า “เราดูเหมือนจะเคยพบกันมาก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”
พอได้พูดคำนี้ คนที่อยู่ต่างงงขึ้นมานิด
ถังเฉากับมู่ตงเฟิงเคยรู้จักกัน?
“เคยเจอกันเหรอ?”
ถังเฉาแค่นหัวเราะอย่างไม่มีเสียง สายตากวน ๆ มองมู่ตงเฟิงพูดว่า “ในงานประชุมแดนเหนือ ข้ามีไปที่นั่น คงอาจจะได้บังเอิญเจอกัน”
“ไม่ใช่”
แววตามู่ตงเฟิงดูลุ่มลึก ก้มเพ่งมองดูถังเฉาอย่างพินิจพิเคราะห์ เสมือนจะจาะลึกทะลวงให้เห็นถึงไส้พุง “ต้องนานก่อนหน้ากว่านั้น”
“เอ๋อ?”
ได้ยินเช่นนั้น ถังเฉาให้แปลกใจแสดงออกที่นัยน์ตา แต่ทว่า รอยยิ้มบนหน้าเข้มขึ้น
มู่ตงเฟิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ถามต่อไปว่า “คุณเคยผ่านการเกณฑ์ทหาร ใช่ไหม?”
“เคยเกณฑ์”
ถังเฉาโต้ตอบกลับเรียบ ๆ
ครั้งก่อนในงานประชุมแดนเหนือ ถังเฉาขึ้นเวทีโดยที่ใส่หน้ากาก อีกทั้งก็ไม่ได้เผชิญหน้ากับมู่ตงเฟิงจัง ๆ มู่ตงเฟิงจะไม่รู้จักตน ก็คงเป็นเรื่องปกติ
แต่ทว่า เขากลับวิเคราะห์เหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ด้วยการสัมผัสจากพลังอานุภาพของตัวเอง น่ากลัวว่า นี่ต้องเป็นผู้ที่อยู่ในระดับแกร่งกล้าจริงด้วยกัน จึงจะสามารถสัมผัสได้กระมัง?
“เมื่อไหร่หรือ?”
“ห้าปีที่แล้ว”
ถังเฉาตอบไปตามจริง
“……”
ทันทีนั้น มู่ตงเฟิงตกอยู่ในภวังค์ขรึม
จ้องมองถังเฉาอยู่นานและนาน เขาส่ายหน้า “คุณไม่ใช่เขา”
“เขาเป็นใครหรือ?”
ถังเฉาจี้ถาม
มู่ตงเฟิงกลับไม่พูด ได้แต่เพียงถอนหายใจออกเนือย ๆ
เสียงเคร้งคร้างดังขึ้น เขาโยนมีดสั้นเงาวาวลงมาเล่มหนึ่ง พูดกับถังเฉาว่า “แกเคยผ่านการเกณฑ์ทหารมา ข้าไม่อยากลงมือฆ่าแก แกจัดการกับตัวเองเถอะ”
ภายในดวงตาของมู่ตงเฟิง ส่อออกซึ่งความผิดหวัง
คนที่อยู่ข้างหน้านี้ แววสายตาช่างเหมือนพ่อหนุ่มคนนั้นมาก แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
สรุปก็คือดูผิดคน
ถอนหายใจเบา ๆ แล้วมู่ตงเฟิงก็หันหลังเดินจากไป
เฟี้ยว!
ทว่า เพียงแค่ก้าวเดียวออกไป เสียงแหวกอากาศที่เร็วทวีดังเข้ามา
เหมือนว่า มีอะไรสักอย่าง พุ่งเสียบตรงเข้ามาที่ตัวเขา
สายตามู่ตงเฟิงสะท้านวูบ เอียงคอเบี่ยงออกเล็กน้อย ยกชูออกสองนิ้ว
ส้วบ!
แสงเยือกวาบผ่าน มีดสั้นคมแหลมเล่มหนึ่ง ถูกมู่ตงเฟิงคีบอยู่หว่างกลางสองนิ้วอย่างแม่นยำไม่พลาดไถล
ก็คือมีดสั้นเล่มที่มู่ตงเฟิงโยนให้เขาใช้ปลิดชีวิตเองนั่นไง!
ฉับพลันนั้นเอง สีหน้ามู่ตงเฟิงเปลี่ยนไปอย่างมาก
หันกลับไปมองอีกที ถังเฉายังคงนั่งอยู่กับที่ สีหน้าทีท่ายังคงสงบเฉย
แต่เห็นได้ภายในดวงตา มีแววความเครียดโกรธกำลังค่อย ๆ รวมตัว
แววในดวงตานั้น ฉับพลันเอาความกดดันใส่มู่ตงเฟิงอย่างหนักหน่วง เหมือนแอบมองลอดไปเห็นวิญญาณของเขา ทำเอาตัวของมู่ตงเฟิงสท้านขึ้นมา
แววตาที่เห็นอยู่ข้างหน้านี้ กับแววตาที่อยู่ในทรงจำค่อย ๆ ซ้อนเข้าหากัน สุดท้ายกลายเป็นดวงตาคู่เดียวกัน
บรูม!
ทันทีนั้นเอง สีหน้ามู่ตงเฟิงแปรผันอย่างรุนแรง ทั้งตัวเกร็งเครียด
ภาพที่เห็น ทำเอาฉินโช่ววง ฉินผู่หยาง รวมทั้งฉินจิ่วจิงทั้งหมด ช็อกงงเต็มหน้า
ผู้พิทักษ์แดนตะวันตกทั้งคน กลับเหมือนถูกผีเข้า ตาที่ร้อนผ่าวทั้งคู่จ้องไปที่ถังเฉา พึมพำพูดว่า “คุณคือเขา!”
ต้าเซี่ยมีสี่ชายแดนหลัก
แดนตะวันออก แดนตะวันตก แดนใต้ แดนเหนือ
แต่ละแดน ต่างก็มีหนึ่งผู้พิทักษ์
สี่ผู้พิทักษ์ใหญ่ พลังฝีมือเรียกได้ว่าสุดยอด ใครก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าใครไปเท่าไหร่
รองจากเจ้ามังกร พวกเขาคือยิ่งใหญ่
ใครจะไปคิดถึงได้ว่า ผู้พิทักษ์แดนตะวันตก จะมาปรากฏตัวได้ที่นี่ได้
ในพริบตานั้นเอง พลานุภาพที่แทบทำให้คนขาดใจได้ม้วนตลบโหมกระหน่ำเข้ามาดั่งคลื่นสึนามิ ไม่ว่าฉินเจียนเวย หรือฉินผู่หยาง ต่างเขม็งเกร็งไปทั่วร่าง ไม่กล้าขยับกายแม้แต่น้อย
“มู่.. ท่านมู่!”
ท่อนขาทั้งสองข้างของฉินผู่หยางสั่นกระทบกัน ภายในดวงตาฉายความสั่นสะท้าน ใช้สายตาแหงนมองมู่ตงเฟิง
เก้าตระกูลหลวงใหญ่ในเมืองซื่อจิ่ว ตระกูลฉินต้องจัดอยู่ในอันดับต้น มีอยู่หนึ่งสาเหตุใหญ่ ก็ด้วยว่าตระกูลฉินมีพันธะผูกพันแต่เก่าก่อนมากับผู้พิทักษ์แดนใต้มู่ตงเฟิง
ในการประชุมแดนเหนือครั้งก่อนนี้ ผู้ตัดสินใหญ่ก็คือมู่ตงเฟิง แทบจะทุกคนล้วนเชื่อว่าตระกูลฉินจะต้องได้เป็นผู้ชนะในรอบตัดเชือก
ทำไมจึงมีความเชื่อมั่นแบบนี้?
ก็ด้วยเหตุที่ว่าตระกูลฉินมีความผูกพันกับมู่ตงเฟิงอย่างค่อนข้างลึกซึ้งนั้นเอง!
ฉินผู่หยางรู้ดีถึงความน่ากลัวของมู่ตงเฟิง เขามาปรากฏตัวที่นี่ ผนวกกับยอดฝีมือตระกูลฉินแห่งตระกูลราชวงศ์ ฉินจิ่วจิง พูดได้เลยว่า เป็นเครื่องชั่งในการชี้ขาดการประกาศชัยชนะโดยตรง
ช่างยิ่งใหญ่จริง ๆ!
ฉินผู่หยางไม่มีวันจะลืมเหตุการณ์ที่ครั้งหนึ่งในคราวที่มู่ตงเฟิงขอเข้าพบท่านบ้าบู๊อู่ตงหยาง หนึ่งในเจ็ดผู้บ้า(ชีชือ) แต่กลับถูกปฏิเสธให้อยู่หน้าประตู มู่ตงเฟิงได้ประมือกับผู้บ้าบู๊อยู่หลายกระบวนท่า
ถึงแม้ว่า การในครั้งนั้นทั้งสองคนแทบจะเป็นการดูเชิงกัน ไม่ได้ใช้ฝีมือกันเต็มกำลัง แต่มันน่ากลัวมากเอาทีเดียว!
คู่ต่อสู้เป็นลูกศิษย์สายเลือดนักรบเทพ ผู้บ้าบู๊อู่ตงหยาง มู่ตงเฟิงสามารถไม่ตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบ นั้นย่อมเป็นที่ให้เห็นได้ถึงพลังฝีมือจริงของผู้พิทักษ์แดนตะวันตก
ในขณะนี้ได้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เพียงแค่เห็นเขาหยุดยืนตรงไหน ยังไม่ได้ทำอะไร ก็เพียงพอจะทำให้เกิดความกดดันที่เกินพอกับคนแล้ว
ฉินจิ่วจิงก็ยังตาค้างยืนเซ่อ เหงื่อผุดบนหน้าผากจนหนาว ให้รู้สึกในจิตสำนึกว่า นอกเหนือไปจากในราชวงศ์ ยังมียอดฝีมือถึงระดับนี้เชียวหรือ?
ใช่แล้ว
มู่ตงเฟิงยังไม่ทันได้ลงมือ เพียงอานุภาพอันทรงพลังที่ยังไม่ได้ออกอารมณ์เกรี้ยวกราด ก็ยังทำเอาฉินจิ่วจิงขวัญผวา
เขารู้สึกลึก ๆ ในใจว่า หากแม้นต้องต่อสู้กันจริง เขาคงค่อนไปทางไม่ใช่คู่ต่อสู้เอาเลย
มู่ตงเฟิงพอเหยียบก้าวเข้ามา สายตาจับจ้องไปที่ถังเฉาที่นั่งสงบเฉยอยู่กับโซฟา แสงสลัวมัวมืด เขามองเห็นหน้าตาถังเฉาได้ไม่ชัด แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลานุภาพที่แฝงเต็มดั่งทะเลกว้างไพศาล
“ท่านผู้พิทักษ์ คนคนนั้น…….”
ที่ข้างตัวของมู่ตงเฟิงเป็นทหารเด็กตามมาด้วยสองคน ที่ว่าทหารเด็ก อายุก็ปาไปอยู่ที่ประมาณสามสิบบวกลบแล้ว พวกเขาจ้องมองถังเฉาอย่างเคร่งขรึม
มู่ตงเฟิงโบกมือ ระงับคำจากความหงุดหงิดที่จะพูดต่อของพวกเขา มองเพ่งไปที่ถังเฉาอย่างมีความหมาย แล้วย้ายสายตานั้นออก มองไปยังฉินโช่ววง
“ผู้เฒ่าฉิน คนที่ท่านอยากจะฆ่าโดยไม่นึกเสียดายในการสิ้นเปลืองค่าน้ำใจนี้ คือคนนี้ หรือ?”
มู่ตงเฟิงชี้ไปที่ถังเฉา มองหน้าฉินโช่ววงแล้วถาม
“มิผิด เขากับตระกูลฉินของข้า มีหนี้แค้นกันมานาน เมื่อห้าปีก่อน หลานคนที่สองของข้าที่อยู่ในกองทัพต้องขาขาดมา ทำให้ชีวิตในกองทัพของเขาต้องดับมอด ก็เป็นเพราะไอ้คนคนนี้มันมอบให้”
แสงยะเยือกกะพริบส่องจากนัยน์ตาของฉินโช่ววง เสียงแหบคนวัยชราที่แฝงอารมณ์ฆ่า “ยังหลานคนโตของข้าก็มีความขัดเคืองกับเขา ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งมากอยู่บ้าง ซึ่งแต่ถ้ากับท่านมู่แล้วคงก็ยังแค่ไร้สารสาระ”
พูดมาถึงตอนท้าย ยังคงไม่ลืมหยอดคำยกยอมู่ตงเฟิงเข้าให้หน่อย
แน่นอนที่สุด ใครหรือจะกล้ามาคุยโวอวดว่าเก่งต่อหน้ามู่ตงเฟิง? แค่เพียงได้ยินชื่อเรียกผู้พิทักษ์แดนตะวันตก ก็อกสั่นขวัญแตกกระเจิงแล้ว
“คำพูดวรรคสุดท้าย คงจะตัดทิ้งออกดีกว่านะ”
มู่ตงเฟิงพูดเสียงทุ้มลึก สายตาจ้องเขม็งที่ถังเฉา
ฉินโช่ววงย่นคิ้วหน่อย ๆ ไม่เข้าใจในความหมายของเขา แต่ก็ไม่ได้ไปคิดมาก
นัยน์ตาฉินจิ่วจิงส่องประกายเยือกเฉียบ พูดว่า “ท่านมู่ ในเมื่อท่านก็เป็นผู้ที่ผู้เฒ่าฉินเชิญมาช่วย ถ้าเช่นนั้นก็ลงมือด้วยกัน สังหารไอ้ขี้ข้าคนนี้ทิ้งเสียเลย!”
“อย่าเพิ่งรีบร้อน”
มู่ตงเฟิงพูดพลาง เดินเข้าไปหาถังเฉาอย่างช้า ๆ
บนทางที่เดินผ่านไป ฉินเจียนเวยกับฉินผู่หยางต่างรีบถอยเปิดทางให้
สุดท้าย เขามาถึงข้างหน้าถังเฉา มองหน้าตาถังเฉาได้อย่างชัดเจน
แต่ทว่า ถังเฉายังคงไม่มีทีท่าจะลุกขึ้น คงยังนั่งอยู่ด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง
ฉินผู่หยางอึดอัดจนใจเกือบจุกมาถึงที่คอแล้ว คุณมู่ยืนอยู่ แต่ถังเฉากลับนั่งเฉย?
แต่ก็น่าแปลก มู่ตงเฟิงก็ไม่ยักจะโกรธ เพียงยืนมองอย่างครุ่นคิด ถามว่า “เราดูเหมือนจะเคยพบกันมาก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”
พอได้พูดคำนี้ คนที่อยู่ต่างงงขึ้นมานิด
ถังเฉากับมู่ตงเฟิงเคยรู้จักกัน?
“เคยเจอกันเหรอ?”
ถังเฉาแค่นหัวเราะอย่างไม่มีเสียง สายตากวน ๆ มองมู่ตงเฟิงพูดว่า “ในงานประชุมแดนเหนือ ข้ามีไปที่นั่น คงอาจจะได้บังเอิญเจอกัน”
“ไม่ใช่”
แววตามู่ตงเฟิงดูลุ่มลึก ก้มเพ่งมองดูถังเฉาอย่างพินิจพิเคราะห์ เสมือนจะจาะลึกทะลวงให้เห็นถึงไส้พุง “ต้องนานก่อนหน้ากว่านั้น”
“เอ๋อ?”
ได้ยินเช่นนั้น ถังเฉาให้แปลกใจแสดงออกที่นัยน์ตา แต่ทว่า รอยยิ้มบนหน้าเข้มขึ้น
มู่ตงเฟิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ถามต่อไปว่า “คุณเคยผ่านการเกณฑ์ทหาร ใช่ไหม?”
“เคยเกณฑ์”
ถังเฉาโต้ตอบกลับเรียบ ๆ
ครั้งก่อนในงานประชุมแดนเหนือ ถังเฉาขึ้นเวทีโดยที่ใส่หน้ากาก อีกทั้งก็ไม่ได้เผชิญหน้ากับมู่ตงเฟิงจัง ๆ มู่ตงเฟิงจะไม่รู้จักตน ก็คงเป็นเรื่องปกติ
แต่ทว่า เขากลับวิเคราะห์เหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ด้วยการสัมผัสจากพลังอานุภาพของตัวเอง น่ากลัวว่า นี่ต้องเป็นผู้ที่อยู่ในระดับแกร่งกล้าจริงด้วยกัน จึงจะสามารถสัมผัสได้กระมัง?
“เมื่อไหร่หรือ?”
“ห้าปีที่แล้ว”
ถังเฉาตอบไปตามจริง
“……”
ทันทีนั้น มู่ตงเฟิงตกอยู่ในภวังค์ขรึม
จ้องมองถังเฉาอยู่นานและนาน เขาส่ายหน้า “คุณไม่ใช่เขา”
“เขาเป็นใครหรือ?”
ถังเฉาจี้ถาม
มู่ตงเฟิงกลับไม่พูด ได้แต่เพียงถอนหายใจออกเนือย ๆ
เสียงเคร้งคร้างดังขึ้น เขาโยนมีดสั้นเงาวาวลงมาเล่มหนึ่ง พูดกับถังเฉาว่า “แกเคยผ่านการเกณฑ์ทหารมา ข้าไม่อยากลงมือฆ่าแก แกจัดการกับตัวเองเถอะ”
ภายในดวงตาของมู่ตงเฟิง ส่อออกซึ่งความผิดหวัง
คนที่อยู่ข้างหน้านี้ แววสายตาช่างเหมือนพ่อหนุ่มคนนั้นมาก แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
สรุปก็คือดูผิดคน
ถอนหายใจเบา ๆ แล้วมู่ตงเฟิงก็หันหลังเดินจากไป
เฟี้ยว!
ทว่า เพียงแค่ก้าวเดียวออกไป เสียงแหวกอากาศที่เร็วทวีดังเข้ามา
เหมือนว่า มีอะไรสักอย่าง พุ่งเสียบตรงเข้ามาที่ตัวเขา
สายตามู่ตงเฟิงสะท้านวูบ เอียงคอเบี่ยงออกเล็กน้อย ยกชูออกสองนิ้ว
ส้วบ!
แสงเยือกวาบผ่าน มีดสั้นคมแหลมเล่มหนึ่ง ถูกมู่ตงเฟิงคีบอยู่หว่างกลางสองนิ้วอย่างแม่นยำไม่พลาดไถล
ก็คือมีดสั้นเล่มที่มู่ตงเฟิงโยนให้เขาใช้ปลิดชีวิตเองนั่นไง!
ฉับพลันนั้นเอง สีหน้ามู่ตงเฟิงเปลี่ยนไปอย่างมาก
หันกลับไปมองอีกที ถังเฉายังคงนั่งอยู่กับที่ สีหน้าทีท่ายังคงสงบเฉย
แต่เห็นได้ภายในดวงตา มีแววความเครียดโกรธกำลังค่อย ๆ รวมตัว
แววในดวงตานั้น ฉับพลันเอาความกดดันใส่มู่ตงเฟิงอย่างหนักหน่วง เหมือนแอบมองลอดไปเห็นวิญญาณของเขา ทำเอาตัวของมู่ตงเฟิงสท้านขึ้นมา
แววตาที่เห็นอยู่ข้างหน้านี้ กับแววตาที่อยู่ในทรงจำค่อย ๆ ซ้อนเข้าหากัน สุดท้ายกลายเป็นดวงตาคู่เดียวกัน
บรูม!
ทันทีนั้นเอง สีหน้ามู่ตงเฟิงแปรผันอย่างรุนแรง ทั้งตัวเกร็งเครียด
ภาพที่เห็น ทำเอาฉินโช่ววง ฉินผู่หยาง รวมทั้งฉินจิ่วจิงทั้งหมด ช็อกงงเต็มหน้า
ผู้พิทักษ์แดนตะวันตกทั้งคน กลับเหมือนถูกผีเข้า ตาที่ร้อนผ่าวทั้งคู่จ้องไปที่ถังเฉา พึมพำพูดว่า “คุณคือเขา!”