ข่าวงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนของชิงซานแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
ตามหลักแล้ว งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเป็นเพียงแค่เรื่องภายในของสำนักชิงซาน อีกทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องยังมีแค่ศิษย์ระดับล่างด้วย เดิมไม่ควรจะสร้างความตื่นตะลึงได้มากมายขนาดนี้ แต่งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนครั้งนี้มีเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดเข้าร่วมถึงสองคน อีกทั้งยังมีอัจฉริยะแห่งวิถีกระบี่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกคนหนึ่งด้วย ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ….สองในสามคนนี้เลือกที่จะสืบทอดกระบี่ที่ยอดเขาเสินม่อ อีกทั้งยังประสบความสำเร็จด้วย!
ยอดเขาเสินม่อปรากฏกายขึ้นอีกครา ข่าวนี้สร้างความตกตะลึงไปทั่วทุกจังหวัดในดินแดนทางใต้ ไม่นานก็แพร่ไปถึงเมืองเจาเกอ จังหวัดเฟิงเตาที่อยู่เหนือขึ้นไป กระทั่งเผ่าหมิงและแคว้นเสวี่ยก็ยังได้รับทราบข่าวนี้อย่างรวดเร็ว เพราะในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร สถานะของยอดเขาที่เก้าแห่งชิงซานนั้นมิธรรมดา เพราะที่นี่มีถ้ำที่พำนักของนักพรตจิ่งหยางอยู่
ในอดีตน้อยครั้งนักที่นักพรตจิ่งหยางจะปรากฏกายบนโลกภายนอก ทั้งถ่อมตนและลี้ลับ แต่ผู้ใดบ้างกล้ามองข้ามการมีอยู่ของเขา?
การที่สำนักชิงซานสามารถเป็นผู้นำแห่งพรรคฝ่ายธรรมะได้ในเวลานี้ ใครกล้าบอกว่ามิเกี่ยวข้องกับนักพรตจิ่งหยาง?
ยอดเขาเสินม่อถูกเปิดออกอีกครั้ง ใครจะรู้บ้างว่าศิษย์สืบทอดผู้นั้นจะกลายเป็นนักพรตจิ่งหยางคนที่สองหรือไม่?
แล้วจะไม่ให้สำนักบำเพ็ญพรตเหล่านั้นและเมืองเจาเกอวิตกกังวลได้อย่างไร
แล้วเผ่าหมิงและแคว้นเสวี่ยจะไม่กังวลใจได้อย่างไร
เช่นนี้แล้ว ชื่อเสียงของเจ้าล่าเยวี่ยก็จะยิ่งขจรขจายไปในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมากขึ้น
ในอดีตโลกแห่งการบำเพ็ญพรตต่างรู้ว่านางเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด แต่เนื่องจากอายุยังน้อย สุดท้ายยังต้องดูพัฒนาการในอนาคต แต่ตอนนี้นางสืบทอดกระบี่แห่งยอดเขาเสินม่อได้สำเร็จ พวกเขาย่อมต้องหันกลับมามองนางใหม่ ขณะเดียวกัน หลายคนต่างรู้แล้วว่าศิษย์ที่ตามนางขึ้นยอดเขาเสินม่อผู้นั้น คล้ายมีนามว่า…จิ๋งจิ่ว?
……
……
เหล่าลูกศิษย์ของชิงซานต่างใคร่รู้ว่าปรมาจารย์อาจิ่งหยางทิ้งสิ่งใดเอาไว้บนยอดเขาบ้าง
ในเมื่อปรมาจารย์มิได้นำกระบี่มิคำนึงติดตัวไปด้วย เช่นนั้นไม่แน่ว่าบนยอดเขาเสินม่ออาจจะมีของล้ำค่าอย่างอื่นอยู่อีกก็เป็นได้ อย่างเช่นเคล็ดกระบี่เก้ามรณา
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ เหล่าลูกศิษย์จะรู้สึกอิจฉาเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่ว
แน่นอน ความกล้าและความเด็ดเดี่ยวที่เจ้าล่าเยวี่ยแสดงออกมาในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนครั้งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกนับถือยิ่งนัก ดังนั้นคนที่พวกเขารู้สึกอิจฉาจริงๆ ก็คือจิ๋งจิ่ว
“หากมิเป็นเพราะศิษย์น้องเปิดทางให้ ไหนเลยมันจะขึ้นไปบนยอดเขาเสินม่อได้?”
กู้หานกล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “คืนนั้นพวกเราต่างก็เห็นแล้ว วิธีของมันไร้ยางอายแค่ไหน ข้าว่า เราควรจะยกเลิกสิทธิ์สืบทอดของมันเสีย”
กั้วหนานซานเข้าใจถึงความรู้สึกของเขา เพียงแต่ถ้าหากเจ้าล่าเยวี่ยมิว่ากระไร ใครจะไปใช้เหตุผลนี้ยกเลิกสิทธิ์ของจิ๋งจิ่วได้
หลินอู๋จือมองกู้หาน คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “หรือตอนนี้เจ้ายังมิรู้ตัวว่าเจ้ามองจิ๋งจิ่วผิดมาโดยตลอด?”
“ไม่ต้องพูดแล้ว”
ผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งกล่าวกับหลินอู๋จือว่า “แม้นเจ้าจะเป็นแรกที่ค้นพบพรสวรรค์ของจิ๋งจิ่ว แต่ก็อย่าได้ปกป้องเขาจนเกินไปนัก เพราะเจ้ากับกู้หานต่างก็เป็นศิษย์สายเดียวกันของยอดเขาเทียนกวง”
หลินอู๋จือมิได้กล่าวกระไรอีก
ผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งกล่าวกับหลิ่วสือซุ่ยที่อยู่ข้างหลังว่า “ประเดี๋ยวเจ้าไปที่ลานต้อนรับ แล้วรอส่งแขกกลับ จากนั้นให้คนไปส่งเจ้ากลับบ้าน”
……
……
ในวันที่สองของงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน เหล่าลูกศิษย์ใหม่มารวมกันส่งอาคันตุกะของสำนักต่างๆ ที่มาชมงาน นี่คือมารยาทของสำนักชิงซาน แล้วก็เป็นธรรมเนียม
แน่นอน สำนักชิงซานเองก็จะส่งอาจารย์ผู้อาวุโสที่มีสถานะเท่าเทียมกับแขกอาคันตุกะมาด้วย ส่วนลูกศิษย์อย่างกั้วหนานซาน หลินอู๋จือ กู้หานเองก็ปรากฏตัวด้วยเช่นกัน
รอบๆ ลานต้อนรับที่อยู่ด้านหน้ายอดเขาซีไหลห้อมล้อมไว้ด้วยต้นสนจำนวนนับไม่ถ้วน ดูคล้ายเปลวเพลิงสีเขียว น่าดูยิ่งนัก
ศิษย์สืบทอดกระบี่ใหม่ยี่สิบกว่าคนยืนอยู่บนลานต้อนรับ เตรียมส่งอาคันตุกะออกจากสำนัก
จิ๋งจิ่ว เจ้าล่าเยวี่ย หลิ่วสือซุ่ยยืนอยู่ใต้เงาไม้ รอบกายไร้ผู้คน
มิใช่จงใจกีดกัน และมิใช่เหตุผลอื่น หากแต่เป็นภาพที่เกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ
ในสายตาของเหล่าศิษย์สืบทอดใหม่ ทั้งสามคนเดิมทีก็แตกต่างจากพวกเขาอยู่แล้ว
โดยเฉพาะสายตาที่พวกเขามองเจ้าล่าเยวี่ย ยิ่งมีความเคารพกริ่งเกรงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ไม่มีผู้ใดรู้ถึงสถานการณ์อย่างละเอียดที่เกิดขึ้นบนยอดเขาเสินม่อเมื่อคืนนี้ ทุกคนต่างคิดว่าเป็นฝีมือของเจ้าล่าเยวี่ย เวลานี้ยังคงมองเห็นบาดแผลที่อยู่บนใบหน้าของนางได้อยู่ พอจะจินตนาการได้เลยว่าระหว่างทางนางต้องพบเจอกับอันตรายอย่างไรบ้าง ส่วนจิ๋งจิ่ว…ทั่วทั้งร่างกายมองไม่เห็นบาดแผลเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับคนที่มิได้เป็นอะไรเลย แล้วจะไปดูเหมือนคนที่ออกแรงได้อย่างไร
หลิ่วสือซุ่ยคิดถามจิ๋งจิ่วว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็สะกดความใคร่รู้เอาไว้
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ข้างเจ้าล่าเยวี่ย ทั้งรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมาเหล่านั้น ในใจครุ่นคิดหากเจ้าล่าเยวี่ยมิแก้เปียเล็กๆ นั่นออก สายตาที่มองมาเหล่านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่?
เหล่าอาคันตุกะทยอยลงมาจากยอดเขาซีไหล
หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังแห่งวัดกั่วเฉิงพูดคุยกับเจ้ายอดเขาซีไหลอยู่ภายในอาราม องค์ชายแห่งเมืองเจาเกอสองคนกำลังพูดคุยถึงเรื่องเก่าๆ กับผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้ง กั้วหนานซานคอยยืนฟังอยู่ข้างๆ
เดิมสถานการณ์เช่นนี้จะใช้สำหรับแลกเปลี่ยนความคิดความรู้สึก เหล่าศิษย์หนุ่มสาวของแต่ละสำนักย่อมต้องมีการพูดคุยกัน ลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงมานานอย่างหลินอู๋จือและกู้หานรู้จักกับลูกศิษย์หลายๆ คนของแต่ละสำนัก การพูดคุยย่อมต้องเป็นไปอย่างธรรมชาติ แต่ลูกศิษย์ใหม่อย่างฉี่หยวนเหลียง ซือคงอี้หมินต่างมีอาการประหม่า เวลาพูดจาจึงติดขัดเล็กน้อย
ลูกศิษย์หญิงของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยยังคงยืนอยู่กับเหล่าศิษย์หญิงของยอดเขาชิงหรงเหมือนอย่างปกติ
จิ๋งจิ่วคิดถึงศิษย์น้องเหลียนขึ้นมา จึ่งเหลือบมองไปทางนั้น คิดไม่ถึงว่าจะถูกศิษย์หญิงเหล่านั้นมองเห็น บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่สดใสปานระฆังเงินปรากฏขึ้นมา
สาวน้อยแห่งสำนักเสวียนหลิงเดินกระโดกกระเดกมาหาหลิ่วสือซุ่ย ก่อนจะกล่าวกับเขาว่า “วันหน้าไปเยือนสำนักข้าบ้างนะ”
หลิ่วสือซุ่ยประหม่าเล็กน้อย มิรู้ควรกล่าวกระไร จึงพยักหน้าตอบรับไป
สาวน้อยคนนั้นเดินมาหาเจ้าล่าเยวี่ย ก่อนจะกล่าวกับนางว่า “พี่สาวท่านเก่งจังเลย วันหน้าไปเยือนสำนักข้าบ้างนะ ข้าจะหากระดิ่งดีๆ เอาไว้ให้ท่าน”
จิ๋งจิ่วสังเกตเห็นกระดิ่งเงินคู่หนึ่งที่ห้อยอยู่ที่ติ่งหูของสาวน้อย ในใจครุ่นคิดอายุเพียงเท่านี้กลับเป็นถึงทูตกระดิ่งเงิน มิรู้ว่านางเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านไหนของสำนักเสวียนหลิง เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในใจเขาครุ่นคิดภายหน้าหากตนเองจะออกไปท่องโลกภายนอก ก็น่าจะทำกระดิ่งเงินไว้สักคู่หนึ่ง
กระดิ่งเงินของสำนักเสวียนหลิงมีชื่อเสียงอย่างมากในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ไม่ใช่สิ่งที่อาวุธวิเศษธรรมดาจะมาเปรียบได้
เจ้าล่าเยวี่ยรู้ดีในจุดนี้ ครั้นเห็นสาวน้อยกล่าวอย่างจริงใจ นางจึงกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะหากระบี่ดีๆ ให้เจ้าสักเล่ม”
สาวน้อยสำนักเสวียนหลิงได้ยินเช่นนี้ ดวงตาพลันเป็นประกาย กล่าวว่า “ตกลงตามนี้”
จากนั้นนางมองไปทางจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าก็อยากได้กระดิ่งเหมือนกัน”
สาวน้อยตกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “พวกเขาบอกเจ้าไร้ยางอาย ดูเหมือนจะเป็นจริงอย่างที่ว่า”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเพียงแต่บอกความต้องการ เจ้าจะปฏิเสธก็ได้”
สาวน้อยครุ่นคิด กล่าวว่า “มีเหตุผล ข้าขอลูกกวาดจากท่านแม่ ท่านสามารถปฏิเสธไม่ให้ข้ากินได้ แต่นี่ไม่อาจว่าข้าไร้ยางอายได้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “การเปรียบเปรยนี่เหมาะสมยิ่งนัก”
เจ้าล่าเยวี่ยกับหลิ่วสือซุ่ยฟังอยู่ข้างๆ ในใจครุ่นคิดเหมาะสมตรงไหน…นางเป็นแค่สาวน้อย ไม่ใช่แม่เจ้าเสียหน่อย
สาวน้อยเอียงศีรษะมองดูจิ๋งจิ่ว กล่าวว่า “กระดิ่งเงินข้าสามารถให้เจ้าได้ แต่ห้ามเจ้าไปสำนักของข้า”
จิ๋งจิ่วถาม “เพราะเหตุใด?”
สาวน้อยกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้ารูปงามเกินไป ข้ากังวลว่าท่านแม่อาจคิดอยากจะแต่งงานให้แก่เจ้า”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “เป็นเหตุผลที่ดี”
สาวน้อยสำนักเสวียนหลิงเดินกระโดกกระเดกจากไป ได้ยินนางบอกว่านางกับอาจารย์อาเตรียมจะยืมเรือแห่งความว่างจากต้าเจ๋อล่องกลับไป
หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังของวัดกั่วเฉิงเดินออกมา พลางเหลือบมองจิ๋งจิ่วจากไกลๆ มิรู้ว่าเขาพูดคุยอะไรกับเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลตอนอยู่ในอาราม
องค์ชายสองคนจากเมืองเจาเกอเดินเข้ามาหาเจ้าล่าเยวี่ย ก่อนจะกล่าวกับนางอย่างเอ็นดูคล้ายผู้อาวุโส “มีจดหมายอะไรจะฝากกลับไปไหม?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ไม่ต้อง”
ลูกศิษย์ที่สืบทอดกระบี่สำเร็จและกลายเป็นศิษย์สายตรงของชิงซาน จะสามารถลากลับไปเยี่ยมบ้านได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
นี่คือเรื่องที่อาจารย์หลี่ว์รับปากหลิ่วสือซุ่ยเอาไว้
เจ้าล่าเยวี่ยกระทั่งจดหมายก็มิได้เขียน นางย่อมไม่มีทางกลับไปเมืองเจาเกอแน่นอน ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่านางมุ่งมั่นสู่ธรรมวิถี องค์ชายสองคนนั้นก็มิได้แปลกใจอะไร
หลิ่วสือซุ่ยเตรียมกลับหมู่บ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ เขามองดูจิ๋งจิ่ว ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะถามว่า “ท่านอยากได้อะไรหรือไม่?”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “ตัดไม้ไผ่กลับมาซักสองสามต้น อย่าเอาที่อยู่ข้างบ่อน้ำ มันชื้นเกินไป เอาที่อยู่หลังเขา หากสามารถย้ายมาปลูกที่นี่ได้ก็จะยิ่งดี”
เจ้าล่าเยวี่ยเหลือบมองเขา ภายในใจครุ่นคิดนี่คิดจะทำอะไรอีก?
หลิ่วสือซุ่ยถาม “ขาเก้าอี้เสียหรือ?”
จิ๋งจิ่วพยักหน้า กล่าวว่า “พนักพิงก็ทะลุเป็นรูแล้ว”
…………………………………………………………………