หลิ่วสือซุ่ยจากที่ราบริมผาไป มุ่งหน้าสู่หมู่ยอดเขา มิหวนกลับมาอีก
ภาพสุดท้ายที่เขาทิ้งเอาไว้คือใบหน้าเล็กๆ ที่แดงเรื่อขึ้นมาด้วยความรู้สึกโกรธและดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาเนื่องเพราะต้องลาจาก
คนเดียวที่เห็นภาพนี้คือจิ๋งจิ่ว แต่ไม่นานเขาก็ลืมภาพนี้ไป
ก็เหมือนกับคำพูดที่เขากล่าวกับหลิ่วสือซุ่ย ธรรมวิถียาวไกล คนมิอาจจดจำเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดได้ แล้วก็มิจำเป็นต้องจดจำด้วย
หากมองจากมุมนี้ เขาเป็นคนที่เกิดมาเพื่อบำเพ็ญเพียรจริงๆ
หลังหลิ่วสือซุ่ยจากไป จิ๋งจิ่วยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้เขาต้องปูเตียงพับผ้าห่มด้วยตัวเอง ภายในที่พักดูเงียบเหงาไปถนัดตา นี่ทำให้เขาต้องใช้เวลาอยู่หลายวันจึงคุ้นชิน
ในช่วงเวลานี้ คำพูดเยาะเย้ยถากถางที่เหล่าศิษย์นอกสำนักมีต่อเขายิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม
หลิ่วสือซุ่ยเข้าไปเป็นศิษย์ในสำนัก แต่เขากลับยังอยู่ที่นี่ ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องมองว่านี่เป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนยิ่งนัก
ทว่าจิ๋งจิ่วกลับมิรู้สึกกระไร เขายังคงอาศัยอยู่ในที่พัก วางเม็ดทรายลงไปในจานกระเบื้องนั้นอย่างเงียบๆ วันละนิดวันละหน่อย
มิใช่ว่าเขาถนัดในการอดทนอดกลั้น หากแต่เพราะเขามิได้ใส่ใจ
แต่อาจารย์หลี่ว์มิอาจอดทนได้ คืนวันหนึ่งเขามายังที่พักอีกครั้ง
เขาใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่ตรวจสอบจิ๋งจิ่วอย่างละเอียดอีกครา พบว่าในร่างกายจิ๋งจิ่วยังคงไม่มีเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋า จึงอดรู้สึกผิดหวังมิได้
ไม่มีเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋า เส้นลมปราณไม่กำเนิด แล้วจะดูดซับพลังชีวิตในธรรมชาติได้อย่างไร?
ไม่มีปราณก่อกำเนิด เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าจะแปรเปลี่ยนเป็นต้นไม้ใหญ่ แล้วออกผลแห่งกระบี่ได้อย่างไร?
จนถึงตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าจิ๋งจิ่วมิใช่ศิษย์ที่อาจารย์เซียนแห่งยอดเขาใดยอดเขาหนึ่งรับไว้เป็นศิษย์ล่วงหน้า
ที่จิ๋งจิ่วสามารถชี้แนะศิษย์ร่วมสำนักได้ ล้วนแต่เป็นเพราะความรอบรู้และความสามารถในการพิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยมของเขา
“คาดคะเนโดยไม่มีอะไรใช้อ้างอิง แต่กลับถูกต้องถึงเก้าในสิบ ดูเหมือนตระกูลของเจ้าจะมิใช่ธรรมดาจริงด้วย”
อาจารย์หลี่ว์มองดูเขาพลางกล่าว “เชื่อว่าในเมืองเจาเกอ ตระกูลของเจ้าก็คงมิใช่ตระกูลธรรมดาเช่นกัน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ในบ้านมีหนังสืออยู่ไม่น้อย”
“พรสวรรค์มิอาจพึ่งพาได้ การคุยเล่นเกี่ยวกับธรรมวิถีนั้นไร้ประโยชน์ นอกเสียจากเจ้าคิดเพียงจะใช้มันไปสอบ มิยอมอดทนฝึกฝนร่างกาย เช่นนั้นก็อย่าได้หวังจะบรรลุสู่ขั้นรักษาจิตได้ สุดท้ายแล้วมันก็จะกลายเป็นความว่างเปล่า”
อาจารย์หลี่ว์ถอนหายใจ กล่าวว่า “ข้าครุ่นคิดอยู่นาน หากเจ้าดึงดันเช่นนี้ ข้าสามารถแนะนำให้เจ้าไปเป็นผู้ดูแลอยู่ในที่ๆ หนึ่งได้ เมื่ออยู่ที่นั่น สิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันมีเพียงจัดหนังสือ ศึกษาความรู้ต่างๆ ดูแล้วน่าจะเหมาะสมกับเจ้า”
จิ๋งจิ่วรู้ว่าเขาหมายถึงยอดเขาซื่อเยวี่ย ยอดเขาแห่งนั้นเป็นยอดเขาที่ใช้เก็บคัมภีร์ฝึกพรตและเคล็ดกระบี่ของสำนักชิงซาน เพื่อให้เหล่าศิษย์ได้ใช้ค้นหาธรรมวิถีจากกองบันทึกโบราณ
อาจารย์หลี่ว์กล่าวต่อว่า “ที่นั่นเจ้าสามารถทำประโยชน์ให้แก่สำนักได้เช่นเดียวกัน บางทีอาจจะได้รับยาเซียนช่วยยืดอายุขัย เพียงแต่จะไม่มีสิทธิ์ได้การถ่ายทอดเพลงกระบี่อีก แต่ว่า…อย่างไรซะเจ้าก็ไม่ได้ต้องการมันอยู่แล้ว”
จิ๋งจิ่วแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นห่วงตนจริงๆ ถึงขนาดจัดแจงหนทางที่ดูเหมาะสมเอาไว้ให้กับตน
ทว่าเขาย่อมไม่ตอบรับอย่างแน่นอน เขาไม่ชื่นชอบยอดเขาซื่อเยวี่ย ยิ่งไปกว่านั้นอีกปีหนึ่งเขาก็จะไปจากที่นี่แล้ว
……
……
ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกครา ปุยขาวของเมล็ดหลิวลอยเต็มฟ้า
เวลาสามปีตามที่กำหนดไว้ผ่านไปแล้วกว่าครึ่ง เหล่าศิษย์นอกสำนักของศาลาหนานซงยิ่งรู้สึกเป็นกังวล ทุกช่วงเวลาล้วนแต่ใช้ไปกับการบำเพ็ญเพียร ทั่วทุกที่บนพื้นที่ราบริมผาสามารถมองเห็นควันสีขาวลอยขึ้นมาเป็นสาย
ตอนนี้ศิษย์ส่วนใหญ่ล้วนแต่เข้าสู่สภาวะรักษาจิตแล้ว หลายๆ คนอย่างเซวียหย่งเกอถึงขนาดมองเห็นความเป็นไปได้ที่จะถมทะเลวิญญาณจนเต็ม
มีเพียงส่วนน้อยที่โง่เขลาหรือเกียจคร้านเกินไปถึงจะมองไม่เห็นความหวังใดๆ
แน่นอน คนที่มีโอกาสเข้ามายังสำนักชิงซานแต่กลับยังคงเกียจคร้านตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็มีอยู่แค่คนเดียว
“เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
อาจารย์หลี่ว์มองดูจิ๋งจิ่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าพลางกล่าว
เขารู้สึกเฉยชากับการที่จิ๋งจิ่วไม่แสวงหาความก้าวหน้าไปเสียแล้ว ถึงแม้อีกฝ่ายจะออกจากที่พักมาหาตนที่หอกระบี่ ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะเห็นอีกฝ่ายทำเช่นนี้ แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสนใจอะไร
“ข้าเตรียมจะไปจากนี่” จิ๋งจิ่วกล่าว
อาจารย์หลี่ว์ยกถ้วยชาขึ้นมาเตรียมจิบสักคำสองคำ ครั้นได้ยินคำพูดนี้ มือของเขาพลันหยุดค้างกลางอากาศ
เขาล้มเลิกความคิดเรื่องจิ๋งจิ่วไปนานแล้ว ทว่า…สุดท้ายแล้วก็ยังมีความรู้สึกเสียดายในความสามารถและยังไม่อยากยอมแพ้ เขาจึงมิได้ไล่อีกฝ่ายออกจากสำนัก ท้ายที่สุดกลับเป็นอีกฝ่ายที่คิดจะยอมแพ้อย่างนั้นหรือ? กระทั่งนอนฆ่าเวลาไปวันๆ ก็ไม่คิดจะทำแล้ว?
อาจารย์หลี่ว์รู้สึกเบื่อเล็กน้อย เขายิ้มเฝื่อนกล่าวว่า “เจ้าคิดจะไปที่ใด?”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเล็กน้อย กลาวว่า “เรื่องที่ว่าจะไปยอดเขาไหน ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก”
“อย่างนั้นเจ้าไปคิดเองแล้วกัน ไม่ว่าจะไปหมู่บ้านนั้นหรือว่าเมืองเจาเกอ สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องของเจ้า…ช้าก่อน!”
อาจารย์หลี่ว์พลันได้สติขึ้นมา ถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? พูดอีกรอบซิ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าบอกว่าข้าคิดไม่ออกว่าจะไปยอดเขาไหน”
อาจารย์หลี่ว์ถามอย่างไม่แน่ใจ “เจ้าหมายถึงยอดเขาทั้งเก้า?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง ข้าเตรียมจะเข้าไปเป็นศิษย์ในสำนัก”
อาจารย์หลี่ว์รู้สึกสงสัยในหูของตน กล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่?”
“ทะเลวิญญาณของข้าเต็มแล้ว สภาวะขั้นรักษาจิตก็น่าจะถือว่าบริบูรณ์แล้ว”
เมื่อมาคิดดูแล้ว การทำสมาธิอย่างต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนและการดูดซับพลังชีวิตในธรรมชาติโดยมิหยุดหย่อนในช่วงเวลาสองปีมานี้ ถึงแม้จะเป็นจิ๋งจิ่วก็รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่เหมือนกัน
อาจารย์หลี่ว์ไม่เชื่อเรื่องนี้ เขาขยับความคิดเคลื่อนจิตจำแนกแห่งกระบี่ให้ไปปกคลุมร่างกายของจิ๋งจิ่วเอาไว้ และเตรียมพร้อม จะใช้กฎสำนักมาสั่งสอนจิ๋งจิ่วหนักๆ สักครั้งทันทีที่เปิดโปงคำโกหกของเขาได้
ในเวลานี้เขารู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว
……
……
เสียงเพล้งดังขึ้น
แก้วชาตกลงบนพื้น แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
น้ำชาหกเต็มพื้น ไอน้ำร้อนลอยฟุ้งขึ้นมาไม่หยุด คล้ายควันสีขาวที่ลอยขึ้นมาจากศีรษะของเหล่าศิษย์ที่กำลังฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งอยู่ในป่า
อาจารย์หลี่ว์มองจิ๋งจิ่ว ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงและเหลือเชื่อ
ภายในหอกระบี่เงียบงัน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
อาจารย์หลี่ว์รู้สึกสับสน จากนั้นกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อยว่า “ข้าไม่ได้ดูผิดใช่ไหม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ท่านไม่ได้ดูผิด”
ทั้งคู่นิ่งเงียบเป็นเวลาครู่ใหญ่
น้ำชาบนพื้นค่อยๆ เย็นลง ไม่ได้มีควันขาวลอยออกมาอีก
ในที่สุดอาจารย์หลี่ว์ก็ใจเย็นลง แต่สายตาที่มองดูจิ๋งจิ่วยังคงคล้ายเหมือนกำลังมองดูเทพเซียน ในคำพูดมีความรู้สึกขอโทษและเสียใจแฝงเอาไว้อย่างชัดเจน “ที่แท้…ข้าดูผิดไปเอง”
จิ๋งจิ่วตบไหล่ของเขา กล่าวว่า “นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน”
……
……
ลำแสงกระบี่สายหนึ่งส่องสว่างไปทั่วทั้งที่ราบริมผา สายลมฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น
อาจารย์เซียนจากยอดเขาซีไหลขี่กระบี่บินมาถึง
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ เหล่าศิษย์พากันหยุดฝึกฝน แล้วไปรวมตัวกันอยู่หน้าหอกระบี่
ทุกคนต่างเดาได้ จะต้องมีลูกศิษย์ที่เข้ารับการทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักอย่างแน่นอน ต่างคนต่างรู้สึกตื่นเต้น
ใครจะกลายเป็นศิษย์ในสำนักคนที่สองของศาลาหนานซงต่อจากหลิ่วสือซุ่ย?
มีคนคิดว่าน่าจะเป็นศิษย์พี่หยวนจากจังหวัดเล่อหลาง มีคนเดาว่าอาจจะเป็นศิษย์น้องอวี้ซานที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม
ลูกศิษย์หลายคนคิดว่าคนๆ นั้นน่าจะเป็นเซวียหย่งเกออย่างแน่นอน
แต่หลังจากนั้นเหล่าลูกศิษย์ก็พบว่าทั้งสามคนที่พวกเขาพูดถึงล้วนแต่ยังอยู่ข้างกาย มิได้อยู่ในหอกระบี่
สีหน้าเซวียหย่งเกอคร่ำเคร่ง เขาอยู่ห่างจากสภาวะรักษาจิตบริบูรณ์อีกไม่ไกล เดิมคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นคนที่สองของศาลาหนานซงต่อจากหลิ่วสือซุ่ย ใครจะไปคิดถึงว่าจะถูกคนอื่นชิงตัดหน้าไปก่อน
เขาจับจ้องไปที่ปากทางเข้าหอกระบี่ ในใจครุ่นคิดอย่างแค้นใจว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่ปกปิดได้มิดชิดถึงเพียงนี้ มิได้มีวี่แววให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ลมโชยผ่านชุดสีขาว ภายใต้การนำของอาจารย์หลี่ว์ จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในหอกระบี่
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ทุกคนพากันตกตะลึงจนมิอาจกล่าววาจาได้
พวกเขารู้ว่าจิ๋งจิ่วชาญฉลาด ปัญญาเป็นเลิศ แต่ก็รู้ด้วยว่าคนผู้นี้มิแสวงหาความก้าวหน้า เกียจคร้านผิดวิสัย ไม่มีใครเคยเห็นเขาลุกขึ้นมาฝึกฝนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่คนแบบนี้กลับสามารถบรรลุสภาวะขั้นรักษาจิตได้จนบริบูรณ์อย่างนั้นหรือ? คนแบบนี้มีสิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักอย่างนั้นหรือ?
สีหน้าเซวียหย่งเกอดูแย่ยิ่งนัก
หากเป็นศิษย์นอกสำนักคนอื่นที่บังเอิญโชคดีชิงนำหน้าเขาไปก้าวหนึ่ง แม้นเขาจะรู้สึกโกรธ แต่เขาก็สามารถยอมรับความจริงนี้ได้
แต่คนผู้นั้นกลับเป็นจิ๋งจิ่วที่เขาดูแคลนมากที่สุด?
“เป็นไปได้อย่างไร!”
เขาพูดอย่างโกรธแค้น “ทะเลวิญญาณของมันจะเต็มได้อย่างไร? อาจารย์หลี่ว์ตรวจสอบดีแล้วหรือเปล่า?”
………………………………………………………….