ตอนที่จิ๋งจิ่วกลับมา เจ้าล่าเยวี่ยได้กลับมาเป็นปกติแล้ว สีหน้ามองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ จิ๋งจิ่วย่อมไม่รู้ว่านางคิดเรื่องใดบ้าง เขามองดูฝุ่นควันในป่าด้านล่างหน้าผาที่ค่อยๆ จางหายไป พลางกล่าว “ลิงจากนอกเขายังวุ่นวายเพียงนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนเลย ข้าคิดว่าพวกเราอย่าเอาคนมาดีกว่า”
เขาหมายถึงเรื่องที่ยอดเขาซีไหลจะส่งผู้ดูแลมาที่ยอดเขาเสินม่อตามกฎของชิงซาน
จิ๋งจิ่วมองดูเสื้อของเจ้าล่าเยวี่ยที่ใหญ่เทอะทะ กล่าวว่า “ข้าเย็บเสื้อเป็น ประเดี๋ยวข้าจัดการเอง”
เจ้าล่าเยวี่ยลืมตาโต ถามว่า “กระทั่งเย็บเสื้อเจ้าก็ทำเป็นหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เคยเรียนในหมู่บ้านมาวันหนึ่ง”
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิด กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี จะได้ไม่ต้องมีปัญหากับคนที่ยอดเขาซีไหลส่งมา”
บรรยากาศในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานช่วงนี้แปลกพิกล ทั้งกดดันและอึดอัด ให้ความรู้สึกคล้ายฝนที่กำลังจะตกลงมา แต่ตำแหน่งของยอดเขาเสินม่ออยู่ค่อนข้างห่างไกล เวลานี้พวกเขาทั้งสองคนยังมิต้องข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ทางอำนาจอันซับซ้อนเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนิสัยของจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ย พวกเขาจะต้องไม่สนใจเรื่องเหล่านี้แน่นอน เพียงแค่ตั้งใจบำเพ็ญเพียรก็พอ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ตอนนี้พวกเขาควรจะเรียนอะไร?
เจ้าล่าเยวี่ยค้นหาทั้งนอกทั้งในถ้ำจนทั่ว แต่ก็หาเคล็ดกระบี่ไม่เจอแม้ซักเล่ม
“ไม่มีเคล็ดกระบี่ จะเรียนกระบี่อย่างไร?”
สายตาเจ้าล่าเยวี่ยเลื่อนออกจากกระบี่มิคำนึงมาตกอยู่บนใบหน้าจิ๋งจิ่ว จากนั้นจึงหยุดค้างอยู่เป็นเวลานาน
จิ๋งจิ่วลูบใบหน้า ครุ่นคิดอยู่ครู่จึงกล่าวว่า “ถ้ายังไง…ให้ข้าจัดการด้วยไหม?”
“คนมีความสามารถย่อมต้องทำอะไรหลายอย่าง ลิงสู้กันเจ้ายังไปช่วยจัดการ เรื่องนี้เจ้าก็ย่อมต้องเป็นคนรับผิดชอบ”
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิดในใจ จากนั้นถามว่า “ชนะไหม?”
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางหมายถึงเรื่องที่ไปช่วยลิงต่อสู้ จึงเลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “แน่นอน”
จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในถ้ำ
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูแผ่นหลังของเขา รู้สึกพูดอะไรไม่ออก
จากศาลาหนานซงมายังธารสี่เจี้ยน บรรลุสี่สภาวะตามใจนึก ขึ้นไปยังยอดเขากระบี่ เอาชนะกู้ชิง จนกระทั่งขึ้นมายังยอดเขาเสินม่อ ความสงบนิ่งที่จิ๋งจิ่วแสดงออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ คล้ายว่าเขามิได้เอาเรื่องเหล่านั้นมาใส่ใจเลย แต่วันนี้หลังช่วยลิงต่อสู้จนชนะแล้ว เขากลับแสดงให้เห็นถึงความภูมิใจที่มิอาจปิดบังเอาไว้ได้
เขาเป็นคนแบบไหนกันแน่?
ภายในถ้ำ จิ๋งจิ่วหยิบเอาพู่กัน หมึกดำ กระดาษและแท่นฝนหมึกออกมา เขารวบรวมสมาธิ แล้วเริ่มเขียนตัวหนังสือลงไปบนกระดาษ ผ่านไปไม่นาน เขาก็เขียนเสร็จเรียบร้อยแผ่นหนึ่ง จากนั้นจำนวนก็ค่อยๆ เยอะขึ้น จนสามารถเย็บรวมเป็นเล่มได้เล่มหนึ่ง เดิมเขาคิดจะวางพู่กันแต่เพียงเท่านี้ แต่คิดไปคิดมา หนึ่งเล่มก็คือเขียน สองเล่มก็คือเขียน ต่อไปต้องมานั่งฝนหมึกใหม่ครั้งก็เป็นความยุ่งยากครั้งใหม่ ดังนั้นเขาจึงปาดหมึกที่ยังเหลืออยู่ในแท่นฝนหมึกขึ้นมาเขียนต่ออีกหน่อย เพียงแต่มิรู้ว่าเขากำลังเขียนอะไรอยู่
ตกเย็น กระดาษที่เขียนตัวหนังสือเอาไว้แห้งสนิท ก่อนจะถูกเขาแบ่งออกเป็นเล่มๆ แล้วใช้ด้ายกับเข็มเย็บไว้ จากนั้นหยิบออกมานอกถ้ำเล่มหนึ่ง
เจ้าล่าเยวี่ยรับเอาหนังสือเล่มนี้มาพลิกเปิดดู สีหน้าคร่ำเคร่งยิ่งนัก
ตัวหนังสือที่อยู่บนกระดาษเห็นได้ชัดว่าเขียนขึ้นมาใหม่ หมึกเพิ่งจะแห้งสนิทได้ไม่นาน รูปภาพที่แทรกเอาไว้สองสามรูปยังไม่แห้งสนิท
สิ่งที่ตัวหนังสือและภาพเหล่านั้นบรรยายคือเพลงกระบี่และเคล็ดลับในการขี่กระบี่
เพลงกระบี่ชุดนี้องอาจห้าวหาญ หรือพูดอีกอย่างคือเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ความหมายของแม้นตายเก้าครั้งก็มิเสียใจโลดแล่นผ่านหน้าหนังสือออกมา
เจ้าล่าเยวี่ยเงยหน้าขึ้นมองดูจิ๋งจิ่ว อารมณ์ในสายตาดูสับสนยิ่งนัก
“ทำไมหรือ?” จิ๋งจิ่วถาม
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ปรมาจารย์อาเชื่อเจ้ามากกว่าจริงด้วย ข้าเริ่มรู้สึกอิจฉาขึ้นมาหน่อยแล้ว”
เพราะจิ่งหยางทิ้งกระบี่มิคำนึงเอาไว้ให้นาง แต่กลับทิ้งเคล็ดกระบี่เก้ามรณาเอาไว้ให้จิ๋งจิ่วอย่างนั้นหรือ?
ทว่ากระบี่กับเคล็ดกระบี่สิ่งไหนสำคัญมากกว่ากัน ความจริงแล้วก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้
จิ๋งจิ่วกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ จัดแจงท่าทางเพื่อไม่ให้ขาเก้าอี้ที่เริ่มเสียหายหักลง จากนั้นหลับตาแล้วเริ่มพักผ่อน
ครั้นมองดูใบหน้าด้านข้างของเขา พริบตานั้นเอง ภายในหัวเจ้าล่าเยวี่ยพลันมีความคิดอันน่าตกตะลึงปรากฏขึ้นมา
แต่นอกจากถามจิ๋งจิ่วตรงๆ แล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะพิสูจน์ความจริงของความคิดนี้ได้เลย
กระทั่งสุดท้ายแล้ว เจ้าล่าเยวี่ยก็มิได้ถามออกมา
นี่คือความแตกต่างระหว่างนางกับหลิ่วสือซุ่ย มิเช่นนั้นจิ๋งจิ่วคงจะพูดความจริงออกมาอย่างแน่นอน
มิเช่นนั้นแล้วภายในความมืดที่ปกคลุมทั่วทั้งภูเขา นางก็คงรู้คำตอบไปแล้ว
……
……
ครั้นเห็นกระบี่บินสองเล่มนั้นบินทะลุทะเลเมฆลงไปยังด้านล่างยอดเขา กู้หานนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวออกมา “เห็นได้ชัดว่ายอดเขาซั่งเต๋อกำลังข่มพวกเรา”
กั้วหนานซานกล่าว “ใจเย็นหน่อย คำพูดเหล่านี้ถ้าเล็ดรอดออกไปมันจะไม่ดี”
กู้หานมองไปทางเขา สีหน้าดูไม่ดี กล่าวว่า “ยอดเขาซั่งเต๋ออวดดีเช่นนี้ พวกอาจารย์อาไม่ว่ากระไรหน่อยหรือ?”
“ก่อนตายพ่อของเจ้าเคยพูดว่ายังไง? ขอเพียงชิงซานสืบทอดต่อไปได้…”
กั้วหนานซานมองดูกระบี่สองเล่มที่บินหายลับไปแล้ว นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “การเสียสละใดๆ ก็ล้วนแต่ยอมรับได้”
ในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน กู้ชิงถูกจิ๋งจิ่วบีบคั้นจนร้อนใจไปชั่วขณะหนึ่ง เขาลืมข้อห้ามด้วยการใช้เคล็ดกระบี่สุริยันที่เรียนมาจากยอดเขาเหลี่ยงว่างออกมา
เดิมทีนี่มิใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ในเมื่อยอดเขาซั่งเต๋อยืนกรานจะตรวจสอบ ยอดเขาเหลี่ยงว่างก็จำเป็นต้องมีคำตอบให้
ยอดเขาเหลี่ยงว่างแอบสอนเพลงกระบี่ให้ศิษย์ขั้นล้างกระบี่หรือว่ากู้ชิงแอบเรียนกระบี่ด้วยตัวเองกันแน่?
ใครก็รู้ว่าควรจะเลือกอย่างไร
กู้ชิงยอมรับว่าตนเองแอบเรียนเพลงกระบี่ ยอดเขาเหลี่ยงว่างอย่างมากก็มีความผิดเรื่องที่ไม่ดูแลลูกศิษย์ให้เข้มงวด
ดังนั้นกู้ชิงจึงกลายเป็นเหยื่อสังเวย เขาถูกขับออกจากยอดเขาเหลี่ยงว่าง กลับมายังธารสี่เจี้ยน ได้แต่ต้องรออีกสามปีค่อยเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนครั้งต่อไป
สำหรับการตกแต่งภายในถ้ำ กู้ชิงมิคุ้นเคย เนื่องเพราะแต่เล็กจนโตเขาเติบโตอยู่ในยอดเขาเหลี่ยงว่าง ต่อไปช่วงที่เป็นศิษย์ขั้นล้างกระบี่ เขาก็มิเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
เขาเดินออกมานอกถ้ำ มายังริมหน้าผา สายตามองไปยังธารสี่เจี้ยนอันใสกระจ่างที่อยู่ใต้เท้า นิ่งเงียบไปครู่จึงกล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้าได้สังเกตสายตาของศิษย์ขั้นล้างกระบี่เหล่านั้นหรือไม่?”
หลิ่วสือซุ่ยส่งเขาออกมาจากยอดเขาเหลี่ยงว่าง คอยช่วยเขาจัดการกับสัมภาระ กล่าวว่า “คนที่เสียงดังที่สุดคนนั้นชื่อเซวียหย่งเกอ ได้ยินว่าปรมาจารย์อาของเขาเป็นผู้อาวุโสอยู่ยอดเขาซื่อเยวี่ย”
กู้ชิงถอนใจ
หากเป็นเมื่อก่อน ไหนเลยเขาจะมองคนอย่างเซวียหย่งเกออยู่ในสายตา ต่อให้ปรมาจารย์อาของเจ้าเป็นผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยแล้วยังไง?
แต่ตอนนี้ถูกศิษย์เหล่านั้นเยาะเย้ยถากถาง เขาได้แต่ต้องอดกลั้นเอาไว้
เขาอยู่ที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างมาโดยตลอด ไม่เคยปรากฏตัวที่ธารสี่เจี้ยน ดังนั้นความรู้สึกที่ศิษย์ขั้นล้างกระบี่เหล่านั้นมีต่อเขาจึงมิค่อยดีเท่าไร
ตอนนี้ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่เขาได้ยินคำพูดเยาะเย้ยถากถางย่อมเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก
เขาพลันคิดถึงการประลองกระบี่ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงเส้นทางการบำเพ็ญเพียรของตนเมื่อวันก่อน แม้นอีกฝ่ายจะตีตัวเองไปหลายที แต่มิว่าจะเป็นสายตาหรือน้ำเสียง อีกฝ่ายก็คล้ายจะไม่ได้ดูถูกตัวเองหรือเยาะเย้ยตัวเองเลย ทั้งยังตอบข้อสงสัยของตนเองอย่างจริงจัง
“จิ๋งจิ่ว…เป็นคนอย่างไรกันแน่?” เขาถามหลิ่วสือซุ่ย
หลิ่วสือซุ่ยระมัดระวังตัวขึ้นมา สายตาจ้องมองดูเขามิได้กล่าวกระไร
กู้ชิงกล่าวว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้าเคยเป็นนายกับบ่าว?”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ศิษย์พี่หลี่ว์กับศิษย์พี่กู้เคยกล่าวว่า ทันทีที่ผ่านประตูเข้าสำนักมา เรื่องในโลกปุถุชนทั้งหมดต้องตัดขาด ข้าจึงจำเรื่องเหล่านั้นมิได้แล้ว”
กู้ชิงฟังออกว่าเขาไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ จึงมิได้ถามกระไรต่อ
หลิ่วสือซุ่ยถามว่า “เครื่องนอนพวกนี้จะให้ปูไหม?”
“ไม่ต้องแล้ว”
กู้ชิงมองดูเหล่าศิษย์ที่อยู่ข้างลำธาร นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมาว่า “อีกไม่นานข้าก็ไปจากที่นี่แล้ว”
หลิ่วสือซุ่ยตกใจเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
กู้ชิงกล่าวว่า “การบำเพ็ญพรตเน้นย้ำเรื่องการก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่น โดยเฉพาะสำนักชิงซานของเราที่ฝึกวิถีกระบี่ หากต้องรออยู่ที่นี่อีกสามปี…ข้าสงสัยว่าตัวเองจะสามารถบรรลุเข้าสู่สภาวะมิประจักษ์ได้ก่อนอายุยี่สิบหรือไม่ และเจ้าเองก็รู้ดี หากข้าทำไม่ได้ เช่นนั้นการบำเพ็ญพรตมันก็มิได้มีความหมายอะไรต่อข้ามากนัก”
เสียงของเขาราบเรียบ สีหน้าของเขาก็ราบเรียบ ทว่าหลิ่วสือซุ่ยฟังออกถึงความรู้สึกเจ็บปวดหลายอย่าง
“ศิษย์พี่กั้วกับศิษย์พี่กู้คาดหวังในตัวเจ้ามาก…”
หลิ่วสือซุ่ยมิอาจปลอบประโลมต่อไปได้
ยอดเขาเหลี่ยงว่างเป็นสถานที่ที่คาดหวังในตัวศิษย์สูงมาก และเงียบเหงาจนกระทั่งรู้สึกเย็นยะเยือก
ยิ่งไปกว่านั้นสถานะของกู้ชิงนั้นค่อนข้างพิเศษ หากเขาไม่สามารถทำได้ดีกว่าเพื่อนร่วมสำนักคนอื่น กู้หานไม่มีทางที่จะเอาทรัพยากรมาไว้ที่ตัวเขาแน่
ครั้นมองดูกู้ชิงที่มีสีหน้าโดดเดี่ยว หลิ่วสือซุ่ยพลันคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง หลังลังเลอยู่ครู่ จึงกล่าวว่า “เจ้าจะลองไปดูทางนั้นหน่อยไหม”
……………………………………………………………….