ไป๋จิ่นอี้วางตัวสง่าผ่าเผยอย่างน่านับถือและพูดอย่างมีมารยาทมากว่า “สวัสดีพวกคุณครับ ผมคือไป๋จิ่นอี้ครับ” เขาสังเกตเห็นสายตาของผู้คนมากมายมองขึ้นมาข้างบนอย่างคาดหวัง สายตาจ้องมองอย่างกับต้องการมองตัวเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง
“พวกนี้เป็นเพื่อนทหารร่วมกองทัพของฉันมาก่อนน่ะ” ต้วนอีเหยากล่าวสั้นๆจากนั้นพูดกับฮัวเสี่ยวชุ่ยว่า “งานในร้านพรุ่งนี้เช้าค่อยมาเก็บกวาดก็ได้ เธอมีนัดกับแฟนไม่ใช่เหรอ รีบไปตามนัดเถอะ”
“ค่ะ เถ้าแก่” ฮัวเสี่ยวชุ่ยพูดอย่างตื่นเต้น
“พี่ใหญ่ไป๋ วันนี้ต้องรบกวนพี่หน่อยนะ แลกกับฉันเลี้ยงข้าวพี่เอง”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เป็นเรื่องที่ควรช่วยเหลือเพื่อนกันอยู่แล้ว อีกอย่างวันนี้ฉันว่างไม่ได้มีธุระที่ไหน” ไปจิ่นอี้พูดอย่างอบอุ่น เขามีนิสัยที่ดีมาก หน้าตาก็ดี ง่ายมากที่จะได้รับความชอบจากผู้อื่น
ชิงหลงแอบมองเขา คิดในใจอยู่หลายรอบ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัย? อาชีพนี้ฟังดูดีกว่าไอ้เด็กหน้าขาวนั่นก่อตั้งบริษัทเยอะเลย
ดังนั้นจึงมีไม่กี่คนที่ยังอยู่คุยกันและปิดร้าน ไป๋จิ่นอี้รู้ตัวเองดีว่าถ้าตามไปคงไม่เหมาะสม ดังนั้นล่างมือเสร็จเขาก็กล่าวลา แม้ว่าจะไม่ได้นัดทานข้าวกับต้วนอีเหยาในวันวาเลนไทน์ของจีนแต่กลับเข้าใจอดีตของเธอมากขึ้น
เดิมทีเมื่อก่อนเธอเป็นทหาร ไม่แปลกเลยที่หลังของเธอมักจะตั้งตรงเสมอไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรเธอก็ทำได้เรียบร้อย เมื่อเชื่อมโยงบทสนทนาของเหล่าทหาร น่าจะเพราะเธอได้รับบาดเจ็บที่หูดังนั้นจึงถูกปลดประจำการ
ต้วนอีเหยาไปร้านอาหารที่อยู่แถวนั้น ด้านในเต็มไปด้วยผู้คนจนแออัด
ช่วงเทศกาลส่วนใหญ่จึงเป็นคู่รัก ทุกคนปลดปล่อยความรักของตัวเองอย่างเต็มที่และป้อนอาหารกันจนหวานเลี่ยน
ต้วนอีเหยากวาดตามองหนุ่มสาวที่หน้าต่าง พวกเขาสวมเสื้อผ้าคู่รักน่ารักๆ หญิงสาวสวมที่คาดผมหูแมว ชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปให้ผู้หญิง ในบางครั้งทั้งสองคนก็ทำปากจู๋เข้าหากันอย่างน่ารักให้กับกล้อง
ต้วนอีเหยามองดูความสุขเล็กๆระหว่างคู่รักนั้นมุมปากก็ยิ้มเล็กน้อย ชีวิตที่เรียบง่ายอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
แต่ว่า ตั้งแต่เธอได้เริ่มเกิดมา ก็ถูกลิขิตไม่ให้ใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็อย่าไปอิจฉาชีวิตคนอื่นเลย
อยู่ๆในหัวของต้วนอีเหยาก็มีภาพของคนหนึ่งลอยเข้ามา ภาพในอดีตย้อนกลับมาทำร้ายจิตใจของเธอให้เจ็บปวด
ถ้าคนนั้นอยู่ข้างกายตัวเธอในวันนี้ เราอาจจะนั่งอยู่ข้างตู้กระจกนั่น สวมเสื้อผ้าคู่รักและถ่ายรูปเซลฟีกับเขาก็เป็นได้?”
แต่ก็เป็นเพียงความคิดเท่านั้น
จู่เชวี่ยปัดผมสองสามทีและเดินไปด้านเคาน์เตอร์ “เถ้าแก่ ห้องส่วนตัว”
“ครับ เชิญด้านในครับ…” เจ้าของร้านตอบอย่างสดใสและให้พนักงานนำทาง
หลังจากนั้น ภายใต้การนำทางของพนักงานต้วนอีเหยาและผู้ชายนับสิบเดินกรูกันเข้าไปนั้น เดิมทีร้านนี้ไม่ใช่ร้านใหญ่ก็ถูกทำให้แน่นขนัดขึ้น ดึงความสนใจของคู่รักมาไม่น้อย
“พี่ใหญ่ วาเลนไทน์พวกเราอยู่ด้วยกันแบบนี้ดึงดูดสายตาคนมากเลย” ขณะขึ้นบันได จู่เชวี่ยเดินตามด้านขวาของต้วนอีเหยาและหัวไปยิ้มให้เธอ
ต้วนอีเหยาเลิกคิ้ว“นี้อะไรกัน ทุกปีก็มีวาเลนไทน์สากล วันวาเลนไทน์จีน ทุกคนไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือไง?”
ใช่สิ เธอไม่เคยมีเทศกาลอย่างนี้และอยู่ด้วยกันกับแฟนในช่วงเทศกาลน่ะสิ
จูเชวี่ยได้ยินเธอพูดก็หัวเราะเยาะ
ชีวิตที่ต้องผ่านมาอย่างโชกโชนของกองทหารก็เป็นเหมือนค่ายคนโสด
กลุ่มคนเดินเข้ามาถึงห้องส่วนตัวและได้นั่งลงรอบๆโต๊ะกลมจากนั้นทุกคนก็ให้ต้วนอีเหยาเป็นคนสั่งอาหาร ต้วนอีเหยาสั่งซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานเสร็จก็ส่งเมนูอาหารให้คนอื่น ไม่นานอาหารอันโอชะก็มาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ
“ทุกคนขยับตะเกียบได้ !”
รออาหารได้ประมาณหนึ่งต้วนอีเหยาก็โบกตะเกียบทำลายบรรยากาศที่หยุดชะงัก เมื่อทุกคนเห็นว่าเธอนำคีบอาหารแล้วจึงลงมือตาม บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ค่อยๆคึกคักขึ้น
“พี่ใหญ่ ขอโทษนะ…” เมื่อมองคางเล็กบางของต้วนอีเหยา ชิงหลงก็อดไม่ได้ที่จะหยุดตะเกียบลง ภายในใจรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
แม้ต้วนอีเหยาจะไม่ได้ถือสาอะไร แต่ภายในใจของเขาก็ยังมีความรู้สึกละอายใจซ่อนอยู่ในนั้น เจอเธอคราวนี้ ตอนเรียกเธอ ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับแต่อย่างใด เขาจึงรู้ว่าเธอนั้นยังคงมีอิทธิพลต่อเขามาก
การตำหนิตัวเองของชิงหลงทำให้ความรู้สึกของคนที่อยู่รอบๆแย่ลงไปด้วยและวางตะเกียบลงตามๆกันไป
“ชิงหลง!”
ต้วนอีเหยาตะโกนใส่เขา จ้องมองและพูดอย่างจริงจังว่า “เรื่องที่ผ่านมามันเป็นอดีตไปหมดแล้วจะเอามาพูดถึงอีกทำไม!”
เห็นชิงลงยังโทษตังเองและรู้สึกละอายใจอยู่ ต้วนอีเหยาก็ถอนหายใจและพูดว่า “สถานการณ์ตอนนั้น แม้ว่าไม่ใช่นายทำก็ต้องเป็นคนอื่นทำและฉันก็จะช่วยเหมือนกัน นายไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรหรอก”
“พี่ใหญ่….”
กลุ่มพวกเขาต่างประทับใจกับคำพูดของต้วนอีเหยาและพากันพูดเกี่ยวกับชีวิตของเหล่าทหาร จากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆสมานฉันท์กันมากขึ้น
ทุกคนเริ่มดื่มเพื่อให้เกียรติแก่เธอ ต้วนอีเหยาอยู่กองทัพมาเป็นเวลานาน การดื่มเหล้าเริ่มดุเดือดมากขึ้น แต่ชิงหลงยังคงตกอยู่ภายใต้การปิดกั้นตัวเอง
……
หลังภูเขาและแม่น้ำ
เย่จิงเหยียนเดินช้าๆไปตามแนวแม่น้ำ ในมือเขาถือโคมไฟไว้และดอกบัวเล็กๆที่มีแสงไฟปรากฏอยู่
เดินๆไป ภาพของต้วนอีเหยาก็ปรากฏขึ้นมาในหัว เขาไม่เคยคิดเลยจริงๆว่าคนที่ตัวเองใฝ่ฝัน เขาจะหายสาบสูญไปจากโลกนี้และไม่มีทางที่จะได้พบเจออีก
ถ้าหากเขามีโอกาสอีกครั้ง….
เย่จิงเหยียนฝืนยิ้ม มันจะเป็นอย่างไรถ้าหากเขามีโอกาสอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่เพียงถ้าหาก
อยู่ๆก็มีลมพัดแรง โคมไฟอธิษฐานในมือเขาถูกลมพัดขึ้นลงไปมา เขารีบหัวตัวบังเปลวไฟทันที
แต่ไม่นานมันก็ดับและลมก็ยังคงแรงอยู่เหมือนเดิม เย่จิงเหยียนเม้มริมฝีปากด้วยความเสียดาย หรือว่าเธอจะรับรู้ถึงความรู้สึกของเขา
คิดมาถึงตรงนี้ เขารีบส่ายหน้าทันทีกลัวว่าตัวเองจะเป็นบ้าไป จึงรีบเดินไปที่ริมน้ำ ขณะกำลังจะลอยโคมอธิษฐานลงน้ำ สายตาเขาก็มองตัวอักษรที่เขียนอยู่บนนั้น : ขอให้คนที่ผมรักมากรอผม
รอ?
รอนานแค่ไหน?
หนึ่งเดือน หนึ่งปี สิปปี หรือมากกว่านั้น?
โคมอธิษฐานหมุนวนไปมาในน้ำล่องลอยไปตามสายลมโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น เย่จิงเหยียนใจลอยเล็กน้อย มือก็กวักน้ำอย่างว่างเปล่า เมื่อได้สติบนมือเขาก็เปียกชุ่มไปหมดแล้ว
“พี่จิงเหยียน พี่กลับมาแล้ว!” ต้วนจื่ออิ๋งเห็นเย่จิงเหยียนเดินกลับมาด้วยความสิ้นหวัง จึงรีบออกไปต้อนรับเขา
เย่จิงเหยียนเลี่ยงมือของต้วนจื่ออิ๋งและพยักหน้าอย่างขอไปที “อืม”
พูดจบก็เดินเข้าไปในบ้าน มือของต้วนจื่ออิ๋งค้างเติ่งอยู่ที่เดิมและยืนอ้ำอึ้งอยู่ตรงทางเดิน เธอรอให้เขาออกมาพบอีกครั้ง ในมือถือเหล้าและแก้วสองใบ
“ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
หน้าของต้วนจื่ออิ๋งบานเป็นดอกไม้ทันทีและวิ่งไปหาเขาอย่างคนบ้าและพยักหน้าพูดว่า “อืมอืม”
“พี่จิงเหยียน พี่เป็นอะไร?”
“พี่จิงเหยียน ทำไมพี่ไม่พูดล่ะ?”
“พี่จิงเหยียน…..”
ตั้งแต่เธอตกลงดื่มเหล้ากับจิงเหยียน ก็ไม่ได้ยินเสียงเขาสักพยางค์ ต้วนจื่ออิ๋งอดไม่ได้ที่จะอยากรู้เหตุผลจึงพูดพล่ามต่อหน้าเขาไม่หยุด
ตอนนี้เย่จิงเหยียนเอาแต่คิดถึงต้วนอีเหยาและเอาแต่ดื่มเหล้า ปิดกลั้นไม่รับฟังคำพูดที่อยู่ข้างหู
ต้วนจื่ออิ๋งพูดไปได้พักหนึ่งก็ยังไม่ได้คำตอบกลับมา เธอค่อนข้างน้อยใจจึงไม่ได้พูดต่ออีกและนั่งลงดื่มเหล้าข้างเขา
เหล้าในตู้เก็บเหล้าถูกย้ายออกมาหมด ขวดเหล้าเปล่าวางระเกะระกะอยู่ใต้เท้าของเย่จิงเหยียน
“มา ดื่มอีก”
เย่จิงเหยียนชูแก้วเหล้าไปมา สายตามองต้วนจื่ออิ๋งที่อยู่เบื้องหน้ากลายเป็นภาพเงาซ้อนสองคน เขาส่ายหัว พอเงาซ้อนทับกันพอดีกลายเป็นรูปลักษณ์ของต้วนอีเหยา
“อีเหยา?”
เขาโยนแก้วที่อยู่ในมือทิ้งและโผเข้ากอดต้วนจื่ออิ๋งและพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าว่า “คุณรู้ไหมว่าผมคิดถึงคุณ อีเหยา….”
“คุณเกลียดผมก็ได้ ทำไมต้องมาล้อเล่นกับผมอย่างนี้”
ต้วนจื่ออิ๋งทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกเย่จิงเหยียนกอดอย่างกะทันหัน แต่ก็ยังคงกอดเขาแน่นตบที่หลังเขาเบาๆและปล่อยไปตามคำพูดของเขา “ฉันไม่ได้เกลียดคุณ”
“จริงๆ ฉันไม่ได้เกลียดคุณ ฉันรักคุณ!”
เย่จิงเหยียนที่ซบอยู่บนตัวเธอได้ยินประโยคนี้ ก็ชะงักทันทีจากนั้นก็ร้องไห้ขึ้นมา “ผมก็รักคุณ…อีเหยา ผมก็รักคุณ….”
หยดน้ำตาร้อนไหลลงบนไหล่ของต้วนจื่ออิ๋ง อยู่ๆเธอก็รู้สึกเจ็บปวดใจ มีเพียงแค่ตัวเองที่ต้องสวมรอยคนอื่นเท่านั้นถึงจะได้ยินคำว่ารักจากเขา แต่เธอกลับหยิบยื่นความจริงใจออกมาวางไว้ตรงหน้าเขาด้วยความซื่อตรง
อีเหยา อีเหยา…..
เป็นชื่อที่ไพเราะจริง เธอรู้ไหมว่ามีคนอิจฉาเธออยู่? ไม่สิ อิจฉาเธอ อิจฉาเธอจนแทบจะเป็นบ้า !
เย่จิงเหยียนยังคงพึมพัมอยู่กับตัวเอง เทความคิดที่สะสมเอาไว้ออกมาจนหมด
“พี่จิงเหยียน พี่อย่าเสียใจไปเลย เธอไม่อยู่แล้วแต่พี่ยังมีฉันนะ….จื่ออิ๋งจะอยู่ข้างๆพี่เอง”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอรักเขา เธอตกหลุมรักเข้าตั้งแต่แรกพบ จะพูดอย่างไรดีล่ะ ความรู้สึกนั้นแปลกประหลาดมากๆ ถ้าไม่มีเขา…ไม่มีคำพูดใดๆของเขา ตลอดชีวิตเธอคงไม่ประสบกับ “ความรัก”และความรู้สึกอย่างนี้
เย่จิงเหยียนได้ยินไม่ชัดว่าเธอพูดอะไรเขาจึงพยักหน้าไปอย่างงั้น จนกระทั่งเขารู้สึกว่ามีเสียงงึมงำอยู่ข้างหูตลอดเวลา จึงอดไม่ได้ที่จะผละออกและใช้ปากประกบเข้าที่ปากของเธอ
“ตูม——”
อยู่ๆหัวของต้วนจื่ออิ๋งก็ระเบิดออกมา เธอไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะจูบเธอ เขาจูบตัวเธอเอง !
ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพราะต้วนอีเหยา เขารักเธอได้มากถึงขนาดนี้เลยเหรอ?
เธอไม่ทันได้มีเวลาคิดเรื่องนี้เพราะเย่จิงเหยียนกำลังบีบให้เธอเปิดริมฝีปาก ทั้งสองโอบกอดกัน ต้วนจื่ออิ๋งสลัดความคิดทั้งหมดทิ้งไปและโผเข้าหาจูบนี้ด้วยความเต็มใจ
เมื่อพบปฏิกิริยาเธอตอบกลับเช่นนี้ เย่จิงเหยียนจึงลืมตาขึ้นมาเล็กน้อยเห็นว่าคือต้วนอีเหยาจริงๆความตื่นเต้นและหวั่นไหวภายในใจนั้นก็ห้ามไว้ไม่อยู่
มือของจิงเหยียนสอดผ่านเสื้อผ้าของเธอ….
“อีเหยา!”
อยู่ๆการกระทำของเย่จิงเหยียนก็หยุดลง
“ฉันคิดถึงเธอ ฉันคิดถึงเธอจริงๆ….”
คาดไม่ถึงเลยว่าสายตาประหลาดที่สวยงามของเย่จิงเหยียนนั้นจะมีแสงสว่างเล็กๆกระจายอยู่ทั่ว เขากำลังร้องไห้?
ต้วนจื่ออิ๋งหยุดไปพักหนึ่ง สุดท้ายแล้วเขาก็รักผู้หญิงคนนั้นมาก เธออิจฉา…..
“ฉันก็คิดถึงคุณจิงเหยียน”
ต้วนจื่ออิ๋งตอบกลับ ครั้งแรกที่เธอไม่เรียกเขาว่าพี่ทั้งยังเอ่ยเรียกเขาเสียงเบา หากแต่เสียงนี้กลับเป็นเสียงที่เย่จิงเหยียนคิดถึงสุดหัวใจ
เขาขยับมือใหม่อีกครั้งและเขาก็บ้าคลั่งมากกว่าเดิม เร็วเกินไปแล้ว….
“ให้ผมนะ อีเหยา ผมต้องการคุณ….”
เย่จิงเหยียนเหมือนกำลังกล่าวคำขอ ทั้งสองใกล้ชิดลึกซึ้งกันมากขึ้น
ต้วนจื่ออิ๋งหลับตาลง รู้สึกวาบหวิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
กลางดึก ทั้งห้องอบอวลไปด้วยคนสองคนที่ผลัดกันลุกกันรับอย่างร้อนแรง แสงจันทร์นอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามาทำให้ผิวของพวกเขาเคลือบไปด้วยสีเงิน
เอาอย่างนี้เลยแล้วกัน เธอพร้อมที่จะกลายเป็นคนของเขาอย่างเต็มใจ แม้ว่าคนที่เขารักจะไม่ใช่เธอเองก็ตาม ต้วนจื่ออิ๋งคิด
“อืม……”
เย่จิงเหยียนใช้มือบังแสงจ้า “อื้อ” เขางัวเงียบิดขี้เกียจ
ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า !
สายตามองตามร่างกายตั้งแต่บนลงล่าง มีศรีษะซบอยู่ตรงหน้าอก เขาขยับร่างกายหัวนั้นก็ขยับตามไปด้วย
“อืม?”
“ทำไมเหรอ?” ต้วนจื่ออิ๋งเงยหน้า มองเย่จิงเหยียนอย่างงุนงง
แต่การแสดงออกในเวลานี้ของเย่จิงเหยียนเธอยังต้องตกใจมากกว่า เขาผลักหัวต้วนจื่ออิ๋งออก “ทำไมเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกันเรา?”
“จิงเหยียน….พี่…..”
ต้วนจื่ออิ๋งถูกเย่จิงเหยียนผลักเกือบตกเตียง เธอหอบผ้าห่มลุกขึ้นนั่งจ้องมองเขาอย่างน่าสงสาร
“พี่จำเรื่องเมื่อคืนได้ไหม? พวกเรา…..”
“พวกเราบนเตียง?” เย่จิงเหยียนพูดแทรกเธอและถามโดยไม่ลังเลเลย
เห็นต้วนจื่ออิ๋งปิดปากเงียบไม่พูดอะไร เย่จิงเหยียนก็เดาได้ประมาณหนึ่ง เขานวดหน้าผากที่ทั้งปวดและทื่อ เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
แต่เนื่องจากแอลกอฮอล์ยังหายไปไม่หมดและเขายังปวดหัวมากก็คิดไม่ออกว่าเกิดเรื่องนี้ได้อย่างไร
“พี่จิงเหยียน……”
ต้วนจื่ออิ๋งยื่นมืออกไปเพื่อกอดเย่จิงเหยียนแต่กลับถูกเย่จิงเหยียนเบี่ยงหลบ “เธอให้ฉันอยู่เงียบๆก่อน”
“ไม่เป็นไร พี่จิ่งเหยียน ฉันไม่…..” ว่าอะไร
“พอแล้ว ไม่ต้องพูด”
เย่จิงเหยียนกลัวว่าเธอจะพูดอีกจึงลุกขึ้นไปใส่เสื้อผ้าเสียเลย เสื้อผ้ากองอยู่ที่พื้น เขาหยิบมันขึ้นมาเขาขมวดคิ้วเป็นเลขแปด ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเหล้า!
เขาดึงเอาผ้าขนหนูออกมาจากตู้เสื้อผ้าพันรอบตัวเตรียมเดินออกไป พอเดินถึงประตูก็หันไปมองคนที่นั่งอยู่บนเตียง คิดอยากจะพูดบางอย่างออกไปแต่ก็เปลี่ยนไม่พูด
ต้วนจื่ออิ๋งกอดผ้าห่มด้วยความเศร้ามองเย่จิงเหยียนหยุดเดินรีบเงยหน้าอย่างแปลกใจปนดีใจแต่กลับมองเห็นแค่เพียงแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไป
ความอ้างว้างฉายอยู่ในแววตาหลังจากนั้นก็มีรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า เธอเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าควานหาอยู่สักพักก็หยิบกระโปรงออกมาสวมใส่
ไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อคืนเธอก็เป็นของเย่จิงเหยียนแล้ว !
ตามหาทั้งหมดของคฤหาสน์โนวาแล้วก็ไม่มีเงาของเย่จิงเหยียน ต้วนจื่ออิ๋งนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก จ้องมองไปที่พื้นบ้านอย่างหมดหวัง
ลานบ้าน เย่จิงเหยียนมองเมฆขาวบนท้องฟ้า ความรู้สึกนึกคิดมากมายในสมองเย่จิงเหยียนค่อยๆชัดเจนขึ้น คิดย้อนกลับไปเมื่อคืน เขาดื่มไปเยอะมาก เห็นต้วนจื่ออิ๋งเป็นต้วนอีเหยา…..
“เป็นอย่างนี้ได้ยังไง!” เย่จิงเหยียนยกมือขึ้นทุบไปที่พื้นอย่างหงุดหงิด เขาทรยศอีเหยาแบบนี้ได้อย่างไรและไม่มีจิตใจที่แน่วแน่แบบนี้ได้อย่างไรกัน!
คิดถึงต้วนอีเหยาที่จากไป เขาอยากให้ใครสักคนมาทุบที่หัวเขาแรงๆซ้ำๆ แต่ถึงจะทำอย่างนั้น ก็ไม่อาจทำให้เขาเจ็บปวดทรมาณขนาดนี้
เมฆบนท้องฟ้าที่กระจัดกระจายอยู่กลับมารวมก้อนกันอีกครั้ง แต่กลับทำให้ใจของเย่จิงเหยียนยิ่งว้าวุ่นขึ้น เขาพ่ายแพ้ พ่ายแพ้ให้กับเหล้าไม่กี่ขวด
“พี่จิงเหยียน!”
ประตูทางเข้า ต้วนจื่ออิ๋งยืนโบกมือให้เขาอยู่ตรงนั้น แม้ว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่น่าสบายใจเป็นอย่างมาก แต่เธอยังคงยิ้มอย่างสดใส
สายลมอ่อนผัดผ่านเข้ามา ต้วนจื่ออิ๋งเดินตรงเข้ามาหาเขา เย่จิงเหยียนผงะ อดกลั้นความคิดที่อยากจะพาตัวเองหนีออกไป
ต้วนจื่ออิ๋งชนเข้ากับอ้อมอกของเขาพอดี ไม่คิดเลยว่ามันจะไม่มีความรู้สึกอะไรเลยจริงๆและเย่จิงเหยียนที่เย็นชาใส่เธอตลอดไม่คิดเลยว่าจะกอดเธออยู่!
หยดน้ำตาที่อยู่หางตาเธอเอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เย่จิงเหยียนกอดเธอที่แขนมีร่องรอยของหยดน้ำตา อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เป็นอะไร?”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ฉัน….ฉันตื่นเต้นไปหน่อย”
เธอพูดอย่างติดขัด หยดน้ำตากลับไหลมากขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ เย่จิงเหยียนใจอ่อนและรู้สึกผิดต่อเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
“เธอสบายใจได้ ฉันจะรับผิดชอบเอง
“พี่พูดอะไร?” ต้วนจื่ออิ๋งคิดว่าตัวเองหูฝาดจึงถามด้วยเสียงสั่นเครือ
“ฉันจะรับผิดชอบ”
เย่จิงเหยียนช่วยจัดผมเธอ อยู่ๆภายใจในก็รู้สึกโหวงเหวง เขาทรยศอีเหยา จากนี้ต่อไปเขาคงจะไม่มีคุณสมบัติคิดถึงเธอด้วยซ้ำ
ต้วนจื่ออิ๋งอิงกายอยู่ในอ้อมกอดเขา สำหรับภายในใจของเขากลับไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งสิ้น เธอมีความสุขมาก ถ้าตั้งใจจริงทุกอย่างก็ทำให้สำเร็จได้ เธอ….สุดท้ายก็สำเร็จ!
แป๊ปเดียวก็เที่ยงแล้ว เย่จิงเหยียนอยู่ในห้องหนังสือตลอดไม่ออกมาเลยและต้วนจื่ออิ๋งยังคงเคลิบเคลิ้มอยู่ในวังวนความอบอุ่นของความสุขของพวกเขาสองคน
เธอเดินกลับไปที่ห้องครัว เตรียมลงมือทำอาหารมื้อเที่ยงให้เขา ในตู้เย็นมีอาหารมากมายเต็มไปหมดจนเธอตกตะลึงไปเล็กน้อย
ตอนนี้เธอลังเลอยู่หน้าตู้เย็นนานมาก เธอหยิบไข่มาสองสามฟองออกมาแล้วตีใส่ชาม เธอควบคุมแรงไม่ได้เศษเปลือกไข่ทั้งหมดจึงอยู่ในชาม
“ซวยแล้ว!” เธอตบหัวตัวเองแล้วรีบหยิบเอาตะเกียบมาคีบออกไป
ไม่นาน น้ำมันในกระทะก็ร้อน ต้วนจื่ออิ๋งรีบยกชามขึ้นอย่างพัลวัน ตาก็มองไฟในกระทะที่มันลุกขึ้นจึงรีบโยนถ้วยในมือทิ้งไป
“เพล้ง…..”
เย่จิงเหยียนอยู่ในห้องหนังสือได้ยินเสียงแตกจึงรีบวิ่งออกไป เปิดประตูกลิ่นฉุนจมูกก็ปะทะเข้าที่หน้าจนเขาต้องขมวดคิ้ว
ท่ามกลางควันหนาทึบ เขาตามกลุ่มควันไปจนหาห้องครัวได้สำเร็จ มีเงาของคนปรากฏที่อยู่ในกลุ่มควันด้านใน เขาลองเรียกหาเธอ “ต้วนจื่ออิ๋ง?”
“เฮ้….ฉันอยู่นี่ พี่จิงเหยียน!”
เงาคนขยับไปมา กอดเข้าที่แขนของเย่จิงเหยียนอย่างแม่นยำ เย่จิงเหยียนเอามือปิดจมูกและกำลังจะพาเธอออกไปจากห้องครัว “เธอทำอะไรเนี้ย?”
“ฉัน…..” ต้วนจื่ออิ๋งลอบมองที่ตาของเขา พูดอย่างกล้าๆกลัวๆว่า “ฉันจะทำอาหารให้พี่ทาน…”
“ที่นี่เธอไม่ต้องทำกับข้าว” เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วมองเขา แม้จะไม่ได้ทำหน้าดุ แต่น้ำเสียงนั้นเข้มมาก น้ำตาต้วนจื่ออิ๋งไหลลงตามแก้มของเธอ
“ฉันไม่ได้…..”
“เฮ้อ….” เย่จิงเหยียนถอนหายใจยาว แค่คิดก็รู้สึกเบื่อหน่ายมากแล้ว
ต้วนจื่ออิ๋งถือโอกาสใช้ช่องว่างนั้นมองตาเขา เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธตัวเอง สองแขนโอบรอบเอวเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
“พี่จิงเหยียน พี่อย่าโกรธนะ ฉันก็แค่อยากทำอาหารให้พี่ทาน”
“เธออยากกินอะไร ฉันจะเรียกป้ามาช่วยเธอทำ เธอเป็นอย่างนี้….”
เย่จิงเหยียนไม่ได้พูดต่อ เพราะเขาเห็นต้วนจื่ออิ๋งเริ่มเช็ดน้ำตาอีกครั้งก็รู้สึกจนปัญญา
รอให้ควันในห้องหายไป เย่จิงเหยียนก็เดินเข้าไปที่ห้องครัว กระทะที่อยู่ข้างในถูกเผาจนไม่เป็นรูปเป็นร่าง ยกกระทะขึ้นเปิดดู ก็มีถ่านก้อนดำๆนอนนิ่งอยู่ในนั้น
เย่จิงเหยียนหยิบตะหลิวที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา พยายามงัดมันขึ้นก่อนจะโกยเอาถ่านก้อนดำออกมาสอง สามก้อนแล้วใช้ชามรองเอาเศษถ่านและหันไปถามต้วนจื่ออิ๋ง “นี้คืออะไร?”
“คะ…..น่าจะเป็นไข่…..”
ถ้าจำไม่ผิด เธอแค่เทสิ่งนี้ลงไปเท่านั้น หยิบตะเกียบออกมาจิ้มๆแค่นั้นก็ไหม้เป็นก้อนดำแล้ว
“ที่นี่อยู่ไม่ได้แล้ว ออกไปทานข้าวเถอะ” เย่จิงเหยียนทิ้งตะหลิวและเดินตรงออกไปนอกห้องครัว ควันในห้องครัวทำให้เขาแสบจมูกจนต้องไอ
“อ้อ….”
ต้วนจื่ออิ๋งเดินตามหลังเย่จิงเหยียน เพิ่งเดินมาถึงที่ประตู สองพี่น้องมู่ยู่วฉีและเซียวอวี้หลิน พวกเขาเห็นเย่จิงเหยียนกำลังจะออกไปข้างนอกจึงอดสงสัยไม่ได้ “พี่ใหญ่ พี่จะออกไปข้างนอกทำไม?”
“ไฟใหม้ห้องในบ้านน่ะเลยจะออกไปทานข้าวข้างนอก” เย่จิงเหยียนบอกสั้นๆ ไม่ได้มองไปทางด้านต้วนจื่ออิ๋ง
“ไฟไหม้?” สองพี่น้องพูดขึ้นพร้อมกันและมองไปรอบๆบ้าน
เซียวอวี้หลินที่ตาแหลมคนมองเห็นต้วนจื่ออิ๋งที่ทำหน้าอมทุกข์อยู่ข้างหลังเขาจึงเข้าใจบางอย่างโดนเร็ว “ไม่ได้เป็นเธอทำไหม้ใช่ไหม?”
เย่จิงเหยียนไม่ได้พูดอะไร แต่กลับถูกคิดว่าเขายอมรับแต่โดยดี เซียวอวี้หลินเดินวนรอบตัวต้วนจื่ออิ๋ง “ไม่คิดเลยว่าเธอจะยังมีทักษะแบบนี้อยู่ นอกจากบ้านแล้วยังระเบิดอย่างอื่นได้อีกไหมนะ?”
“นาย….”
ต้วนจื่ออิ๋งถูกเขาพูดข่มจนพูดไม่ออก ทำได้เพียงจ้องมองอย่างโกรธแค้น
มู่ยู่วฉีตีเซียวอวี้หลินเบาๆ “ระวังหน่อย”
เมื่อคิดว่าที่นี่เป็นที่ของเย่จิงเหยียน เซียวอวี้หลิวก็ไม่ได้เก็บอาการแม้แต่น้อย “พี่ใหญ่ พวกเรามาหาพี่เพื่อจะทานข้าวด้วยพอดี อีกสองวันต้องไปเมืองหลวงแล้วและแน่นอนว่าต้องได้ทานอาหารอร่อย”
“ดูเหมือนว่าพวกนายจะคิดไว้แล้วว่าจะไปที่ไหน” เย่จิงเหยียนมองรถของสองคนที่เพิ่งขับมา ดูท่าเขาและต้วนจื่ออิ๋งจะนั่งได้พอดี
“งั้นไปกันเถอะ”
พูดจบก็ไม่ได้รอคำตอบของพวกเขา จูงมือต้วนจื่ออิ๋งเดินไปนั่งด้านหลังของคนขับ มู่ยู่วฉีและเซียวอวี้หลินสองพี่น้องมองหน้ากัน ต่างพากันเห็นความไม่น่าเชื่อในแววตาของอีกฝ่าย
เซียวอวี้หลินนวดไปที่หัว “พี่ไปสนิทกับเธอขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน?”
มู่ยู่วฉีที่เดินอยู่ข้างหน้าได้ยินเขาพูดจึงหยุดเดินและกางมือ “ฉันจะรู้ได้อย่างไร?”
บนรถ บรรยากาศชวนอึดอัดอย่างผิดปกติของทั้งสี่คน เซียวอวี้หลินและมู่ยู่วฉีทั้งสองนั่งอยู่ข้างหน้า ส่วนเย่จิงเหยียนพวกเขานั่งอยู่ข้างหลัง อธิบายไม่ถูกถึงความผิดปกติเหล่านี้
“เอ่อ งั้น…..”
“พี่ใหญ่ พี่ไปเก็บของที่เมืองหลวงแล้วใช่ไหม?” เซียวอวี้หลิวทนความอึดอัดไม่ได้จึงสุ่มหาหัวข้อมาเปิดประเด็นคุยกัน
เย่จิงเหยียนมองไปข้างหน้าและตอบโดยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร “ของอยู่ที่นั่นก็มี”
“เอ่อ….ก็……ก็ใช่ งั้นเตรียมข้อมูลของพี่ดีหรือยัง?”
จนเย่จิงเหยียนต้องลืมตามามองเขา “ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในคอมพิวเตอร์”
“ฮ่าฮ่า……งั้น…..ผมก็ยังไม่เข้าใจ” เซียวอวี้หลินแกล้งจี้มู่ยู่วฉีที่กำลังขับรถและขยิบตาให้เขา
“ทำอะไรเนี้ย?” มู่ยู่วฉีกำลังขับรถเพลินๆถูกเขาสะกิดอย่างแรง ก็โกรธขึ้นมาทันทีหลังจากนั้นก็เห็นสายตาแปลกๆของเขาและแรงก็ยิ่งอ่อนลงไปด้วย
เซียวอวี้หลินส่งสายตาให้เขา : นายพูดบ้างสิ !
เขารีบส่งสายตาตอบกลับเช่นกัน “ให้ฉันพูดอะไร?”
เซียวอวี้หลินมองอย่างโมโห : แล้วแต่นายสิ แค่ต้องไม่ให้อึดอัดก็พอแล้ว!
“พี่ใหญ่….งั้น ไม่เรียกเย่ชูวเสวียมาด้วยล่ะ?”
“แล้วแต่”
บรรยากาศเย็นลงอีกครั้งหลังเย่จิงเหยียนตอบกลับ
เซียวอวี้หลินล้วงเอาโทรศัพท์ออกมา หันกลับไปมองแวบหนึ่งอย่างกล้าๆกลัวๆและต่อสายหาเย่ชูวเสวีย
“เซียว อวี้ หลิน นายมีอะไรเหรอ?” เย่ชูวเสวียที่อยู่อีกด้านของโทรศัพท์ถามอย่างรำคาญ ตอนนี้เป็นเวลากินข้าวและตอนนี้ธุรกิจร้านขนมหวานก็เป็นไปได้ดี เขาถึงจงใจโทรมาในเวลานี้ เห็นได้ชัดเลยว่าโทรมาด่า
“ฮัลโหล ทำอะไรทำไมเสียงดังขนาดนั้น?” เซียวอวี้หลินแคะหูและพูดอย่างไม่โมโหว่า “พี่จิงเหยียนอยากให้ชวนเธออกมาทานข้าว เธอ…..”
“ให้เธอออกมาก็คือออกมา อย่าอ้างชื่อฉัน” เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วอดไม่ได้ที่จะดักทางคำพูดเขา
“อ้อ” เซียวอวี้หลินจึงเลิกหยิ่งและตอบด้วยเสียงต่ำ
“สรุปแล้ว ก็ถามเธอแหละว่าจะออกมามากินข้าวไหม”