ประโยคนี้เอง ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเขินอายเล็กน้อย มันไม่ต่างอะไรกับการมองดูกันไปกันมา
หลังจากได้ยินแบบนี้ สีหน้าของหยานรัวหยูก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ฉินเฉิงก็รีบอธิบายว่า: “ฉันคิดว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจากไปแล้ว ใครจะรับประกันได้ว่าสำนักอูยานั่นจะไม่กลับมาอีก? สำนักหลิงตงของเธอสามารถต่อต้านพวกเค้าได้อย่างงั้นเหรอ?”
หยานรัวหยูก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอพูดขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจว่า: “นี่คุณฉินกำลังหมายความว่ายังไงกัน?”
ฉินเฉิงพูดว่า: “ฉันต้องการเอาสำนักหลิงตงมาอยู่ภายใต้สำนักของฉิน แน่นอนว่าเมื่อถึงตอนนั้น เธอจะได้เป็นรองเจ้าสำนักแล้วเธอก็จะเป็นคนจัดการทุกอย่าง เธอคิดยังไง?”
ดูเหมือนว่าหยานรัวหยูจะกำลังสับสนเล็กน้อย สำนักหลิงตงเองก็ไม่แข็งแกร่งจริงๆ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มันก็ไม่ปลอดภัยเลย
และสำนักชั้นหนึ่งส่วนมากในภาคเหนือก็ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลชั้นนำ ส่วนสำนักที่เป็นอิสระอย่างสำนักหลิงตงก็มีอยู่ไม่มาก
แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับฉินเฉิง แต่ยังไงก็ตามไม่ช้าก็เร็วสำนักหลิงตงก็จะต้องถูกกองกำลังอื่นเข้ามายึดครอง
แทนที่จะปล่อยให้คนอย่างเจ้าสำนักหวงเข้ามายึดครองมัน มันน่าจะเป็นการดีซะกว่าที่จะส่งมอบสำนักให้กับฉินเฉิง
อย่างน้อยที่สุด ฉินเฉิงคนนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าเจ้าสำนักหวง
เมื่อเห็นว่าหยานรัวหยูไม่พูดอะไร ฉินเฉิงก็โบกมือแล้วพูดว่า: “ฉันก็แค่คิดหนะ ถ้าเจ้าสำนักหยานไม่เห็นด้วย ก็ถือซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบ ฉินเฉิงก็ลุกขึ้นและจากไป
“เดี๋ยวก่อน!” ในตอนนี้เอง หยานรัวหยูก็เรียกให้ฉินเฉิงหยุด
“เจ้าสำนักหยานมีอะไรอีกเหรอ?” ฉินเฉิงถาม
หยานรัวหยูกัดริมฝีปากสีแดงของเธอ หลังจากลังเลอยู่ซักพัก เธอก็พยักหน้าแล้วพูดว่า: “ฉันสัญญา แต่ว่าการเปิดสำนักต้องใช้เงินนะ ช่วงหลายปีที่ผ่านมาสำนักหลิงตงเองก็ทำรายได้ๆน้อยมาก ดังนั้น…”
“เรื่องเงินก็ยกให้เป็นหน้าที่ฉันก็แล้วกัน” ฉินเฉิงพูดขึ้นมา ในใจเค้าดีใจมาก
หยานรัวหยูพยักหน้าเบาๆแล้วกระซิบว่า: “คุณฉิน สำนักหลิงตงมันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมี ฉันไม่อยากเห็นมันเสื่อมโทรม…”
ฉินเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า: “ให้เวลาฉันสิบปี ฉันจะทำให้สำนักหลิงตงกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในโลก”
สำนักอันดับหนึ่งของโลก?
นี่มันค่อนข้างเกินจริงไปหน่อย สำนักใหญ่ๆ พวกเค้าล้วนแล้วแต่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลชั้นนำไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องของทรัพยากรและความสัมพันธ์ พวกเค้าน่าจะไปถึงขีดแล้ว
แม้ว่าฉินเฉิงมีศักยภาพที่ดีในเรื่องของศิลปะการต่อสู้ แต่ดูเหมือนว่าด้านที่เหลือเค้าจะไม่ได้มีอะไรดีมาก
แน่นอนว่านี่เป็นความคิดของหยายรัวหยู ส่วนฉินเฉิงเองก็ไม่สามารถที่จะคาดเดามันได้เลย
“ขอบคุณมากนะ เจ้าสำนักหยาน” ฉินเฉิงคำนับ “ฉันต้องการเปลี่ยนชื่อสำนักหลิงตง ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักจะเห็นด้วยหรือไม่”
หยานรัวหยูก็พูดเบาๆขึ้นมาว่า : “เนื่องจากคุณเป็นเจ้าสำนักแล้ว สำนักหลิงตงนี่มันก็ขึ้นอยู่กับคุณ”
ฉินเฉิงดีใจ เค้ารีบพยักหน้าแล้วพูดว่า: “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำนักหลิงตงจะเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักฉินอย่างเป็นทางการ”
“สำนักฉิน?” หยานรัวหยูสึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอมองไปที่ฉินเฉิง
“ชื่อนี้มันไม่เพราะเหรอ?” ฉินเฉิงถาม
หยานรัวหยูก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “ก็เพราะดี”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ต่อหน้าของฉินเฉิง หยานรัวหยูก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย
ในตอนเที่ยง หยานรัวหยูก็ได้ประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
ท่าทีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าฉินเฉิงจะเข้ามาครองสำนักหลิงตงแล้วต่อไปสำนักจะต้องดีขึ้น
บางคนคิดว่าฉินเฉิงกับเจ้าสำนักหวงต่างก็เหมือนกัน ทั้งคู่ต่างก็มีความโลภและต้องการครอบครองสำนักหลิงตง
แต่ไม่ว่าพวกเค้าจะคิดยังไง สำนักหลิงตงแห่งนี้ก็กลายเป็นสำนักของฉินเฉิงไปแล้ว มันถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นสำนักฉิน
ในวันนี้เอง หยานรัวหยูก็ได้เปลี่ยนป้ายชื่อทั้งหมดให้กลายเป็นชื่อสำนักฉิน ตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่หน้าประตูสำนักมันก็ดูเป็นประกายเป็นอย่างมาก
ส่วนฉินเฉิงก็ไม่ได้รีบจากไป เค้าอยู่ที่สำนักฉิน ในตอนนี้ เค้าก็กำลังรอคอยการมาของฉื่อหยาน
ระยะเวลาสามวัน มันก็ผ่านไปในพริบตา
ฉินเฉิงก็นั่งที่ห้องโถงของสำนักฉินแล้วพูดขึ้นมาเบาๆว่า: “ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดของฉื่อหยาน มันจะสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของตระกูลซู”
ถ้าเป็นอย่างงั้น ฉินเฉิงก็ค่อยวางใจ
ฉินเฉิงต้องการผงาดขึ้นแล้วนำสำนักอูยาเข้ามารวมอยู่ในสำนักของเค้า แต่เค้ากลับรู้สึกว่าการกระทำของเค้ามันไกลเกินเอื้อม การที่จะไล่ตามตระกูลซูมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ในตอนนี้สำนักฉิน มันก็ผ่านมาแล้วกว่าครึ่งเดือน
ฉินเฉิงนั่งอยู่ใต้ต้นเชียนเทียน เค้าหลับตาลงแล้วทำจิตใจให้สงบ
อารมณ์ของเค้ามันกำลังเปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ ในใจของเค้า สิ่งที่มันปรากฎขึ้นก็คือฉากที่เต็มไปด้วยฝนเลือด
เมื่อเวลาผ่านไป ฉินเฉิงก็ค่อยๆยอมรับเส้นทางสายนี้
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน จิตของฉินเฉิงมันก็ค่อยๆดีขึ้น
พลังงานจิตวิญญาณในร่างกายของเค้าอยู่ที่ขีดสุด ดังนั้นในตอนที่จิตของเค้าสงบ ความแข็งแกร่งของฉินเฉิงมันก็ก็เพิ่มขึ้นในทันใด!
“ฮู้ววว!”
ลมหายใจออก เค้าก็ค่อยๆออกมาจากพลังนั่น จากนั้นดวงตาของเค้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดในทันที
“ขั้นของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นเก้าแล้ว” ฉินเฉิงยืนขึ้นแล้วพูดเบาๆขึ้นมา
“มันเป็นเพียงเส้นบางๆระหว่างจอมยุทธ์ก็เท่านั้น” ในใจฉินเฉิงก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ตราบใดที่เค้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตของจอมยุทธ์ได้ ฉินเฉิงก็มั่นใจว่าเค้าจะเอาชนะและบดขยี้ซูหยู่ได้อย่างแน่นอน!
เมื่อถึงเวลานั้น มันก็เป็นเวลาที่จะสร้างชื่อให้กับโลก!
ในตอนนี้เอง หยานรัวหยูก็เดินเข้ามาจากนอกประตู
หลังจากที่เห็นฉินเฉิง เธอก็พูดด้วยความประหลาดใจว่า: “คุณตื่นแล้วเหรอ”
ฉินเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย เค้ากวาดมองไปทางหยานรัวหยูแล้วถามว่า: “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
หยานรัวหยูครุ่นคิดอยู่ซักพัก จากนั้นเธอก็พูดว่า “หลังจากที่ต้นเชียนเทียนถูกเก็บออกจากบ่อน้ำพุแล้ว ลูกศิษย์ของสำนักฉินก็พัฒนาไวมาก ตอนนี้หลายคนก็ถึงขั้นสุดแล้ว บางคนก็ออกไปจากสำนักแล้ว”
ฉินเฉิงเงียบ หลังจากนั้นไม่นานฉินเฉิงก็พูดว่า: “ปัญหานี้ ฉันจะจัดการเอง”
หยานรัวหยูก็เอนตัวเล็กน้อย เธอดูราวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ
“ยังไงก็ตาม ฉันจะต้องใช้เวลาครึ่งเดือนในการจำศีล” ฉินเฉิงพูดว่า “ในช่วงครึ่งเดือนนี้ อย่าให้ใครเข้ามามารบกวนฉัน”
หยานรัวหยูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “เจ้าสำนักฉิน คุณก้าวข้ามแล้วเหรอ?”
“ไม่” ฉินเฉิงส่ายหัว “การพัฒนากำลังมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการเท่านั้น”
หยานรัวหยูต้องการถามอะไรบางอย่าง แต่ฉินเฉิงก็โบกมือขัดจังหวะหยานรัวหยู
หยานรัวหยูก็พยักหน้าแล้วเดินออกไป
ฉินเฉิงหลับตาลงอีกครั้ง จากนั้นแสงสีทองหลายดวงก็ระเบิดขึ้นในจิตของเค้า ทั้งหมดนี้มันเป็นเทคนิคระดับสูงสุด
สิ่งนี้ มันสามารถเขย่าโลกได้เลย
“ความสามารถในการควบคุมกายศักดิ์สิทธิ์กับหมัดของนักปราช์มันยังไม่เพียงพอ มันแค่พึ่งเริ่มต้นเท่านั้น” ฉินเฉิงคิดในใจ “ถ้ากายาศักดิ์สิทธ์กับหมัดของปราชญ์สามารถรวมกันได้ มันจะกลายเป็นพลังที่มีประสิทธิภาพมากอย่างแน่นอน”
แม้ว่าหมัดของนักปราชญ์จะเป็นเทคนิคระดับต่ำ แต่มันก็ดุร้าย ยิ่งร่างกายแข็งแกร่ง หมัดของนักปราชญ์ก็ยิ่งแข็งแกร่งตาม!
และกายาศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดขึ้นพร้อมกับร่างกายของฉินเฉิง หากหมัดของนักปราช์สามารถชกออกได้ด้วยกายาศักดิ์สิทธิ์ มันจะต้องแข็งแกร่งมาก
หลังจากนั้น จิตของฉินเฉิงก็แสดงการเคลื่อนไหวทีละอย่าง ทั้งหมดรวมเป็น 36 การเคลื่อนไหว มันซ้อนทับกันทีละเล็กทีละน้อย
แต่ละครั้งที่มันซ้อนกัน เทคนิคก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งชั้น
ในตอนนี้มันก็เป็นฤดูหนาวแล้ว
ในตอนที่การจำศีลของฉินเฉิงสิ้นจุด มันก็เป็นวันตรุษจีนแล้ว
และสำนักอูยาก็ฉวยโอกาสในวันตรุษจีนเริ่มลงมือ