เมืองเฉาหนานที่อยู่ริมแม่น้ำจั๋วเกิดศึกกำจัดปีศาจขึ้น
ศึกปราบปีศาจดำเนินตั้งแต่กลางคืนไปจนถึงรุ่งเช้า ราชสำนักได้ส่งกองทัพเสินเว่ย[1]ออกมาทำการเก็บกวาดล่วงหน้า ประชาชนในเมืองเฉาหนานมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขามองเห็นเพียงลำแสงกระบี่หลายสิบสายส่องสว่างไปมาบนท้องฟ้ายามค่ำคืน จนกระทั่งวันที่สอง ก็ยังคงมองเห็นรอยคราบเลือดที่อยู่บนโขดหินได้อยู่
ปีศาจยักษ์ที่แอบซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของแม่น้ำจั๋วอาจได้รับบาดเจ็บหนัก หรืออาจจะตายไปอย่างเงียบๆแล้ว หรืออาจจะหนีไปแล้ว คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
การออกมากำจัดปีศาจของยอดเขาเหลี่ยงว่างในครานี้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าสุดท้ายมันจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น
หลิ่วสือซุ่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส กระทั่งถูกส่งกลับมายังชิงซานแล้ว เขายังคงสลบมิได้สติ
“ตอนที่กลับมาถึงชิงซาน ลูกศิษย์หลายคนต่างมองเห็น ว่ากันว่าตัวเขาแดงไปทั้งตัว ร่างกายร้อนผ่าวราวกับน้ำที่กำลังเดือดพล่าน หิมะที่ตกลงมาบนใบหน้าของเขา ยังมิทันได้ละลายก็สลายหายกลายเป็นควัน”
กู้ชิงมองจิ๋วจิ่ว ลังเลเพียงครู่พลันกล่าวว่า “ข้ารู้สึกเป็นกังวล…เขามิคล้ายได้รับบาดเจ็บ หากแต่คล้ายถูกพิษมากกว่า”
ตามหลักแล้ว ลูกศิษย์หนุ่มสาวที่ติดตามยอดเขาเหลี่ยงว่างออกไปกำจัดปีศาจเป็นครั้งแรก ส่วนใหญ่มักจะเป็นการออกไปสัมผัสประสบการณ์ เวลาที่การต่อสู้อยู่ในอันตราย พวกเขาจะถูกพาไปอยู่ด้านหลังเหล่าศิษย์พี่ที่มีสภาวะสูงส่งกว่าเหล่านั้น กระทั่งมีความมั่นใจแล้ว เหล่าศิษย์พี่ถึงจะปล่อยให้พวกเขาออกไปสู้รบ
ยอดเขาเหลี่ยงว่างเข้มงวดกับลูกศิษย์อย่างมาก เน้นหนักเรื่องใช้การต่อสู้มาเลี้ยงดูกระบี่ แล้วก็ไม่มีทางทำอะไรโดยสะเพร่า มากไปกว่านั้นหลิ่วสือซุ่ยคือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดที่สำนักชิงซานให้ความสำคัญยิ่งนัก
จิ๋งจิ่วฟังอยู่เงียบๆ มิเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของกู้ชิง
สิ่งแรกที่ผู้บำเพ็ญพรตเน้นหนักก็คือการฝึกฝนร่างกาย อีกทั้งยังมีปราณก่อกำเนิดที่หลั่งไหลมาจากเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าอย่างไม่ขาดสาย พิษธรรมดามิอาจทำอะไรได้
จริงอยู่ที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างควรจะคุ้มครองหลิ่วสือซุ่ยเอาไว้ให้ดีที่สุด แต่ถ้าหากเขาคาดเดาไม่ผิด นี่บางทีอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนั้นก็เป็นได้
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “เวลานี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เหล่าอาจารย์อาแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยกำลังสืบหาสาเหตุ ผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งโกรธเกรี้ยวอย่างมาก”
กู้ชิงกล่าว “ศิษย์พี่เจี่ยนที่เป็นคนนำขบวนออกไปถูกยอดเขาซั่งเต๋อลงโทษให้ไปสำนึกตนอยู่ในห้องหินเป็นเวลาครึ่งปี”
ศิษย์พี่เจี่ยนที่เขาว่าชื่อเจี่ยนหรูอวิ๋น เป็นศิษย์พี่อันดับที่สี่ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง มาจากยอดเขาอวิ๋นสิง วิถีกระบี่สูงส่ง สถานะของเขาในสายตาของศิษย์ร่วมสำนักก็สูงส่งเช่นเดียวกัน
เจ้าล่าเยวี่ยคิดว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นัก ตอนนี้กระทั่งสาเหตุที่หลิ่วสือซุ่ยได้รับบาดเจ็บยังตรวจสอบไม่กระจ่างก็ไปลงโทษเจี่ยนหรูอวิ๋นรุนแรงถึงเพียงนี้ ผู้ใดจะยอมรับได้? พวกเขาไม่กังวลหรือว่าการจัดการเช่นนี้จะทำให้เกิดข้อครหา? อีกทั้งนี่อาจจะทำให้ลูกศิษย์ธรรมดาเกิดความรู้สึกอคติต่อหลิ่วสือซุ่ยได้ง่าย
จิ๋งจิ่วเดินไปยังริมผา สายตาทอดมองดูหมู่ยอดเขาที่อยู่ในพายุหิมะ นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูแผ่นหลังของเขา กล่าวถามว่า “เจ้าจะไปเมื่อไหร่?”
นี่ย่อมต้องหมายถึงไปเยี่ยมหลิ่วสือซุ่ยที่ยอดเขาเทียนกวง
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ไม่ไป”
กู้ชิงตกใจเล็กน้อย เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวถามว่า “เพราะเหตุใด?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “นี่เป็นการตัดสินใจของเขา”
กู้ชิงมิเข้าใจความหมายของเขา
เจ้าล่าเยวี่ยคล้ายรับรู้ได้ถึงอะไร
นางรู้ว่าจิ๋งจิ่วมิใช่คนเย็นชาไร้ความรู้สึก แล้วก็มิเคยจงใจพยายามที่จะไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ความรู้สึก
กู้ชิงจากไป บริเวณหน้าผาเหลือพวกเขาเพียงสองคน
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “เจ้ากำลังสงสัยเรื่องอะไรอยู่กันแน่?”
“แค่เรื่องเล็กน้อย”
จิ๋งจิ่วมองดูหมู่ยอดเขาที่อยู่ท่ามกลางหิมะ จู่ๆ พลันเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา จากนั้นกล่าวว่า “ข้าจะออกไปเดินๆ หน่อย”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูแผ่นหลังของเขาพลางถามว่า “เจ้าจะไปที่ไหน? เมืองเฉาหนาน?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่ แค่เดินไปเรื่อยเท่านั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เจ้ามิใช่ลูกศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่าง มิสามารถออกนอกเขาตามอำเภอใจได้”
จิ๋วจิ๋วกล่าว “กำจัดปีศาจขจัดความชั่วร้าย…เป็นเหตุผลที่ดี อืม…แม้นเรื่องแบบนี้ เมื่อก่อนข้าจะไม่เคยทำมาก่อนก็ตาม”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เรื่องแบบนี้ข้าเคยทำมาแล้วหลายครั้ง”
เมื่อครั้งที่อยู่ศาลาหนานซง นางมักจะพาเหล่าศิษย์น้องที่เป็นศิษย์นอกสำนักออกไปลาดตระเวนรอบชิงซานอยู่บ่อยๆ
แต่ความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้ก็คือ หากเจ้าจะไป ข้าจะไปกับเจ้าด้วย
จิ๋งจิ่วหมุนตัวกลับมามองนาง มิกล่าวกระไร
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “อย่าคิดอันใดมาก ข้าเพียงมีธุระต้องทำ ไปทางเดียวกันพอดี”
จิ๋วจิ่วกล่าว “การฝึกฝนวิถีกระบี่ของเจ้ากำลังอยู่ในช่วงสำคัญ มิอาจเสียสมาธิได้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เมื่อคืนข้าบรรลุสภาวะแล้ว”
จิ๋วจิ๋วใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่กวาดออกไป พบว่านางบรรลุสภาวะมิประจักษ์แล้วจริงดั่งว่า จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เข้าสู่มิประจักษ์ อายุขัยเพิ่มขึ้น กระบี่บินสูงส่ง เรียกได้ว่าเป็นเซียนกระบี่ สำหรับศิษย์ชิงซานแล้ว นี่คือเส้นแบ่งที่สำคัญที่สุด
แต่สำหรับเจ้าล่าเยวี่ยแล้ว กลับเป็นเรื่องง่ายดายคล้ายเมื่อคืนกินผลไม้ไปสองสามลูก
“มิเสียทีที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด เดิมข้าคิดว่าเจ้าต้องใช้เวลาสองปี คิดไม่ถึงเลยว่าจะรวดเร็วเพียงนี้”
จิ๋งจิ่วมองนาง ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ข้ามิได้ดูผิด เจ้าเหมาะกับเพลงกระบี่ชุดนี้จริงๆ ด้วย”
นี่ย่อมต้องหมายถึงเคล็ดกระบี่เก้ามรณาที่นักพรตจิ่งหยางทิ้งเอาไว้ให้
ต่อให้พรสวรรค์ของเจ้าล่าเยวี่ยจะน่าตกตะลึงเพียงใด หากไม่มีเพลงกระบี่ที่เหมาะสมกับนางชุดนี้ ก็ยากที่นางจะบรรลุสภาวะในเวลาสั้นๆ เท่านี้ได้
“เจ้าคิดว่าข้าเหมาะสมกว่าเจ้า?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดวงตาเขาพลางกล่าวถาม ไม่ได้ปกปิดเจตนาที่ต้องการจะหยั่งเชิงของตนเองเลยแม้แต่น้อย
“ใช่ เพราะข้าไม่ชอบเคล็ดกระบี่เก้ามรณา”
น้ำเสียงของจิ๋งจิ่วเป็นธรรมชาติอย่างมาก และเรียบเฉยอย่างมาก
จากนั้นเขานิ่งเงียบไปครู่
“แต่มีคนที่ชอบมันอย่างมาก”
……
……
ตกกลางดึก จิ๋งจิ่วฝ่าลมหิมะลงมาจากเขา
เขามิได้ไปยอดเขาเทียนกวงเพื่อเยี่ยมหลิ่วสือซุ่ย
หากเขาใคร่จะไป ก็น่าจะไม่มีผู้ใดหยุดยั้งเขาได้ ตอนนี้เขาเป็นอาจารย์อาแห่งยอดเขาเสินม่อ สถานะความอาวุโสสูงส่งกว่าศิษย์รุ่นที่สามที่มีกั้วหนานซานเป็นผู้นำ
สถานที่ที่เขาไปคือยอดเขาปี้หู
ข่ายพลังกระบี่ของยอดเขาปี้หูยังคงรับรู้ไม่ได้ถึงการมาของเขา เขาขึ้นไปถึงปลายสุดของยอดเขาราวกับเดินเล่นขึ้นไปอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะไปยืนอยู่ริมฝั่งของทะเลสาบแห่งนั้น
เกล็ดหิมะสีขาวร่วงโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน ตกลงไปในทะเลสาบแล้วสลายหายไป ไม่ทิ้งร่อยรอยใดๆ เอาไว้แม้เพียงนิดเดียว
เขายืนอยู่ริมทะเลสาบอย่างเงียบๆ มิรู้รอคอยอยู่นานเท่าไหร่ ในที่สุดลมหิมะก็ค่อยๆ เบาลง จู่ๆ บนท้องฟ้ายามค่ำคืนพลันมีสายฟ้าปรากฏขึ้นมาหลายสาย
ครั้งนี้เขามิได้ปิดบังร่องรอยของตัวเอง หากแต่เหยียบคลื่นท่องไปบนผิวน้ำๆ
สายฟ้าฟาดลงมา เขาเยื้องย่างไปบนผิวน้ำอย่างแผ่วเบา ชุดขาวปลิวไหว คล้ายดั่งเทพเซียน
เสียงฟ้าร้องครืนครืน มิรู้แมวป่าที่อยู่บนเกาะไปหลบอยู่แห่งหนใด
สายฟ้าฟาดเข้าไปด้านในของตำหนัก ก่อนจะถูกไม้วิญญาณกลืนกินลงไปเพื่อเลี้ยงบำรุง มิได้มีเสียงใดๆ แม้แต่น้อย
ตำหนักหลังนั้นยิ่งดูเงียบเชียบ อีกทั้งยังดูแปลก
แมวขาวตัวนั้นฟุบหมอบอยู่บนขอบหน้าต่าง ดวงตาหรี่เล็ก ขนแมวยาวๆ ลู่ตกลง ดูคล้ายง่วงนอน
เพียงแค่ดูรูปร่างภายนอก ใครจะคิดบ้างว่ามันจะเป็นไป๋กุ่ยที่เย็นชาและน่ากลัวที่สุดในบรรดาผู้พิทักษ์ทั้งสี่ของชิงซาน?
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง มือขวาวางไปบนตัวแมวขาวอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นเริ่มลูบไล้มันตั้งแต่ด้านหน้าไปจนถึงด้านหลัง ท่าทางดูคุ้นเคย ราวกับเคยทำมาแล้วนับพันนับร้อยปี
ตอนแรกร่างกายของแมวขาวยังดูค่อนข้างเกร็ง ก่อนจะค่อยๆ อ่อนลงคล้ายยอมเชื่อฟัง
“มิว่าจะเป็นเจ้าหรือล่าเยวี่ยก็ล้วนแต่ไม่ชอบถูกคนลูบศีรษะ มีเพียงสือซุ่ยที่ชอบ”
จิ๋งจิ่วลูบศีรษะแมวขาว ก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “เอาล่ะ บางทีเขาอาจจะไม่ชอบ เพียงแต่ไม่รู้จะขัดขืนข้าอย่างไร”
แมวขาวมิได้สนใจเขา
“สื่อซุ่ยคือเด็กคนหนึ่งที่ข้ารู้จัก หลายวันก่อนไปปราบปีศาจที่แม่น้ำจั๋ว เกิดปัญหาเล็กน้อย”
จิ๋งจิ่วพูดกับตัวเอง “เด็กๆ บนยอดเขาเหลี่ยงว่างเหล่านั้นคิดว่าตัวเองจัดการเรื่องนี้ได้ระมัดระวัง เฉลียวฉลาด และวางแผนล่วงหน้ามาดีพอแล้ว ดังนั้นจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน แต่พวกเขายังเด็กเกินไป ไม่เหมือนเจ้าและข้าที่ต่างก็รู้ว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนได้เกิดเรื่องราวที่แทบจะเหมือนกันนี้ขึ้น”
แมวขาวคิดขึ้นมาได้ว่าเรื่องที่เขาพูดมันหมายถึงเรื่องอะไร สายตาพลันเยือกเย็นขึ้นเล็กน้อย
……………………………………………………….
[1] เสินเว่ย หมายถึง พิทักษ์เทพ