มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 48 ที่แท้เจ้าก็อยู่ตรงนี้มาตลอด

เจ้าล่าเยวี่ยมีน้ำโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว

จิ๋งจิ่วรีบกล่าว “ข้าคิดเรื่องใหม่ขึ้นมาได้อีกเรื่อง พูดอีกอย่างคือเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องจากเรื่องเมื่อครู่นี้ จะฟังหรือไม่?”

เจ้าล่าเยวี่ยเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “เซียนอาวุโสคนนั้นอีกงั้นหรือ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ใช่ เมื่อครู่ตอนที่เจ้าสลบไป เซียนอาวุโสผู้นั้นกลับมาอีก เขารู้ว่าเจ้ากำลังหากระบี่เล่มหนึ่งอยู่ ก็เลยบอกกับข้า”

เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงความลับที่อยู่บนตัวของชายหนุ่มผู้นี้ อีกทั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเหล่านั้น จึงรีบกล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “เจ้ารู้ว่ากระบี่เล่มนั้นอยู่ที่ไหนอย่างนั้นหรือ?”

จิ๋งจิ่วมองดูนาง ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “เขาบอกว่า…ความจริงแล้วกระบี่เล่มนั้นอยู่บนมือของเจ้ามาโดยตลอด”

เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกไม่เข้าใจ นางมองไปบนสองมือของตน ทันใดนั้นพลันสังเกตเห็นสร้อยเงินที่อยู่บนข้อมือเส้นนั้น

หรือว่า…เขาหมายถึงเจ้านี่?

อารมณ์ของนางสั่นไหว สร้อยเงินลอยขึ้นมาอย่างไร้ซุ่มเสียง ก่อนจะกลายเป็นโซ่กระบี่สีเงินเส้นหนึ่ง ลอยค้างอยู่กลางอากาศ

จิ๋งจิ่วยื่นมือออกมา

เจ้าล่าเยวี่ยมองดูเขาเงียบๆ ก่อนจะเอาโซ่กระบี่ส่งให้เขา

มือซ้ายของจิ๋งจิ่วกำด้ามกระบี่ มือขวากำโซ่กระบี่ไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนทั้งสองมือลงไปด้านล่าง

เสียงแตกเปรี๊ยะปร๊ะดังถี่ ช่องว่างระหว่างฝ่ามือของเขากับโซ่กระบี่มีประกายไฟสีเงินกระเด็นออกมา

เศษชิ้นส่วนสีเงินกระเด็นร่วงลงมา ผิวโลหะของโซ่กระบี่หลุดลอก คล้ายกับงูลอกคราบก็มิปาน ก่อนจะเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตัวกระบี่ที่อยู่ด้านใน

สีของกระบี่เล่มนั้นแดงฉาน คล้ายปะการัง แล้วก็คล้ายโลหิตสดๆ

เจ้าล่าเยวี่ยมองดูกระบี่เล่มนี้ ปากกล่าวงึมงำขึ้นมา “งดงามจริงๆ…นี่คือกระบี่มิคำนึงอย่างนั้นหรือ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง นี่คือกระบี่มิคำนึง”

เขายื่นกระบี่มาตรงหน้าเจ้าล่าเยวี่ย

เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายไม่ได้รับกระบี่มา

“กระบี่เล่มนี้เจ้าเป็นคนพบ เช่นนั้นก็ย่อมต้องเป็นของเจ้า”

กระบี่มิคำนึงมิได้เป็นเพียงกระบี่ธรรมดาเล่มหนึ่ง หากแต่หมายถึงการสืบทอดของยอดเขาเสินม่อ เป็นมรดกที่จิ่งหยางส่งต่อให้ศิษย์

เจ้าล่าเยวี่ยหยิ่งทะนงยิ่งนัก นางไม่ยินยอมรับของขวัญเช่นนี้ สองตามองดูจิ๋งจิ่วพลางถาม “เจ้าเป็นศิษย์ของปรมาจารย์อา? หรือเจ้าเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของปรมาจารย์อา?”

จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “ถ้าว่ากันในแง่หนึ่งแล้ว ทั้งสองข้อล้วนแต่ใช่ทั้งสิ้น”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เช่นนี้กระบี่เล่มนี้ก็ยิ่งสมควรเป็นของเจ้า”

จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าเคยบอกว่า เขาเลือกเจ้าเป็นศิษย์สืบทอดของยอดเขาเสินม่อ”

“ข้ามิเคยพบเจอปรมาจารย์อา ข้ารู้เพียงว่าในอดีตตอนที่เขาเดินทางผ่านเมืองเจาเกอ เขาได้เจอกับท่านแม่ของข้า ตอนนั้นข้าซึ่งยังอยู่ในท้องของท่านแม่ถูกเขาชี้ตัวให้เป็นศิษย์สืบทอดกระบี่ สำนักชิงซานส่งอาจารย์มาคอยปกป้องข้า ดังนั้นยังไม่ทันจะได้ลืมตาดูโลก ข้าก็ถูกลิขิตให้เป็นคุณหนูในตระกูลขุนนางที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เพื่อประโยชน์ของตระกูล แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงทางสังคมที่น่าเบื่อหน่ายเหล่านั้น ข้าไม่ต้องกังวลว่าจะถูกส่งตัวเข้าวังหลวง ชีวิตของข้าเป็นชีวิตที่ถูกอวยพรเอาไว้”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ความงดงามและการถูกอิจฉาริษยาทั้งหมดล้วนแต่เป็นปรมาจารย์อาเป็นผู้มอบให้ข้า แต่ว่า…ข้าไม่เคยพบเจอเขา ข้าไม่สามารถค้นพบถึงความลับของกระบี่เล่มนี้ ข้าไม่มีความสามารถที่จะขึ้นยอดเขาเสินม่อ เช่นนั้นแล้วข้าจะไปมีคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของเขาได้อย่างไรกัน?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “บางทีเขาอาจจะมิได้คิดเช่นนี้”

เจ้าล่าเยวี่ยเงยหน้ามองเขา

จิ๋งจิ่วกล่าว “ความสามารถของเจ้าและความปรารถนาของเจ้ามิใช้สิ่งสำคัญ เพราะความปรารถนาของเขาชัดเจนอย่างยิ่ง เจ้าสวมใส่สร้อยกระบี่อันนี้ตั้งแต่เกิดมา นั่นแสดงว่าเขาตั้งใจให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดของยอดเขาเสินม่อตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว มิเช่นนั้นเขาจะเอากระบี่มิคำนึงไว้ข้างกายเจ้าทำไม?”

เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ นางเหลือบมองดูจิ๋งจิ่วเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไรอีก จากนั้นเดินเข้าไปยังแท่นกระบี่ที่อยู่ในส่วนลึกของถ้ำ ก่อนจะเอากระบี่มิคำนึงเสียบเข้าไปด้วยสีหน้าจริงจัง

……

……

ราตรีอันยาวนานผ่านพ้นไป แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องสว่างปลายยอดเขาอันสูงเด่น ด้านล่างยอดเขายังคงมืดครึ้มอย่างมาก

ผู้คนที่อยู่ด้านล่างยอดเขาสลายตัวไปแล้วไม่น้อย ในบรรดาอาคันตุกะที่มาร่วมงาน สมณะแห่งวัดกั่วเฉิงรูปนั้นและองค์ชายจากเมืองเจาเกอสองคนนั้นยังอยู่ สาวน้อยจากสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นยังคงยืนหยัดที่จะอยู่ ส่วนศิษย์แห่งยอดเขาทั้งเก้าอย่างกั้วหนานซาน หลินอู๋จือ กู้หาน ย่อมต้องอยู่รอจนถึงท้ายที่สุด

เดิมทุกคนก็มิได้มีความมั่นใจว่าเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วจะสามารถขึ้นไปถึงยอดเขาได้อยู่แล้ว เวลาหนึ่งคืนผ่านพ้นไป กระทั่งความหวังสุดท้ายก็ถูกทำลายลง เพียงแต่ทุกคนไม่เข้าใจ เหตุใดจนป่านนี้ท่านเจ้าสำนักถึงยังไม่ลงมือช่วยพวกเขาออกมาอีก พวกเขายังสบายดีอยู่หรือเปล่า? พบเจอกับอันตรายอะไรหรือเปล่า?

ทันใดนั้น ภายในยอดเขาเสินม่อพลันมีสายลมอันรุนแรงพัดขึ้นมา

ลมแรงพัดกระโชก ต้นไม้ในป่าโยกไหวไปมาไม่หยุด เศษใบไม้ที่กองเป็นชั้นหนาๆ อยู่ด้านล่างต้นไม้ฟุ้งลอยขึ้นมาตามลม ก่อนจะเริงระบำอย่างบ้าคลั่งเต็มท้องฟ้า ภาพนี้ดูแล้วช่างงดงามตระการตายิ่งนัก

กั้วหนานซานหวั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย เหตุใดจึงได้ยินเสียงในยอดเขาเสินม่อ?

ยังไม่ทันที่เขาจะได้ครุ่นคิดอะไร พลันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีก

ลมพายุหอบเอาเศษไปใบไม้ปลิวลอยขึ้นไปจนถึงด้านบนของยอดเขาเสินม่อ จนในที่สุดก็สัมผัสกับหน้าผาที่ถูกแสงแดดยามเช้าส่องสว่าง

ราวกับแสงแดดยามเช้าได้จุดไฟให้เศษใบไม้เหล่านั้นลุกไหม้ขึ้นมา บริเวณหน้าผามีเปลวไฟขนาดใหญ่ลุกโชน ไร้ซึ่งซุ่มเสียง แต่กลับโหมไหม้อย่างคุ้มคลั่ง

นั่นหาใช่เปลวไฟจริงๆ ไม่ มันแผ่กระจายแสงสว่างอันเจิดจ้าออกมา แต่กลับไร้ซึ่งความร้อนใดๆ

หน้าผาและป่าของยอดเขาเสินม่อถูกส่องสว่าง เพียงพริบตาก็ดูคล้ายเวลากลางวัน

ยังมิทันจบสิ้น หน้าผาและป่าเหล่านั้นเริ่มเปล่งแสงออกมาจากตัวเอง แสงสว่างจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระจายออกมาจากด้านในของมัน

ทุกคนมองเห็นข่ายพลังกระบี่ที่แบ่งแยกพื้นที่ได้อย่างชัดเจน ยอดเขาเสินม่อคล้ายดั่งผลึกแก้วขนาดยักษ์ที่ปริร้าวแต่ยังมิแตกออก ภายในแบ่งออกเป็นหลายหน้าจำนวนนับไม่ถ้วน ลำแสงถูกหักเห ดูงดงามจนยากจะบรรยายได้

ลำแสงยิ่งหนาแน่นขึ้นทุกขณะ ยิ่งส่องสว่างขึ้นทุกขณะ เส้นแสงที่แบ่งแยกพื้นที่ในยอดเขาเหล่านั้นดูเลือนรางขึ้นเรื่อยๆ จนถึงช่วงเวลาหนึ่ง ในฟ้าดินพลันมีเสียงเบาๆ ดังขึ้น

เหมือนกับเปลวไฟเมื่อครู่ เสียงนี้หาใช่เสียงจริงๆ ไม่ ทว่าในใจของทุกคนกลับรับรู้ถึงมันได้อย่างชัดเจน

ไม่ว่าจะเป็นจิตจำแนกแห่งกระบี่ ใจแห่งฌาน หรือทะเลแห่งการรับรู้ ก็ล้วนแต่ได้ยินเสียงนี้

นี่คือเสียงกระบี่

ดั่งแจกันเงินที่ปริแตก

ดั่งลูกประคำที่ตกลงไปในถาด

ดังชัดเจนยิ่งนัก

……

……

สายลมพัดอ่อนโยน แสงยามเช้าค่อยๆ แผ่กระจาย

เปลวไฟตรงหน้าผาได้หายไปแล้ว เสียงกระบี่เสียงนั้นก็ลอยหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ยอดเขาเสินม่อตั้งตระหง่านอยู่ใต้นภา ยังคงสงบเงียบ น่าเกรงขาม

ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ภูเขาก็ยังคงเป็นภูเขาลูกนั้นอยู่

แต่ทุกคนต่างรู้ ภูเขาลูกนี้ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว

ข่ายพลังกระบี่ปิดกั้นถูกยกเลิก ยอดเขาเสินม่อปรากฏขึ้นในโลกมนุษย์อีกครา

ยอดเขาที่เก้าของชิงซานสืบทอดต่อไป!

เมื่อเห็นยอดเขาโดดเดี่ยวที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า กั้วหนานซานนิ่งเงียบมิกล่าวกระไร หลินอู๋จือสีหน้าทั้งประหลาดใจและยินดี กู้หานผิดหวังพูดอะไรไม่ออก

สาวน้อยแห่งสำนักเสวียนหลิงขยี้ดวงตาที่สะลึมสะลือ กล่าวถามว่า “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”

ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยที่ดำเนินงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ขอแสดงความยินดีกับอาจารย์อาคนเล็กที่สายสืบทอดยังมิสิ้นสุด”

อีกฟากหนึ่งมีเสียงเจ็บปวดของเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงดังลอยมา

“คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเขาลูกนี้เร็วขนาดนี้”

……………………………………………………………………

มรรคาสู่สวรรค์

มรรคาสู่สวรรค์

ข้าคือกระบี่ พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่ยอมเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่อยากเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าว? ไม่เดิน!!! ——————- ผู้เป็นนายคือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาและใบหูที่กางดูน่ารัก ผู้เป็นบ่าวคือเด็กชายใสซื่อผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินทางมายังสำนักชิงซานซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าในระหว่างที่อยู่ในสำนัก ผู้เป็นนายกลับเอาแต่นอน ในสายตาคนอื่นเขาคือคนที่เกียจคร้านอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับขยันฝึกฝนจนบรรลุสภาวะขั้นต้นในเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ สาเหตุที่ผู้เป็นบ่าวสามารถบรรลุสภาวะได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเคล็ดการหายใจที่ผู้เป็นนายเคยสั่งสอนให้… บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้คือใครกันแน่ ไฉนจึงเอาแต่นอนเกียจคร้านทั้งวันเช่นนี้?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset