หลังผ่านไปครู่ใหญ่ จิ๋งจิ่วจึงดึงสายตากลับมา พร้อมเงยหน้าขึ้น
และในเวลานี้เอง เขาก็ได้ยินคำพูดสุดท้ายในชั้นเรียนนี้ของหลินอู๋จือพอดี
“การจะทำเช่นนี้ได้ อันดับแรกพวกเจ้าต้องหากระบี่ที่เป็นของตนให้เจอเสียก่อน”
……
……
หลินอู๋จือพาศิษย์สิบกว่าคนออกมาจากศาลาสี่เจี้ยน เดินเลียบตามลำธารสี่เจี้ยนขึ้นไป ไม่นานก็มาถึงหน้ายอดเขาแห่งหนึ่ง
เมื่อเทียบกับยอดเขาแห่งอื่นแล้ว พืชพรรณต้นไม้บนยอดเขาแห่งนี้ดูน้อยยิ่งนัก และก็ไม่มีป่าที่หนาทึบด้วย มองทอดออกไปจะเห็นแต่เพียงผาหินขรุขระ ดูรกร้างอย่างยิ่ง
บริเวณหน้าผาด้านล่างยอดเขามีโพรงเล็กๆ อยู่มากมาย ปากโพรงมีขนาดเล็ก ขอบของมันราบเรียบอย่างยิ่ง คล้ายดั่งถูกอะไรบางอย่างแทงออกมาก็มิปาน
ยอดเขาครึ่งหนึ่งถูกเมฆหนาทึบบดบังเอาไว้ แทบจะไม่สามารถมองเห็นได้
ที่นี่คือยอดเขาที่สี่ของชิงซาน ยอดเขาอวิ๋นสิง
แต่ศิษย์ของชิงซานนิยมขานเรียกมันว่ายอดเขากระบี่ เนื่องเพราะในยอดเขาแห่งนี้แอบซ่อนกระบี่เอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน รอวันที่นายของพวกมันมาพบเข้า
ยอดเขาอวิ๋นสิงมีความพิเศษอย่างมาก ตลอดทั้งปีเมฆหมอกไม่กระจายไปไหน ยอดเขาเปียกชื้น อีกทั้งบริเวณหน้าผาแอบซ่อนเจตน์กระบี่เอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จึงลำบากอย่างยิ่ง ดังนั้นเหล่าศิษย์ของยอดเขาอวิ๋นสิงจึงฝึกฝนและอยู่อาศัยกันที่ด้านล่างยอดเขา ส่วนเจ้ายอดเขานั้นปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ยอดเขาเทียนกวง
ในตอนที่บุคคลสำคัญของชิงซานกำลังจะสิ้นอายุขัย พวกเขามักจะมายังยอดเขาแห่งนี้ และคืนกระบี่บินของตนสู่ยอดเขา
แต่แน่นอน หากบุคคลสำคัญผู้นั้นปรารถนาจะฝังกระบี่บินไปพร้อมกับตน ก็ไม่มีใครที่จะคัดค้านเขา
ทว่านับแต่ก่อตั้งสำนักชิงซานขึ้นมา ต่อให้จำนวนของบุคคลสำคัญที่คืนกระบี่สู่ยอดเขาจะมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะมากไปกว่าจำนวนกระบี่ที่ศิษย์รุ่นหลังเอาไปได้
เหตุใดยอดเขาแห่งนี้จึงมีกระบี่เยอะเพียงนี้? กระบี่เหล่านี้แรกสุดแล้วมาจากที่ไหน? ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้
มีคนบอกว่ายอดเขากระบี่แห่งนี้คือเตาหลอมกระบี่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาตามธรรมชาติ มีคนกล่าวว่ายอดเขาแห่งนี้คือสุสานขนาดใหญ่ที่เกิดจากซากศพของผู้แข็งแกร่งของอารยธรรมยุคก่อนที่ทำสงครามกันแล้วร่วงตกลงมาทับถมกัน แต่หลายปีมานี้สำนักชิงซานได้ทำการสำรวจดูอย่างละเอียด ก็หาได้พบหลักฐานที่เกี่ยวข้องไม่
เหล่าศิษย์ยืนอยู่ตรงตีนเขา สายตามองขึ้นไปยังยอดเขาที่อยู่ในก้อนเมฆ หูฟังหลินอู๋จือบรรยาย น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นขึ้นมา ศิษย์บางคนร่ำไห้ออกมา
พวกเขาย่อมมิใช่เพราะว่าหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต และมิได้เป็นเพราะซาบซึ้งในสิ่งที่ปรมาจารย์รุ่นก่อนๆ ทำ หากแต่เป็นเพราะถูกเจตน์กระบี่แยงดวงตา
ในยอดเขาแห่งนี้มิรู้มีกระบี่แอบซ่อนอยู่กี่พันกี่หมื่นเล่ม เมื่อเจตน์กระบี่รวมตัวกัน แม้นจะอยู่ห่างออกมาไกลขนาดนี้ มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาซึ่งเป็นศิษย์ที่เพิ่งจะเข้ามาในสำนักได้ไม่นานจะทนรับได้
จะขึ้นยอดเขากระบี่แห่งนี้อย่างไร? หรือจะให้ค้นหาด้านล่างหน้าผาดูว่ามีกระบี่หรือไม่?
ศิษย์บางคนแอบครุ่นคิด
หลินอู๋จือรู้ว่าเหล่าศิษย์กำลังคิดอันใดอยู่ เขาเองก็มิได้โกรธ หากแต่ยิ้มพลางกล่าวว่า “สิ่งที่พวกเจ้าคิดได้ ศิษย์รุ่นก่อนๆ เองก็ย่อมคิดได้เช่นกัน ข้าจะบอกพวกเจ้า โพรงที่อยู่บนหน้าผาด้านล่างยอดเขาเหล่านี้คือโพรงกระบี่ มิรู้ว่าถูกค้นหามาแล้วกี่ปี หากพวกเจ้าสามารถหากระบี่ออกมาได้ นั่นก็ถือเป็นความสามารถของพวกเจ้า โชคเองก็ถือเป็นความสามารถเหมือนกันใช่หรือเปล่า?”
เหล่าศิษย์กล่าวอะไรไม่ออก ในใจครุ่นคิดเพียงแค่ยืนอยู่ด้านล่างภูเขายังยากลำบากขนาดนี้ หรือพวกเขาต้องปีนขึ้นไปยังด้านบนยอดเขากระบี่จริงๆ หรืออาจจะต้องขึ้นไปถึงยอดเขา?
หลินอู๋จือกล่าวเตือนว่า “อย่าลืมเสียล่ะ ยิ่งขึ้นไปสูง กระบี่บินก็จะยิ่งวิเศษ”
มีศิษย์คนหนึ่งพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กล่าวถามว่า “ได้ยินว่าศิษย์พี่เจ้าฝึกกระบี่อยู่บนยอดเขากระบี่?”
หลินอู๋จือพยักหน้ากล่าวว่า “มิผิด ในเวลานี้นางก็น่าจะอยู่ในก้อนเมฆ”
เหล่าศิษย์ตกตะลึง พากันพูดคุยซุบซิบกัน
เพียงแค่พวกเขายืนอยู่ตรงตีนเขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกกดดันที่แผ่ออกมาจากในหมู่เมฆที่อยู่บนยอดเขากระบี่แล้ว หากต้องเดินเข้าไปในหมู่เมฆนั้น มันจะเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวแบบไหนกัน?
เพราะกระทั่งอาจารย์ของยอดเขาอวิ๋นสิงก็ยังไม่อยากจะอยู่บนยอดเขานานนัก แต่เจ้าล่าเยวี่ยกลับฝึกฝนอยู่บนยอดเขา?
“เอากระบี่บนยอดเขากระบี่ ก็ถือเป็นการทดสอบความมุ่งมั่นและปัญญาของพวกเจ้า”
ปัญญาที่กล่าวไว้ในประโยคนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งอย่างเห็นได้ชัด ทว่าหลินอู๋จือมิได้กล่าวอธิบายอะไรมากนัก
“จิตใจของเจ้าล่าเยวี่ยมั่นคงแน่วแน่ เป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์รุ่นที่สาม พวกเจ้าต้องเรียนรู้จากนาง”
กล่าวจบประโยคนี้ เขาก็เหลือบมองไปทางจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วเข้าใจเจตนาของเขา มิได้หมุนตัวหลบหลีก และมิได้ตอบอะไรกลับไป หากแต่มองไปบนหมู่เมฆที่อยู่บนยอดเขา ในใจครุ่นคิด “เจตน์กระบี่หลอมกายา?”
เจตน์กระบี่หลอมกายาเป็นวิชาที่ยากลำบากและอันตรายอย่างยิ่ง โดยปกติแล้ว นอกจากผู้ฝึกกระบี่ที่ใกล้สิ้นอายุขัยแล้ว ไม่มีผู้ใดจะใช้วิชานี้ เนื่องเพราะมันอันตรายเกินไป
เจ้าล่าเยวี่ยคือคนที่สำนักชิงซานตั้งใจเลี้ยงดูฟูมฟัก หนทางข้างหน้าสดใส ยิ่งกว่านั้นยังอายุเพียงสิบปี ยังมีเวลาอีกมากในการบำเพ็ญเพียร แต่นางกลับตัดสินใจก้าวเดินบนเส้นทางที่แสนยากลำบากและอันตรายนี้
นี่ทำให้จิ๋งจิ่วเกิดความรู้สึกชื่นชมนางขึ้นมาเล็กน้อย
ขณะที่หลินอู๋จือกล่าวบรรยาย ผู้ดูแลของยอดเขาอวิ๋นสิงสามสี่คนก้าวเดินออกมาจากในหอตรงตีนเขา ก่อนจะเริ่มลงบันทึกชื่อของจิ๋งจิ่วและคนอื่น ขณะเดียวกันก็แจกป้ายกระบี่
พวกเขาบอกกล่าวเหล่าศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาในสำนักอย่างใจเย็นว่าป้ายกระบี่ใช้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าตนไม่ไหวแล้ว หากพบเจออันตรายควรทำอย่างไร
ลูกศิษย์เหล่านั้นตกตะลึง เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ศิษย์บางคนอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “หรือวันนี้ต้องขึ้นเขาไปเอากระบี่?”
วันนี้คือวันแรกที่ศิษย์หลายๆ คนเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนัก รวมทั้งจิ๋งจิ่วด้วย แต่ผลปรากฏว่าต้องมาเจอการท้าทายเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?
หลินอู๋จือมองดูพวกเขา ยิ้มพลางกล่าวว่า “หรือพวกเจ้าเพิ่งรู้ว่าการขึ้นเขาไปเอากระบี่นั้นเป็นบทเรียนแรกของสำนักชิงซานเรา?”
……
……
ทันใดนั้นเอง ผู้ดูแลของยอดเขาอวิ๋นสิงที่กำลังทำการบันทึกชื่อแซ่เหล่านั้นพลันหยุดความเคลื่อนไหว สายตามองไปยังที่ๆ หนึ่ง
ครั้นเมื่อเห็นคนผู้นั้นเดินมาทางยอดเขากระบี่ เหล่าผู้ดูแลสีหน้าคร่ำเคร่ง จากนั้นรีบถอยไปยืนด้านข้าง โค้งตัวคำนับ ดูเคารพนอบน้อมยิ่ง
เหล่าลูกศิษย์ตกใจเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าคนสำคัญคนไหนมาเยือน จึงมองตามไปตามทางที่เดินเข้ามา
คนผู้นั้นคือผู้อาวุโสสวมชุดสีดำคนหนึ่ง ผมขาวเต็มศีรษะ ใบหน้าเหี่ยวย่น มิรู้อายุเท่าไร แล้วก็ดูไม่ออกว่ามีอะไรพิเศษ
สีหน้าหลินอู๋จือเองก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา สองมือประสานอยู่ด้านหน้า โค้งตัวเล็กน้อย กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “น้อมส่งอาจารย์อาม่อ”
ผู้อาวุโสชุดดำหยุดฝีเท้ามองดูเขา พร้อมยกมือขึ้นมาประสานรับการคำนับ จากนั้นมองดูจิ๋งจิ่วแลคนอื่นๆ พลางกล่าวถามว่า “นี่เป็นศิษย์ในสำนักชุดใหม่หรือ?”
“หลังจากนี้ยังจะมีตามเข้ามาอีกขอรับ” หลินอู๋จือตอบ
ผู้อาวุโสชุดดำมองดูเหล่าศิษย์วัยเยาว์ บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยน กล่าวว่า “ไม่เลวๆ ดีๆๆ แข็งแกร่งกว่าสมัยพวกข้าไม่น้อยทีเดียว”
เพียงแค่กวาดตามองดูเล็กน้อย ผู้อาวุโสชุดดำก็ใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่มองดูสภาวะของศิษย์เหล่านี้จนชัดเจน
ผู้อาวุโสชุดดำพูดคุยกับเหล่าศิษย์สองสามประโยค ถามว่ามาจากไหน แล้วไปฝึกบำเพ็ญเพียรตอนอยู่นอกสำนักที่ไหน สีหน้าอ่อนโยน คำพูดคำจาค่อนข้างให้กำลังใจ เหล่าศิษย์ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสคนนี้คือใคร เพียงเห็นอากัปกิริยาของหลินอู๋จือและเหล่าผู้ดูแล ก็คาดเดาว่าน่าจะเป็นบุคคลสำคัญอย่างมากคนหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าแสดงความไม่พอใจ จึงกล่าวตอบไปอย่างระมัดระวัง
หลินอู๋จือยืนฟังอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ มิได้พูดแทรกจังหวะ และมิได้เร่งเร้า
จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกใจ ชิงซานทั้งเก้ายอด ไม่มีอาจารย์กระบี่บนยอดเขาไหนจะสวมชุดดำ
ตอนนี้เขามองสภาวะของผู้อาวุโสชุดดำผู้นี้ไม่ออก แต่เขาสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน อีกฝ่ายดูอ่อนแอทั้งกายและใจ น่าจะไม่อาจเทียบหลินอู๋จือได้
เหตุใดหลินอู๋จือถึงเคารพนอบน้อมคนผู้นี้ถึงเพียงนี้?
เขาพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ในเวลานี้เอง ผู้อาวุโสชุดดำมองมาทางเขาพอดี สีหน้าตะลึงเล็กน้อย กล่าวว่า “เด็กคนนี้หล่อเหลาเสียจริง”
หลินอู๋จือยิ้มพลางกล่าว “ทุกคนต่างรู้ว่าเขารูปงาม นั่นเป็นเพราะอาจารย์อาคัดหนังสืออยู่บนยอดเขาซื่อเยวี่ยทุกวัน มิได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้”
ผู้อาวุโสชุดดำยิ้มๆ มองไปทางจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างจริงจัง “หลังจากนี้พยายามเข้าล่ะ”
จิ๋งจิ่วมิได้ตอบ หากแต่มองเขาอย่างเงียบๆ
ผู้อาวุโสชุดดำรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย
บรรยากาศเองก็แปลกประหลาดขึ้นมา
ลูกศิษย์สามสี่คนพยายามส่งสายตาบอกจิ๋งจิ่ว ทว่าจิ๋งจิ่วกลับทำเหมือนมองไม่เห็น เขายังคงมองผู้อาวุโสชุดดำคนนั้นอย่างเงียบๆ
หลินอู๋จือหรี่ตาเล็กน้อย เตรียมจะสั่งสอนจิ๋งจิ่วสักหน่อย แต่ผู้อาวุโสชุดดำคนนั้นโบกมือห้าม ก่อนจะยิ้มเยาะตัวเองขึ้นมา พลางหมุนตัวเดินไปทางยอดเขากระบี่
“ไปแล้วหรือขอรับ?”
หลินอู๋จือกล่าวถาม
“ไปแล้ว”
ผู้อาวุโสชุดดำตอบ
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ตอนนี้กระบี่ของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
จิ๋งจิ่วมองแผ่นหลังของผู้อาวุโสชุดดำพลางกล่าว
……………………………………………………………………….