บทที่ 92
เริ่มการแข่งขันที่เมืองหลวง
ชายนัยน์ตาสีฟ้าจ้องมาที่มู่หรงเสวี่ยอย่างมั่นใจ เธอเห็นร่องรอยของความใจกว้างแต่เธอก็รู้ดีว่ายังไงเขาก็ต้องไปเช็กดูแน่ๆ พอดีกับตอนที่เขาจะพูดอะไรบางอย่าง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชายนัยน์ตาฟ้ากดรับโทรศัพท์
“ครับ”
“…”
ทันใดนั้นชายนัยน์ตาฟ้าก็เปลี่ยนสีหน้าและมองมาที่ มู่หรงเสวี่ยแล้วก็ลุกหนีไป เขาลุกขึ้นและเดินออกไปห่างอีกหน่อย มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดอะไร เธอเพียงแค่เห็นว่าท่าทางของเขาเปลี่ยนไปหลายครั้งราวกับว่าคนปลายสายจะเดินออกมา ชายนัยน์ตาฟ้ารีบพูดอะไรบางอย่างไปที่ปลายสาย สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นลนลาน
เวลาผ่านไปนานกว่าที่ชายนัยน์ตาฟ้าจะวางสายและเดินเข้ามา มองที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสีหน้าอ่านยากและพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ
“คุณมู่หรงเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลชางกวนเหรอครับ?” หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นลุกลงอยู่สักพัก จากการสืบของเขา มู่หรงเสวี่ยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลชางกวนเลย ถ้าเขารู้ว่าจะเป็นแบบนี้เขาคงไม่จับเธอมามัดไว้แบบนี้ อย่างน้อยก็จะคิดให้มากกว่านี้หรือทำให้เงียบเชียบกว่านี้
เมื่อมู่หรงเสวี่ยได้ยิน ในหัวใจเธอที่ร้องเรียกถึงตระกูล ชางกวน ไม่ต้องพูดเลยว่าต้องเป็นชางกวนโม่แน่ๆที่รู้ว่าพวกเธอเจออุบัติเหตุ เพียงแค่ไม่คิดว่าชางกวนโม่จะรู้ข่าวเร็วขนาดนี้ ไม่มีคำตอบใดมีเพียงรอยยิ้มจางๆ
ชายนัยน์ตาฟ้ารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เพียงแค่ได้รับสายจากหัวหน้า เขาถูกตำหนิอยู่สักพัก เขาสั่งให้จับคุณมู่หรงมาตั้งครึ่งวันแล้ว หัวหน้าสั่งให้เขาทิ้งแผนเดิมแล้วค่อยคิดแผนต่อที่หลัง แต่เขารีบไปหน่อยและนี่ก็เสียเวลาไปตั้งเยอะแต่กลับไม่ได้อะไรเลย
“คุณมู่หรง ยาถอนพิษของยากลืนวิญญาณ…”
มู่หรงเสวี่ยคิด ถึงแม้เธอจะไม่ให้ตอนนี้ก็เดาว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่ในอนาคตและมันก็เป็นแค่ยาถอนพิษซึ่งไม่ได้มีผลอะไรมากนัก ถ้าเป็นยาพิษเองเธอก็คงจะไม่มีวันมอบให้เขา
“ฉันให้ยาถอนพิษคุณได้แต่หลังจากนี้อย่ามายุ่งกับตระกูลมู่หรงอีก คุณคิดว่ายังไง?” ถึงแม้เธอจะพูดออกไปแบบนั้น แต่เธอเองก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องส่งคนมาตามดูเธอแน่ๆ เพียงแค่ว่าเธอไม่อยากให้ตระกูลมู่หรงต้องเจอปัญหา
“โอเค ผมสัญญา ผมไม่ทราบว่าสูตรยาของคุณมู่หรงอยู่ที่ไหนเหรอครับ? เราจะได้ส่งคนไปเอามา” ยังไงซะพวกเขาก็ต้องปล่อยพวกเธอไป ตระกูลมู่หรงมีตระกูลชางกวนคอยคุ้มครองอยู่ พวกเขาจึงไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ
“ไม่ต้อง ฉันจำทุกอย่างไว้ในหัวแล้ว ขอกระดาษกับปากกาด้วย ฉันจะเขียนสูตรยาให้คุณเอง”
ชายนัยน์ตาฟ้าส่งสัญญาณให้ลูกน้องหยิบปากกากับกระดาษมา มู่หรงเสวี่ยไม่ได้สนใจ เธอเขียนสูตรยาถอนพิษสำหรับยากลืนวิญญาณลงไป เธอไม่ได้เขียนไปมั่วๆ ทั้งหมดที่เธอเขียนเป็นสูตรยาของจริง อย่างไรก็ตามส่วนผสมไม่ใช่อะไรที่หากันได้ง่ายๆ สมุนไพรหลายตัวที่ต้องมีอายุมากกว่า 100 ปี
มู่หรงเสวี่ยส่งสูตรของเธอให้เขา “ฉันหวังว่าคุณจะรักษาสัญญาด้วย”
“แน่นอน” หลังจากที่ชายนัยน์ตาฟ้ารับกระดาษไป เขาก็อ่านสูตรอย่างระวัง ไม่แปลกใจเลยที่เห็นว่ายาต้องใช้สมุนไพรชั้นสูงเพราะยากลืนวิญญาณเองก็ต้องใช้สมุนไพรชั้นสูงในการทำด้วยเช่นกัน
“ตอนนี้ก็ปล่อยเพื่อนฉันได้แล้ว!” มู่หรงเสวี่ยมองไปทางเย่เฟิงที่ยังถูกมัดอยู่
ชายผมดำมองไปที่ชายนัยน์ตาฟ้าและรอจนกระทั่งเขาพยักหน้าจึงเดินไปแก้มัดเย่เฟิง
เย่เฟิงเดินมาอยู่ข้างๆมู่หรงเสวี่ยและจ้องไปที่คนที่อยู่ตรงหน้าอย่างระวัง
“ตอนนี้เราไปได้แล้วใช่ไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างนุ่มนวล
“ฮ่าฮ่า ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณมู่หรง ผมคิดว่าคุณคงไม่อยากที่จะยุ่งเกี่ยวด้วย ผมนี่ไม่รู้อะไรเอาซะเลย ผมจะพาคุณไปส่งนะครับ” ชายนัยน์ตาฟ้ายิ้มอย่างอ่อนโยนราวกับว่า มู่หรงเสวี่ยเป็นแขกที่เขาเชิญมา อื่ม เธออยากจะเขียนสูตรยาให้ในทันทีที่มาถึง เธอทนรออยู่นาน ตอนนี้เธอไม่ใช่ศัตรูแล้ว “ไม่ต้องไปส่งเราหรอกค่ะ เรากลับเองได้…” มู่หรงเสวี่ยพูดจบก็เดินออกไปพร้อมเย่เฟิง
ชายนัยน์ตาฟ้าไม่ได้ขัดอะไรเพียงแค่เดินออกมาส่ง ราวกับว่าอยากจะไปเต็มที่แล้ว “คุณมู่หรง ผมไม่ต้องไปส่งคุณจริงๆเหรอครับ?! ที่นี่ไม่มีรถเข้ามาเลย…” เขาไม่ได้หวังที่จะทำร้ายอะไรเพราะมู่หรงเสวี่ยเกี่ยวข้องกับตระกูลชางกวน ดังนั้นเขาเพียงแค่อยากที่จะทำดีกับเธอ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้กลัวที่จะต้องเข้าหาตระกูลชางกวน แต่มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่ถ้าเป็นศัตรูกับพวกเขา
“ไม่ต้อง” มู่หรงเสวี่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ชายนัยน์ตาฟ้าและกลุ่มคนรีบเดินออกไปให้ห่างจากพวกเขา เดาว่าพวกเขาคงไม่อยากมีปัญหาอีกในอนาคต
มู่หรงเสวี่ยมองไปรอบๆ ที่นี่รกร้างและไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เย่เฟิงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรติดต่อคนอื่น ตอนนี้พวกโจรลักพาตัวคืนโทรศัพท์ให้พวกเขาแล้ว
“นายหญิงน้อยครับ อีกเดี๋ยวจะมีคนมารับนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วง!” เย่เฟิงพูดกับมู่หรงเสวี่ย ไม่ว่าเขาจะทำงานได้ดีแค่ไหนแต่เขาจะต้องกลับไปรับโทษ
“ไม่เป็นไร” ครั้งนี้พวกเขาโชคดีและไม่ได้บาดเจ็บอะไรจริงจัง แต่มู่หรงเสวี่ยรู้สึกจริงจังกับความรู้สึกที่ว่าจะต้องแข็งแกร่ง
สิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ในตอนนี้คือการพัฒนาของแผนกเภสัชกรรมของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป เดิมทีเธออยากที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพออกมาให้เร็วที่สุดแต่ตอนนี้เธออยากที่จะชะลอไว้ก่อน ไม่งั้นถ้าทำอะไรเร็วเกินไปมันจะยิ่งกดดัน ในตอนนี้บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปยังไม่แข็งแรงพอที่จะแข่งขันกับความแข็งแกร่งของผู้นำทางการค้าจากทุกฝ่ายได้ ยิ่งไปกว่านั้นผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพที่เธอพัฒนาขึ้นก็จะดึงดูดพวกคนที่ไม่ดีมากเกินไปด้วย แค่ยาถอนพิษของยากลืนวิญญาณตัวเดียวก็ดึงดูดความสนใจของประเทศ B ได้แล้ว นี่ยังไม่พูดถึงสูตรดูแลสุขภาพที่เธออยากจะพักไปก่อนชั่วคราว
เวลาผ่านไปไม่นานก็มีรถเอสยูวีดัดแปลงขับเข้ามา
“พวกคุณไม่เป็นอะไรนะครับ?” เย่หลิวถามพร้อมทั้งลงมาจากรถ
“ไม่เป็นไร” มู่หรงเสวี่ยตอบ
เย่เฟิงเดินมาข้างหน้าแล้วถาม “นายมาที่นี่ได้ยัไง? ทำไมถึงไม่อยู่ข้างกายคุณชาย?”
“คุณชายยืนยันให้ฉันมาที่นี่ เดิมทีคุณชายอยากที่จะมาด้วยตัวเองแต่ท่านถูกนายท่านเรียกตัวด่วน ตอนแรกท่านขึ้นรถมาแล้วแต่แล้วก็ต้องกลับไป” เย่หลิวไม่เคยเห็นท่าทางตื่นกลัวของคุณชายมาก่อน คลื่นดำมืดของชางกวนโม่ทำให้เขาถึงกับสั่น
หัวใจมู่หรงเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างมาก เธอรู้สึกได้ถึงความสนใจของชางกวนโม่ที่มีต่อเธอและความรักของเขาด้วย ไม่นานมู่หรงเสวี่ยก็กลับมาถึงอะพาร์ตเมนต์และได้รับสายจากชางกวนโม่เพื่อถามถึงเรื่องความปลอดภัยของเธอ เธอเอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมาว่าตัวเองปลอดภัยดี เธออยากที่จะคลายความกังวลของชางกวนโม่แล้วพวกเขาก็คุยกันจนถึงดึก
อย่างไรก็ตามหลังจากเย่หลิวมาส่งพวกเขาแล้ว เขาก็อยู่ต่อไม่ได้นานเพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการและคุณชายอยากให้เขาเข้ามารายงานยืนยันด้วยว่านายหญิงน้อยไม่เป็นอะไรจริงๆ ถึงขนาดบอกให้เขาถ่ายรูปกลับไปให้ดูด้วย เขาพูดอะไรไม่ออก…แต่ก็ทำตามคำสั่งและถ่ายรูปของนายหญิงน้อยไปเพื่อคลายความกังวลของคุณชาย…เขาคิดว่าคงต้องใช้เวลาสักพัก แต่โชคดีที่นายหญิงน้อยให้ความร่วมมือและถ่ายรูปออกมาได้สวยมาก
วันต่อมามู่หรงเสวี่ยเข้าไปทำงานในเมืองราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น โชคดีที่เย่เฟิงอยู่ข้างๆเธอด้วย เย่เฟิงมีความสามารถหลายด้าน มู่หรงเสวี่ยบอกเย่เฟิงถึงความจริงที่ว่าเธอไม่ต้องการให้ช่วยอะไร
ดูเหมือนว่าทั้งสองจะเหมือนกันมากและเขาเองก็ต้องจัดการเรื่องงานคล้ายๆกันนี้ด้วยตอนที่อยู่กับคุณชาย ทั้งเธอและเขาจึงเป็นเจ้านายและลูกน้องตัวอย่างไปเลย
นอกจากนี้เพราะธุรกิจที่บริษัท มู่หรงเสวี่ยจึงไม่มีเวลาได้เตรียมแผนการแข่งขันความรู้ของวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเลย
เพราะไม่ได้ไปที่โรงเรียนมานาน เธอจึงได้รับสายของอาจารย์ใหญ่ที่บ่นเธออยู่นานเป็นชั่วโมง มู่หรงเสวี่ยต้องย้ำเพื่อให้เธอมั่นใจอยู่หลายรอบจนกระทั่งเธอผ่อนคลายความกังวลลง
ในวันนี้ อากาศสดใสและโรงเรียนได้จัดนักเรียนชั้นนำให้เดินทางมาถึงเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันระดับวิทยาลัยนานาชาติ ด้วยเหตุผลบางอย่างมู่หรงเสวี่ยแจ้งไปว่าเธอต้องมี เย่เฟิงมาด้วย เธอจึงพาเขามาที่งานประชุมของโรงเรียนด้วย นักเรียนและอาจารย์หลายคนต่างซุบซิบกัน จนสุดท้ายอาจารย์ฮวง อาจารย์ใหญ่ต้องเดินเข้ามา
“มู่หรงเสวี่ย การแข่งขันนี้ไม่อนุญาตให้พาคนนอกเข้ามาด้วยนะ” คุณฮวงขมวดคิ้ว ชายที่อยู่ข้างมู่หรงเสวี่ยมีสีหน้าเย็นชา เขาดูไม่ใช่คนที่ควรจะเข้าไปยุ่งได้ง่ายๆ มู่หรงเสวี่ยพาคนแบบนี้เข้ามาที่นี่ได้ยังไง
มู่หรงเสวี่ยพูดขอโทษด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คุณฮวงค่ะ หนูขอโทษนะคะ เขาเป็นบอดี้การ์ดของหนูและเขาต้องอยู่ข้างๆหนู อีกอย่างหนูสัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหาให้ทางโรงเรียนแน่นอนค่ะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเขาหนูจะเป็นคนจัดการเองค่ะ”
ถัดมาคือพวกนักเรียนที่ยังคงซุบซิบกันอยู่ ไม่ใช่เรื่องอื่นแต่เป็นเรื่องมู่หรงเสวี่ย หลังจากนั้นสักพักเย่เฟิงหันไปมองด้วยสายตาเย็นชาและทุกคนต่างก็ต้องเงียบ
ตลกล่ะ เขาจะปล่อยให้นายหญิงน้อยถูกนินทาแบบนั้นได้ยังไง? ถ้าไม่ใช่เพราะคนพวกนี้ยังเป็นเด็กนะเขาคงจะต้องสั่งสอนกันหน่อยแล้ว
คุณฮวงนึกถึงตัวตนของมู่หรงเสวี่ยและเขาก็ต้องกลืนคำพูดตัวเอง ถ้าเขาไม่อนุญาตเรื่องนี้แล้วมีอะไรเกิดขึ้นทางโรงเรียนคงจะรับความโกรธของตระกูลมู่หรงไม่ไหวแน่
“โอเคทุกคน หยิบกระเป๋าเตรียมขึ้นรถไปสนามบินกันได้แล้ว ระวังเรื่องความปลอดภัยกันด้วย พวกเธอจะไปไหนไม่ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต เข้าใจไหม?” คุณฮวงพูด ครั้งนี้นอกจากคุณฮวงที่เป็นอาจารย์ใหญ่และครูคนอื่นๆอีก ก็ยังมีหมอของทางโรงเรียนไปด้วย
ทางโรงเรียนจองตั๋วชั้นประหยัดให้นังเรียน แต่เย่เฟิงตัดสินใจจองตั๋วเฟิร์สคลาสไว้ให้นายหญิงน้อยเมื่อเขาได้ยินว่าเธอจะไปเมืองหลวง ดังนั้นมู่หรงเสวี่ยและเย่เฟิงจึงเดินไปที่ชั้น เฟิร์สคลาสด้วยสายตาอิจฉาของทุกคน เธอไม่ได้โง่นะ แน่นอนว่าเธอต้องอยากนั่งสบายๆอยู่แล้ว เธอไม่สนใจสิ่งที่คนอื่นพูดกันหรอก
หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยและเย่เฟิงเดินไป นักเรียนบางคนที่นั่งในชั้นประหยัดก็เริ่มนินทากันด้วยเสียงแผ่วเบา อย่างไรก็ตามพวกเขารู้สึกว่ามู่หรงเสวี่ยได้รับการปฏิบัติที่พิเศษ แน่นอนว่ามีบางคนที่ไม่ได้นินทาด้วย ยังไงซะพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกและก็ยังไม่มีอำนาจขนาดนั้นด้วย
เวลาผ่านไปนาน เครื่องบินก็มาถึงสนามบินเมืองหลวง นักเรียนเดินออกมาพร้อมกันที่ละสองหรือสามคนโดยมีอาจารย์เป็นคนดูแลอยู่ ในขณะที่มู่หรงเสวี่ยเดินออกมาและมีเย่เฟิงเดิมตามมา
ทันทีที่ออกมาจากสนามบิน ร่างที่ปรากฏเด่นชัดของชางกวนโม่ก็ดึงดูดสายตาของทุกคนได้ในทันที รวมทั้งมู่หรงเสวี่ยด้วย
ในสายตาของเหล่านักเรียนและอาจารย์จำนวนมาก เธอเดินอย่างมีความสุขเข้าไปหาเขา “พี่โม่ คุณมาได้ยังไงคะ?” นี่น่าประหลาดใจจริงๆ เธอไม่คิดว่าเขาจะมาเร็วขนาดนี้
ชางกวนโม่ถอดแว่นกันแดดออกและมองไปที่รอยยิ้มของมู่หรงเสวี่ย ในตอนนั้นเหล่าคนที่กำลังมองก็เหมือนกับว่าจะได้ยินเสียงลมหายใจอย่างชัดเจน “ก็มารับเธอไง ดีใจไหมล่ะ?!”