อาจารย์หลี่ว์เดินเข้าไปเคาะโต๊ะ
ชายชุดเทาผู้นั้นตื่นขึ้นมา ก่อนจะขยี้ดวงตาที่แห้ง ครั้นเห็นว่าเป็นอาจารย์หลี่ว์พลันรู้สึกดีใจ แต่พอได้เห็นคราบดินเปียกที่อยู่ตรงปกเสื้อและรองเท้าก็ต้องรู้สึกตกใจ
“ศิษย์พี่หลี่ว์ เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
ก็เหมือนเด็กน้อยที่เรียนรู้ที่จะเดินเป็นแล้ว ย่อมไม่มีทางคิดกลับไปคลานอีกแน่ ผู้บำเพ็ญพรตที่เรียนรู้การขี่กระบี่เป็นแล้ว ใครยังคิดอยากกลับไปเดินอีกเล่า?
อาจารย์หลี่ว์กล่าวว่า “แค่อยากระวังเอาไว้หน่อย ไม่เช่นนั้นถ้าถูกทางสามด้านนั้นรู้เข้าแล้วมาแย่งคนไปจะทำอย่างไรเล่า?”
ชายชุดเทาผู้นั้นกล่าวว่า “ศิษย์สำนักเดียวกันทั้งนั้น ไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง”
อาจารย์หลี่ว์กล่าวว่า “แล้วหากเป็นสำนักอื่นมาแย่งไปเล่า จะทำอย่างไร?”
ชายชุดเทายิ้มพลางกล่าว “ศิษย์พี่กล่าวเช่นนี้ ข้าชักอยากจะเห็นแล้วสิว่าท่านไปเจอกับเพชรเม็ดงามแบบไหนมา ถึงได้ตื่นเต้นเพียงนี้”
อาจารย์หลี่ว์ส่งสัญญาณบอกให้จิ๋งจิ่วและหลิ่วสือซุ่ยก้าวเข้ามา พลางกล่าวว่า “นี่คือหมิงกั๋วซิ่ง เป็นอาจารย์เซียนที่คอยจดบันทึกเข้าออกประตูทิศใต้ของสำนักเรา ก่อนที่จะเข้าเป็นศิษย์ในสำนัก พวกเจ้าต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อา”
หลิ่วสือซุ่ยรีบตะโกน “อาจารย์อาหมิง”
หมิงกั๋วซิ่งมองเห็นจิ๋งจิ่ว เขาตกตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะได้สติขึ้นมา พลางกล่าวชมเชยไม่ขาดปาก “ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้างดงามราวรูปปั้นแกะสลัก ศิษย์พี่หลี่ว์ วันนี้ท่านโชคดีจริงๆ ด้วย”
“จะดีแต่รูปหรือเปล่าเดี๋ยวค่อยว่ากัน ที่ข้าเลือกคือคนเล็กต่างหาก”
อาจารย์หลี่ว์ถอนใจ พลางพูดออกมาต่อหน้าจิ๋งจิ่ว
ในช่วงเวลาสามวันที่เดินทางมา ความประทับใจที่เขามีต่อจิ๋งจิ่วยิ่งลดน้อยลงทุกที ถึงขนาดแอบรู้สึกเสียใจ
เขาไม่เคยเห็นใครที่เกียจคร้านเช่นนี้มาก่อน
แต่แน่นอน สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์จริงๆ คือการที่หลิ่วสือซุ่ยซึ่งเป็นอัจฉริยะในสายตาเขาถูกคนเช่นนี้เรียกใช้งาน
อาจารย์อาหมิงผู้นั้นมองไปทางหลิ่วสือซุ่ยตามที่อาจารย์หลี่ว์บอก ก่อนจะเห็นลมหายใจของเด็กชายคนนั้นสะอาดบริสุทธิ์ สายตาแน่วแน่มั่นคง จึงอดพยักหน้าขึ้นมามิได้ ภายในใจครุ่นคิดว่าเป็นเด็กที่ไม่เลวจริงด้วย
กระทั่งเขาใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่ตรวจสอบดู ก็อดรู้สึกตกใจขึ้นมาอย่างมากไม่ได้ ภายในใจตื่นเต้นจนกระทั่งสุ้มเสียงสั่นเครือขึ้นมา
“เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด!”
อาจารย์หลี่ว์กล่าวยิ้มๆ “ถูกต้อง”
หมิงกั๋วซิ่งตะโกนอย่างร้อนใจ “เช่นนั้นมัวยืนเหม่อทำไมเล่า รีบเข้ามา!”
อาจารย์หลี่ว์พาจิ๋งจิ่วแลหลิ่วสือซุ่ยเดินเข้าประตูหินไป
หมิงกั๋วซิ่งลูบหน้าอกเบาๆ จากนั้นยิ้มพลางสบตาเขา ในที่สุดก็โล่งใจ
เมื่อผ่านเข้าประตูมาก็ถือเป็นศิษย์สำนักชิงซาน ผู้ใดก็อย่าได้คิดแย่งไป
อย่าว่าแต่สำนักบำเพ็ญพรตเหล่านั้นเลย แม้นเป็นคนจากเมืองเจาเกอก็ไม่มีประโยชน์ กระทั่งปู้เหล่าหลินกับเจวี่ยนเหลียนเหรินก็ไม่กล้าเหยียบเข้ามาที่นี่แม้เพียงก้าวเดียว
ในช่วงเวลาหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมา ผู้ใดกล้าเข้ามาเหิมเกริมในสำนักชิงซาน?
หมิงกั๋วซิ่งยกพู่กันจุ่มลงไปในถาดหมึกพลางเปิดหน้าสมุด สายตามองดูหลิ่วสือซุ่ย ถามว่า “ชื่ออะไร?”
หลิ่วสือซุ่ยตอบอย่างประหม่าเล็กน้อย “หลิ่วสือซุ่ย”
หมิงกั๋วซิ่งงุนงงเล็กน้อย กล่าวว่า “ชื่อ มิใช่อายุ”
หลิ่วสือซุ่ยลืมตาโต กล่าวว่า “ข้าเรียกชื่อนี้ มิได้หรืออย่างไร?”
คราแรกเขาเองก็มิค่อยพอใจชื่อนี้สักเท่าไร ทว่าตอนนี้เคยชินเสียแล้ว ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำ
“อย่าว่าแต่สือซุ่ยเลย ต่อให้เจ้าอยากชื่อว่านซุ่ย[1]ก็ไม่เป็นปัญหา”
หมิงกั๋วซิ่งยิ้มพลางกล่าว
เมื่อบันทึกข้อมูลของหลิ่วสือซุ่ยเสร็จเรียบร้อย เขาจึงมองไปทางจิ๋งจิ่ว ถามว่า “เจ้าล่ะ?”
แม้นจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าที่แสนงดงามนั้น เขาก็ยังอดหรี่ตาลงมิได้ ภายในใจลอบส่งเสียงจุ๊ๆ ชมเชย
“จิ๋งจิ่ว คนเจาเกอ”
บุรุษหนุ่มมองไปทางยอดเขาโดดเดี่ยวที่อยู่อีกฟาก พลางตอบส่งๆ ออกมา
หมิงกั๋วซิ่งกำลังตื่นเต้น จึงมิได้ใส่ใจที่เขาเสียมารยาท หนำซ้ำยังพูดให้กำลังใจอย่างอ่อนโยนไปหลายประโยค จากนั้นหมุนตัวมองไปทางหลิ่วสือซุ่ย เตรียมจะสนทนากับเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดผู้นี้เสียหน่อย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลิ่วสือซุ่ยมิได้ชายตามองเขาเสียด้วยซ้ำ หากแต่สืบเท้าเดินเข้าไปด้านในประตู เนื่องด้วยจิ๋งจิ่วออกเดินไปแล้ว
บนถนนขึ้นสู่เขา บุรุษหนุ่มชุดขาวเดินนำหน้า เด็กชายแบกสัมภาระเดินตามอยู่ด้านหลัง
ครั้นเห็นภาพนี้ หมิงกั๋วซิ่งตกใจยิ่งนัก กล่าวว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“พวกเขาเป็นนายกับบ่าว”
อาจารย์หลี่ว์คิดถึงคำพูดที่บิดาแซ่หลิ่วพูดกับตน พลางขมวดคิ้วขึ้นมา
“เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าเป็นบ่าวให้คนอื่นงั้นหรือ?” หมิงกั๋วซิ่งตกตะลึงอย่างมาก เขามองอาจารย์หลี่ว์พลางกล่าวว่า “ไม่ว่าก่อนนี้พวกเขาจะมีสัมพันธ์กันเช่นไร แต่ทันทีที่ผ่านเข้าประตูมา เรื่องในโลกปุถุชนจะไม่มีความหมายอีก หรือท่านไม่ได้บอกพวกเขาเรื่องนี้?”
อาจารย์หลี่ว์รู้สึกจนปัญญา เขาบอกเรื่องนี้อย่างชัดเจนตั้งแต่วันแรกแล้ว จิ๋งจิ่วมิได้ว่ากระไร กลับเป็นหลิ่วสือซุ่ยที่พูดอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง
……
……
ม่านหมอกสลายตัวไปนานแล้ว ทว่าในสายลมกลับยังมีความชื้นอยู่ ทางขึ้นเขาราบเรียบ เวลาเดินค่อนข้างมีความสุขทีเดียว
หลิ่วสือซุ่ยมองดูหน้าผาแลยอดเขาที่อยู่รอบๆ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ภายในใจทั้งประหม่าทั้งตื่นเต้น
บางทีอาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากเขา หรืออาจเป็นเพราะความทรงจำที่ยาวนานกว่านั้นถูกกระตุ้นขึ้นมา สายตาของจิ๋งจิ่วจึงหยุดอยู่ที่ทิวทัศน์รอบๆ นานขึ้นกว่าเดิม
ทั้งคู่เดินเท้าไปด้วยอารมณ์เช่นนี้ ไม่นานก็เดินไปได้สิบกว่าลี้ จนมาถึงพื้นที่ราบริมผาที่อยู่กึ่งกลางภูเขา
บริเวณรอบๆ หน้าผาล้วนแต่เป็นต้นไม้สูงใหญ่ บริเวณนั้นมีกระท่อมฟางตั้งกระจัดกระจายอยู่หลายสิบหลัง
หมอกก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง กระท่อมฟางปรากฏกายตะคุ่มๆ อยู่ในหมอก หากมองอย่างละเอียด จะสามารถมองเห็นว่ากระท่อมแต่ละหลังล้วนแต่มีกำแพงกั้นไว้อยู่
เมื่อมาถึงพื้นที่ราบริมหน้าผา ทางแยกค่อยๆ เยอะขึ้น หลิ่วสือซุ่ยมิรู้ว่าควรเดินอย่างไรต่อ จึงมองไปทางจิ๋งจิ่ว
ด้านหลังหน้าผามีเสียงน้ำฟังเสนาะหู น่าจะเป็นน้ำพุที่ผุดจากใต้ดินตามธรรมชาติ แล้วก็มีเสียงดนตรีค่อยๆ ดังขึ้นมาคลอเคลียไปกับเสียงน้ำ ฟังดูยิ่งเลื่อนลอย
จิ๋งจิ่วสืบเท้าเดินไปทางนั้น หลิ่วสือซุ่ยเดินตามหลังไปติดๆ
ทั้งสองคนเดินตามเสียงจนทะลุผ่านป่าออกมา ก่อนจะมองเห็นสิ่งก่อสร้างหลังหนึ่งลางๆ อยู่ในม่านหมอก
แสงอาทิตย์พลันสาดลงมา พัดพาม่านหมอกให้สลายหายไป โฉมหน้าที่แท้จริงของสิ่งก่อสร้างปรากฏออกมา มันเป็นอาคารหลังใหญ่ชายคาสีดำกำแพงสีเทา ดูแล้วให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกอยู่ไม่น้อย
ที่นี่คือหอกระบี่ของศาลาหนานซงแห่งสำนักชิงซาน ลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักมาใหม่จะต้องมาใช้ชีวิตและร่ำเรียนอยู่ที่นี่
เด็กหญิงชายจำนวนหลายสิบคนยืนอยู่บนลานตรงด้านหน้าหอกระบี่ ทุกคนล้วนแต่สวมชุดสีเขียวแบบเดียวกัน
อาจารย์หลี่ว์ยืนอยู่บนบันไดหิน กล่าวว่า “รอพวกเจ้าสองคนอยู่นั่นแหละ รีบมาเข้าแถว”
หลิ่วสือซุ่ยตกใจยิ่งนัก เขาหันไปถามจิ๋งจิ่วว่า “คุณชาย อาจารย์เซียนมาได้อย่างไร? ระหว่างทางข้าไม่เห็นเขานำหน้าพวกเราไปเลย”
เมื่อผ่านเข้าประตูขึ้นเขามา ก็มิต้องกังวลว่าจะเปิดเผยร่องรอยแล้วถูกสำนักอื่นมาแย่งตัวลูกศิษย์ไป อาจารย์หลี่ว์เพียงขี่กระบี่บินขึ้นมา ใช้เวลามินานก็มาถึงที่นี่
จิ๋งจิ่วทราบดีว่าเป็นเพราะเหตุใด ทว่าหลิ่วสือซุ่ยนั้นคิดไม่ถึง
เมื่อได้ยินเสียงอาจารย์หลี่ว์ ลูกศิษย์หลายสิบคนต่างหมุนตัวมองมาทางจิ๋งจิ่วแลหลิ่วสือซุ่ย สีหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ด้านหน้าหอกระบี่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่เหมือนจะบอกว่า ‘ในที่สุดก็มาเสียที’
ลูกศิษย์เหล่านี้มาจากทั่วทุกสารทิศของแผ่นดิน พวกเขามาถึงศาลาหนานซงได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่กลับยังไม่ได้รับการถ่ายทอดวิชาเซียนและวิชากระบี่ ต่างคนต่างรอจนรู้สึกร้อนใจ
ได้ยินว่าเป็นเพราะอาจารย์เซียนที่เป็นผู้ถ่ายทอดวิชากำลังรอลูกศิษย์คนหนึ่งอยู่
เพื่อลูกศิษย์เพียงคนเดียว ถึงขนาดให้คนมากมายขนาดนี้มาเฝ้ารอและสิ้นเปลืองเวลา พวกเขาย่อมต้องรู้ว่าอาจารย์เซียนให้ความสำคัญกับศิษย์ผู้นี้อย่างมาก
ลูกศิษย์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ที่อาจารย์เซียนแห่งสำนักชิงซานคัดเลือกมาเองกับมือ พวกเขามั่นใจว่าตนเองจะต้องเหยียบไปบนเส้นทางสู่สวรรค์ได้อย่างแน่นอน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาย่อมต้องเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในตัวศิษย์ใหม่ ขณะเดียวกันก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความรู้สึกอคติขึ้นในใจได้
พวกเขาล้วนแต่เป็นศิษย์นอกสำนักที่เพิ่งเข้ามาในชิงซาน จึงไม่สามารถใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่ในการตรวจสอบดูพรสวรรค์ของหลิ่วสือซุ่ยได้ สายตาส่วนใหญ่ย่อมไปตกอยู่ที่ตัวจิ๋งจิ่ว
เสียงอุทานตกใจเบาๆ ดังขึ้นมาในหมู่ลูกศิษย์อย่างไม่อาจควบคุมได้ จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้น ฟังดูคล้ายเสียงฝูงผึ้ง
“คนผู้นี้ทำไมถึงได้หล่อเหลาถึงเพียงนี้?”
“ใบหน้านี้เกิดมาอย่างไรกัน?”
“ความมีสง่าราศีเองก็มิใช่ธรรมดา ไม่แน่อาจเป็นลูกขุนนางจากเจาเกอก็เป็นได้”
โดยเฉพาะเหล่าลูกศิษย์ผู้หญิงที่พอมองใบหน้าที่หล่อเหลานั้นแล้ว มิรู้เหตุใดถึงรู้สึกใบหน้าร่อนผ่าว จึ่งหมุนตัวกลับไป ยกมือขึ้นมาพัดแก้มเบาๆ
ลูกศิษย์ผู้ชายคนหนึ่งพลันกล่าวขึ้นมา “พวกเจ้ามิรู้สึกว่าใบหูของเขามันแปลกประหลาดหรือ?”
ทุกคนหันมองดู ถึงได้พบว่าบุรุษหนุ่มชุดขาวผู้นั้นมีใบหูที่กางคู่หนึ่ง ดูแล้ว….
“ช่างน่ารักเสียจริง”
เด็กหญิงผู้หนึ่งมองดูจิ๋งจิ่วพลางกล่าวพึมพำออกมา
อาจารย์หลี่ว์กระแอมเล็กน้อย
เด็กหญิงเด็กชายที่ยินดีขึ้นเขามาบำเพ็ญเพียรย่อมมีความมุ่งมั่นที่จะฝึกฝนตน ครั้นได้ยินการเตือนของผู้เป็นอาจารย์ ทุกคนพลันเฝ้าระวังดูใจของตนอย่างเงียบๆ มิได้มองดูจิ๋งจิ่ว และมิได้พูดคุยกันอีก
ด้านหน้าหอกระบี่เงียบสงบอย่างมาก
ภายใต้การเตือนด้วยสายตาของอาจารย์หลี่ว์ จิ๋งจิ่วกับหลิ่วสือซุ่ยเดินมายืนอยู่ด้านหลังของแถว
“นี่คือเคล็ดการฝึกขั้นแรก พวกเจ้าต้องศึกษาให้ดี”
อาจารย์หลี่ว์สะบัดแขนเสื้อ หนังสือเล่มบางหลายสิบเล่มบินออกมาจากในหอกระบี่ ดูคล้ายดั่งใบไม้ที่ปลิวกระจัดกระจาย ก่อนจะหล่นลงในมือของศิษย์ทุกคนอย่างแม่นยำ
ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นหลิ่วสือซุ่ยหรือเหล่าลูกศิษย์ต่างก็ส่งเสียงอุทานออกมาอย่างตกตะลึง
“บนโลกมีผู้บำเพ็ญพรตมากมาย แต่ละสำนักต่างมีวิถีของตน สภาวะแบ่งแยกหลากหลาย แต่เนื้อแท้แล้วมิต่างกัน สิ่งที่พวกเจ้าต้องเรียนในตอนนี้คือวิธีการเข้าสู่สภาวะขั้นเริ่มต้น”
อาจารย์หลี่ว์ส่งสัญญาณให้ลูกศิษย์เปิดหนังสือเล่มนั้นออก กล่าวว่า “วิถีการบำเพ็ญของสำนักชิงซานเราง่ายมาก ขั้นเริ่มต้นแบ่งได้เป็นสองสภาวะย่อย หนึ่งคือมีกฎเกณฑ์”
ในที่สุดก็ได้ฟังวิธีการบำเพ็ญเพียรที่แท้จริง สีหน้าเหล่าลูกศิษย์แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาอย่างมาก สายตามองดูตัวหนังสือที่อยู่บนหนังสือ หูตั้งใจฟังทุกคำพูดของอาจารย์
“สิ่งใดคือมีกฎเกณฑ์? คัมภีร์หนานหัวกล่าวไว้ว่า : จิตรักษากาย กายรักษาจิต หมุนเวียนไปตามวิถีและกฎเกณฑ์ สิ่งนี้เรียกสันดาน”
“เรื่องที่พวกเจ้าต้องทำคือฝึกฝนวิธีการเข้าสู่สภาวะขั้นแรกให้ชำนาญ เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง หล่อหลอมความมุ่งมั่นให้แข็งแกร่ง ปรับปรุงบุคลิกลักษณะ เช่นนี้ถึงจะสามารถทำให้ร่างกายแลจิตใจเชื่อมทะลุถึงกัน และเมื่อเชื่อมโยงถึงกันแล้วก็จะเป็นเช่นนี้ไปตลอด”
“จากนอกกลับสู่ใน เมื่อสภาวะมีกฎเกณฑ์สมบูรณ์พร้อม เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าในร่างกายพวกเจ้าถึงจะมีความมั่นคง สามารถฟันฝ่าความวุ่นวายสับสนภายในจิตใจ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเข้าสู่สภาวะรักษาจิตซึ่งเป็นสภาวะขั้นที่สอง”
เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ ลูกศิษย์บางคนเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าปรารถนาและคาดหวัง
“สิ่งใดคือรักษาจิต? บันทึกหวายกล่าวไว้ว่า : รักษาจิตให้นิ่งสงบ ร่างกายจักแข็งแกร่ง”
“ขั้นนี้เรียกได้ว่าเป็นส่วนขยายของขั้นมีกฎเกณฑ์ พูดอีกอย่างคือเป็นการก้าวกระโดดครั้งแรกของผู้บำเพ็ญพรต เพราะเมื่อมาถึงขั้นนี้ จิตใจของผู้บำเพ็ญพรตจะแปรเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ ตอบสนองต่อพลังวิญญาณที่อยู่บนโลกได้โดยธรรมชาติ เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าค่อยๆ เจริญเติบโต เส้นลมปราณค่อยๆ ถือกำเนิด สามารถดูดซับพลังวิญญาณที่อยู่บนโลกมาแปรเปลี่ยนเป็นปราณก่อกำเนิด นี่ก็คือการใช้พลังวิญญาณในธรรมชาติมาหล่อเลี้ยงพลังวิญญาณของคน กระทั่งทะเลวิญญาณถูกเติมเต็ม ก็จะถือได้ว่าบรรลุสภาวะขั้นเริ่มต้นได้สำเร็จ ส่วนอย่างไรจึงจะถือว่าสมบูรณ์ นั่นก็ต้องดูสติปัญญาและความกล้าของพวกเจ้า…”
เสียงของอาจารย์หลี่ว์มิได้ดังเท่าไร แต่กลับลอยไปเข้าหูของศิษย์ทุกคนอย่างชัดเจน
ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นไปอยู่กลางศีรษะ ม่านหมอกสลายตัวไปนานแล้ว แสงแดดเจิดจ้า ค่อนข้างร้อนอยู่ทีเดียว
ทว่าไม่มีศิษย์คนใดพร่ำบ่นร้อนออกมา ทุกคนตั้งใจฟังการสั่งสอนของอาจารย์เซียน จนคล้ายสัมผัสไม่ได้ถึงความร้อนของแสงอาทิตย์อย่างไรอย่างนั้น
ในขณะที่ลูกศิษย์ผู้ชายคนหนึ่งที่มาจากจังหวัดเล่อหลางกำลังรู้สึกตื่นเต้นกับเหล่าสภาวะที่อาจารย์เซียนกำลังพูดสอนอยู่ เขาพลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากข้างกาย
เขาเหลียวหน้าไป ก่อนจะมองเห็นภาพๆ หนึ่ง สีหน้าตกตะลึงไปทันที
หลิ่วสือซุ่ยกำลังรินชาให้จิ๋งจิ่ว
ชาที่เทออกมาจากกานั้นเย็นไปนานแล้ว ไม่มีไอร้อนอะไรลอยออกมา
ทว่าเสียงชาที่ไหลลงไปในถ้วยยังคงฟังดูใสกระจ่าง ราวกับน้ำพุธรรมชาติอย่างไรอย่างนั้น
จิ๋งจิ่วรับถ้วยชาไปดื่มจนหมด ก่อนจะส่งกลับไป
หลิ่วสือซุ่ยเก็บป้านชาและถ้วยชาเรียบร้อย จากนั้นหยิบพัดกลมออกมาจากห่อสัมภาระ แล้วเริ่มพัดให้จิ๋งจิ่ว
เสียงลมที่ออกมาจากพัด ฟังดูชัดเจนยิ่งนักเมื่ออยู่ด้านหน้าหอกระบี่อันเงียบสงบ
………………………………………………………..
[1] ว่านซุ่ย หมายถึง หมื่นปี