ถังอี้เฉินจงใจเน้นย้ำสถานะของเธอ
เธอเป็นถึงคุณหนูรองตระกูลถัง
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอึ้งไปเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นอี้เฉินโอ้อวดฐานะของเธออย่างนั้นมาก่อน ทว่าในครั้งนี้เธอบอกกับเขาชัดเจนว่าเธอคือคุณหนูรองตระกูลถัง
“ก็ได้ ในเมื่อครอบครัวของเธอต้องการเธอ ฉันก็คงไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว แต่ยังไงโรงพยาบาลทหารก็ต้อนรับเธอเสมอนะ”
“ขอบคุณค่ะ ผู้อำนวยการ” ถังอี้เฉินเอ่ยก่อนเดินจากไป
“ถ้าเป็นเรื่องสถานะทางสังคมน่ะ แกยังห่างชั้นกับถังอี้เฉินเยอะ เธออาจไม่ได้โดดเด่นมาก แต่ตระกูลถังก็ไม่ใช่คนที่แกจะรับมือด้วยได้หรอก ตอนนี้ถังอี้เฉินไม่อยู่แล้ว แกคงตามตื๊อผู้ชายของแกได้สบายใจแล้วล่ะสิ น่าขายหน้าจริงๆ! ”
ถังอี้เฉินไม่สนใจว่าพ่อลูกจะพูดอะไรลับหลังเธออีกต่อไป อีกทั้งเธอยังไม่ได้ตั้งใจจะบอกลาทีมงานที่โรงพยาบาลด้วย
อย่างไรก็ตาม คนที่สนิทสนมกับเธอตกใจเมื่อได้ยินว่าเธอยอมรับว่าตัวเองเป็นคุณหนูรองตระกูลถัง พวกเขาแอบนึกยินดีอยู่ในใจ
“ลูกสาวผู้อำนวยการคิดว่าจะทำอะไรตามใจชอบได้จริงๆ เหรอ เธอไม่ควรลืมว่าอี้เฉินของเราเองก็มาจากตระกูลชั้นสูงที่ร่ำรวยเหมือนกัน! ”
“ฉันรู้น่า ว่าไหมล่ะ เธอก็ทำได้แต่เที่ยวโอ้อวดตัวเองจะได้ออกคำสั่งคนอื่นได้ ตอนนี้อี้เฉินพูดถึงฐานะของตัวเองบ้างแล้ว เธอจะได้รู้ซึ้งสักทีว่าอำนาจที่แท้จริงมันเป็นยังไง”
“อี้เฉินของฉันช่างทรงอำนาจจริงๆ! ”
ผู้คนทั้งโรงพยาบาลต่างแอบชื่นชมถังอี้เฉิน อย่างไรเสียลูกสาวผู้อำนวยการก็ทำตัวหยิ่งยโสเกินไป เธอถือดีไปกดขี่คนอื่นตามใจชอบ ถึงแม้ว่าถังหนิงจะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก็ตาม เธอต้องเหนื่อยกับการใช้ชีวิตอย่างนี้มานาน อย่างไรก็ตามถังอี้เฉินไม่ได้มีเวลามาคิดเรื่องนั้น
ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าที่เธอจะสิ้นสุดหน้าที่ในโรงพยาบาลนี้อย่างเป็นทางการ ทว่าถังอี้เฉินต้องจัดการเรื่องของถังหนิงเสียก่อน เธอจึงจำเป็นต้องลางานเป็นเวลาห้าหกวัน
หลังจากนั้นเธอก็จัดการให้ถังหนิงเข้ารักษาที่โรงพยาบาลของอาจารย์หมอในสมัยเรียนแพทย์ของเธอ
แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะเทียบกับโรงพยาบาลใหญ่ไม่ได้ หากแต่ก็สะดวกสบายและเป็นกันเอง
ไม่นานถังหนิงก็ได้พบกับอาจารย์หมอที่ถังอี้เฉินพูดถึง หญิงวัยกลางคนที่ดูจริงใจและเป็นมิตรคนนี้ได้สร้างความประทับใจที่ดีแต่แรกพบกับถังหนิง
“ตอนนี้คุณรักษาตัวอยู่ที่นี่แล้ว คุณก็รอลูกคลอดออกมาได้อย่างสบายใจเลยนะคะ อี้เฉินเล่าอาการของคุณให้ฉันฟังคร่าวๆ แล้ว ฉันจะทำให้สุดความสามารถค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ หมอหลิน”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ อี้เฉินเองก็เหมือนลูกสาวของฉัน”
หลังจากหมอหลินอธิบายให้ฟังเล็กน้อย เธอก็เดินออกจากห้องไป โม่ถิงรู้แล้วว่าถังหนิงตัดสินใจเปลี่ยนโรงพยาบาล ตอนนี้เขาถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ข้างเธอ เขาได้ตามสืบเรื่องของหมอหลินแล้วเธอก็มีชื่อเสียงในด้านดีจริงๆ
“อาจารย์ของฉันบอกว่าเธอจะปรึกษากับหมอคนอื่นๆ เพื่อตัดสินใจวิธีผ่าตัดที่เสี่ยงน้อยที่สุดให้เธอ แล้วจะวางแผนให้เธอเอง เธออาจต้องรอไปอีกไม่กี่วันนะ”
“เธอจะไม่กลับไปโรงพยาบาลทหารจริงๆ เหรอ” ถังหนิงพลันเอ่ยถามขึ้น “เธอจะไม่เสียดายเหรอ”
“ไม่มีอะไรต้องเสียดายหรอก” ถังอี้เฉินตอบกลับเสียงหนักแน่นพลางสบตามองถังหนิง “บางอย่างมันก็เกินที่ฉันจะควบคุมได้น่ะ”
“เธอไม่เสียใจก็พอแล้วล่ะ!”
…
ในขณะที่ถังหนิงย้ายไปโรงพยาบาลใหม่ โม่ถิงจำเป็นต้องดูแลความปลอดภัยให้แน่นหนาขึ้น หากแต่มันไม่ได้ส่งผลกับความเชื่อใจของเธอที่มีต่อหมอหลิน
แม้ว่าโรงพยาบาลใหม่นี้จะไม่ได้อยู่ในระดับชั้นนำ แต่ก็ให้ความสำคัญกับการดูแลคนไข้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นสิ่งที่โม่ถิงพึงพอใจ
ในขณะเดียวกันลู่กวงหลียังไม่รู้ว่าถังอี้เฉินได้ลาออกจากโรงพยาบาลจนกระทั่งในคืนถัดมา เดิมทีเขานึกว่าเธอแค่ย้ายตัวถังหนิงไปรักษาตัวกับอาจารย์ของเธอ ทว่าเมื่อเสร็จจากการผ่าตัด เขาเอ่ยกับผู้ช่วยของเขา “แจ้งให้ทุกคนรู้ให้เร็วที่สุดว่าจะมีประชุมทีมพรุ่งนี้” ผู้ช่วยของเขาถามขึ้น “ผมต้องแจ้งหมอถังด้วยไหมครับ”
“ทำไมจะไม่ต้องแจ้งล่ะ”
“เพราะผู้อำนวยการบอกว่าเธอลาออกแล้วไงครับ” อีกฝ่ายตอบกลับ
ลู่กวงหลีถึงกับตกตะลึงราวกับถูกสายฟ้าฟาด เขานึกไม่ถึงว่าถังอี้เฉินจะลาออกจากโรงพยาบาลโดยที่ไม่บอกเขาสักคำ เธอคงไม่มาให้เขาเห็นหน้าอีกแล้ว
พวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายปี ต่อให้จะเป็นแค่เพื่อน อย่างน้อยเธอก็ควรมาบอกลาสักหน่อยไม่ใช่หรือ
ลู่กวงหลีจึงรีบไปที่โรงพยาบาลใหม่ของถังอี้เฉินหลังเลิกงาน เมื่อเขาเห็นว่าเธอช่วยงานอยู่ที่นั่น เขาจึงพุ่งตรงเข้าไปถามเธอ “ทำไมเธอถึงไม่บอกว่าจะลาออก”
“ฉันแค่ลาไม่กี่วันเอง เดี๋ยวฉันจะกลับไปส่งมอบงานที่โรงพยาบาลหลังจากเสร็จจากที่นี่” ถังอี้เฉินตอบ “ฉันเลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกอะไรใคร อีกอย่างฉันก็ตัดสินใจได้เองโดยไม่จำเป็นต้องให้คุณอนุญาตด้วย”
“เธอโกรธขนาดนั้นจริงๆ เหรอ”
ถังอี้เฉินสูดหายใจลึกก่อนพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ”
“ไม่ว่ายังไงเธอก็จะไม่เปลี่ยนใจเหรอ”
เธอส่ายหน้า “ถังหนิงพูดถูก ไม่ว่ายังไงฉันก็ยังเป็นคุณหนูรองตระกูลถัง ไม่มีเหตุผลที่ฉันต้องทนทรมานตัวเองสักหน่อย”
หลังจากว่าเช่นนั้น ถังอี้เฉินชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยกับลู่กวงหลี “ต่อไปนี้ก็ดูแลตัวเองดีๆ แล้วกัน”
“ฉันรู้ว่าต้องทำยังไงน่า”
“หือ” ถังอี้เฉินไม่ค่อยเข้าใจคำตอบของเขาเท่าไรนัก
“ดูแลตัวเองด้วยนะ” ว่าแล้วเขาก็หันหลังเดินจากไป
เธอออกอาการเศร้าสร้อย แต่ไม่ได้นึกเสียดายที่เรื่องกลายมาเป็นอย่างนี้ มีบางอย่างที่ไม่เคยเป็นของเธอมาตั้งแต่ต้น ทำไมเธอต้อนตัวเองให้จนมุมกันด้วยล่ะ
แน่นอนว่าถังอี้เฉินไม่รู้ว่าลู่กวงหลีวางแผนอะไรเอาไว้และไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นด้วยซ้ำ…
เธอเห็นว่าโม่ถิงได้มาถึงแล้วเมื่อกลับมาที่ห้องคนไข้ของถังหนิง จึงตัดสินใจไม่เข้าไปด้านในเพื่อไม่ให้เป็นก้างขวางคอ ก่อนนั่งลงบนม้านั่งในสนามหญ้าก่อนเงยหน้าขึ้นมองดวงดาว
ไม่ห่างออกไป ลู่กวงหลีอยู่ในรถของตัวเอง ขณะที่เฝ้ามองถังอี้เฉินจากด้านข้างพร้อมความคิดบางอย่างที่วนเวียนอยู่ในหัว
วันถัดมาลูกสาวผู้อำนวยการมาหาลู่กวงหลีถึงห้องทำงานของเขา
“หมอลู่คะ ไหนๆ อี้เฉินก็ลาออกไปแล้ว ฉันว่าฉันทำหน้าที่แทนเธอได้นะคะ…”
ลู่กวงหลีกำลังเขียนบันทึกการรักษาอยู่ เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเธอก็เงยหน้าขึ้นก่อนเอ่ย “ถ้าคุณไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็ช่วยออกไปแล้วปิดประตูด้านหลังคุณด้วยครับ”
“หมอลู่…”
“ถ้าผมไม่ได้ยินยอม ไม่มีใครแทนที่หมอคนไหนของผมได้ทั้งนั้นครับ”
“แต่ว่าเธอลาออกแล้วนะคะ”
“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญครับ! ” ลู่กวงหลีว่าเสียงหนักแน่น
“ฉันสู้เธอไม่ได้ตรงไหนคะ” หญิงสาวถามอย่างตรงไปตรงมา
“ผมไม่เคยเทียบพวกคุณสองคนเลยครับ…เพราะคุณไม่มีสิทธิ์ไปเทียบกับเธอ! ” พูดจบเขาก็ชี้นิ้วไปทางประตู “ออกไปครับ! ”
ลูกสาวผู้อำนวยการโดนว่าเข้าให้ขนาดนั้น เธอจึงปล่อยโฮออกมาขณะที่ออกจากห้องของเขาไป…
และในตอนนั้นเขาได้แต่รู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ!
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องทุ่มเทอีกมากเพื่อพายัยตัวแสบกลับมาอยู่ข้างเขา…
เขาจะยอมรับว่าวิธีที่เขาใช้ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ผลนักก็ได้
หากแต่เขาแค่อดไม่ได้ที่จะแกล้งแหย่เธอเล่นนี่!