เห็นได้ชัดว่าฉูเสี่ยวจิงไม่เข้าใจ ส่วนเว่ยชุน เธอก็มีความคิดมากมายอยู่ในใจของเธอ เธอรู้สึกเสมอว่าคำพูดของเว่ยชุนมันกำหนดชีวิตของเธอ
หลังจากนั้นไม่นาน รถก็มาถึงที่ยอดเขาหลงไห่
ทันทีที่รถจอด ก็มองเห็นเว่ยชุน เหล่าฟานกับคนระดับสูงอื่นๆที่ลงมาจากรถ
“นี่คือสถานที่ๆฉินเฉิงอาศัยอยู่จริงๆเหรอ มันยอดเยี่ยมมากจริงๆ” เว่ยชุนพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
“ไปกันเถอะ เราเข้าไปเจออัจฉริยะคนนี้หน่อย” เหล่าฟานก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
หลายคนเดินเข้าไปในคฤหาสน์ ทันทีที่พวกเค้าเข้าไปที่ประตู พวกเค้าก็มองเห็นฉินเฉิงกับฉูเสี่ยวจิงที่รอพวกเค้าอยู่ที่นั่น
“อาจารย์เว่ย!” ฉูเสี่ยวจิงยังเด็ก เธอก็พูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
เว่ยชุนพยักหน้าให้เธอ จากนั้นสายตาของเค้าก็จับจ้องไปที่ฉินเฉิง
“นายคือฉินเฉิงสินะ?” เว่ยชุนมองฉินเฉิงตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ในแววตาของเค้าเต็มไปด้วยความรักเอ็นดู
“สวัสดีครับอาจารย์เว่ย” ฉินเฉิงพูดอย่างสุภาพ “เชิญด้านในก่อนครับ”
“อืม!” เว่ยชุนหัวเราะ เค้าเห็นดีเห็นงามกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเค้า
แม้ว่าอายุจะยังน้อย ดูเหมือนว่าเค้าจะผ่านเรื่องราวมาไม่น้อยเลย แววตาของเค้ามันไม่เหมือนกับเด็กในวัยนี้เลย
หลังจากที่เดินเข้ามา ฉูเสี่ยวจิงก็กระซิบว่า: “อาจารย์เว่ยชุน คุณคือไอดอลของฉันเลย ช่วยเซ็นชื่อให้ฉันหน่อยได้ไหม”
เว่ยชุนก็หัวเราะขึ้นมา เค้าก็พูดขึ้นมาว่า: “แน่นอน”
ฉินเฉิงไปห้องหนังสือแล้วหยิบกระดาษกับปากกาออกมา เค้าส่งมันให้กับเว่ยชุน
เว่นชุนหยิบปากกาขึ้นมาแล้วเขียนชื่อของเค้าลงบนกระดาษ
แม้จะเป็นตัวอักษรเพียงแค่สองตัว แต่มันก็ไม่ธรรมดาเลย
“ขอบคุณอาจารย์เว่ย!” ฉูเสี่ยวจิงพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“เสี่ยวจิง ขึ้นไปเล่นข้างบนก่อน” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมา “ระวังหน่อยหละ อย่าทำหินแตกนะ”
“ได้!” ฉูเสี่ยวจิงพยักหน้าซ้ำๆ
หลังจากที่เค้าไปแล้ว ฉินเฉิงก็มองไปที่เว่ยชุนแล้วพูดว่า: “อาจารย์เว่ย คุณมาหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
เว่ยชุนยิ้มขึ้นมา เค้าหยิบ《จิ่วช่ายเทียร》 ที่เขียนโดยฉินเฉิงออกมาแล้วถามว่า “คุณเขียนสิ่งนี้อย่างงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว” ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูด
เว่ยชุนถอนหายใจออกมา: “มีความสามารถมากจริงๆ เธอฝึกเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันนี่มากี่ปีแล้ว?”
“มากกว่าสี่ปี” ฉินเฉิงตอบตามความจริง
ตอนปีสี่ที่มหาลัย ฉินเฉิงคิดค้นและประดิษฐ์ตัวอักษรด้วยพู่กันจีนเป็นงานอดิเรก แต่หลังจากที่เค้าเรียนจบ เค้าก็ไม่ได้ทำมันอีกเลย
จู่ๆเว่ยชุนก็ถอนหายใจออกมาเยือกใหญ่ เค้าอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า: “แค่สี่ปีก็ประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ มันน่าชื่นชมมากจริงๆเลย”
“ฮ่าๆ เหลาเว่ย เท่าที่ฉันรู้ ฉินเฉิงคนนี้ใช้เวลาเพียงแค่สองปีกว่าก็มาถึงระดับขั้นของมหาเจ้าแห่งพลังปราณใช่ไหม นี่มันเทียบไม่ได้กับการประดิษฐ์ตัวอักษรเลย” เหล่าฟานที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
เว่ยชุนไม่สนใจเรื่องศิลปะการต่อสู้อะไรเลย เค้าแสวงหาชีวิตที่เรียบง่าย ดังนั้นประโยคพวกนี้มันก็เลยไม่ได้ดึงดูดอะไรเว่ยชุนเลย
“ฉินเฉิง ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อคุณนะ แต่ฉันถูกหลอกครั้งแล้วครั้งเล่า” เว่ยชุนก็หันกลับมา “ช่วยเขียนมันต่อหน้าฉันอีกซักรอบจะได้ไหม”
“ได้สิ” ฉินเฉิงหยิบพู่กันขึ้นมา เค้ายืนขึ้นแล้วยิ้มอย่างสุภาพ: “อาจารย์เว่ย โปรดชี้แนะด้วย”
หลังจากนั้น ฉินเฉิงก็จุ่มมันลงไปในน้ำหมึกแล้วตวัดมันลงไปบนกระดาษ
ตัวอักษรเพียงแค่ไม่กี่ตัว มันทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกมันเป็นราวกับมังกร! การมองโลกในมุมมองใหม่กำลังจะมา!
เว่ยชุนอุทานขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า การเขียนแบบสบายๆเรียบง่าย แต่ก็มีขอบเขต มันน่าชื่นชมมากจริงๆ!
“อาจารย์เว่ย มันน่าเกลียด” ฉินเฉิงวางปากกาลงแล้วเอนตัวเล็กน้อย
เว่ยชุนรีบส่ายหัวแล้วพูดว่า: “ฉินเฉิง ถ้าคุณไม่เข้าสู่โลกของการประดิษฐ์ตัวอักษร นี่มันจะต้องกลายเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่!”
“อาจารย์เว่ย ยกย่องเกินไปแล้ว” ฉินเฉิงพูดขึ้นมา
เว่ยชุนก็เงียบไปซักพักแล้วพูดว่า: “ฉินเฉิง ฉันตั้งใจที่จะมาเชิญคุณไปที่ สมาคมพู่กันจีน คุณคิดเห็นยังไง?”
“นี่…” ฉินเฉิงขมวดคิ้วขึ้นมา จากนั้นเค้าก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า: “เกรงว่าน่าจะไม่ได้ ผมเองก็ยุ่ง ไม่มีเวลาเลย…”
“เฮ้ ฉินเฉิง ฉันคิดว่าสมาคมพู่กันจีนแห่งจิงตูเป็นสถานที่ๆยอดเยี่ยมไปเลยนะ” ในตอนนี้เอง เหล่าฟานก็โบกมือขึ้นมา
“ในวงกลมอักษร มันเต็มไปด้วยพลังฟ้าดิน มันทรงพลังมาก?” เหล่าฟานกำลังจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง
คิ้วของฉินเฉิงก็ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที
ตอนนี้เค้ากำลังวางแผนที่จะเข้าสู่เมืองจิงตู ถ้าเค้าสามารถพบปะผู้คนในระดับนี้ได้ นี่มันก็เป็นเรื่องที่ดีมากจริงๆ
ไม่ใช่ว่าฉินเฉิงจะต้องการขึ้นมาผงาดมากแค่ไหนก็ตาม แต่เพื่อจัดการกับความสัมพันธ์ของตระกูลซูในเมืองจิงตูแล้ว เค้าก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคนเหล่านี้
“แบบนี้หละกัน ฉันขอคิดเกี่ยวกับมันก่อน” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมา
“ยังจะมีอะไรให้คิดอีก!” เว่ยชุนพูดขึ้นมาด้วยความกระตือรือร้น “สมาคมพู่กันจีนเป็นเพียงสมาคมทั่วไปก็เท่านั้น มันไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย ฉันก็แค่ไม่อยากที่จะเสียคนที่มีความสามารถอย่างคุณไปก็เท่านั้น”
ฉินเฉิงลูบไปที่คางอยู่ซักพัก จากนั้นเค้าก็พูดขึ้นมาว่า: “ผมตกลงกับคุณได้ แต่ผมมีเงื่อนไข ผมไม่รู้ว่าคุณจะยอมตกลงไหม”
“พูดมาเลย!” เว่ยชุนโบกมือขึ้นมา “ตราบใดที่มันไม่ละเมิดหลักการของฉัน ฉันก็ตกลง!”
“ผมต้องการให้คุณยอมรับน้องสาวของผมเป็นลูกศิษย์ด้วย จะได้ไหม?” คนที่ฉินเฉิงกำลังพูดถึงก็คือฉูเสี่ยวจิง
เว่ยชุนตกตะลึงแล้วพูดว่า: “เด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้อย่างงั้นเหรอ?”
“เธอเป็นเด็ก ม หก ปีหน้าก็คาดว่าเธอจะได้ไปเรียนที่จิงตู ผมหวังว่าคุณจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเขียนพู่กันจีนกับเธอได้” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมา
เว่ยชุนหัวเราะแล้วพูดว่า: “มีคุณอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมาหาผมด้วย?”
ฉินเฉิงก็ถอนหายใจออกมา ใช่แล้ว เค้าเองก็สามารถให้คำแนะนำกับฉูเสี่ยวจิงได้
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องของตระกูลซู มันก็ไม่มีใครบอกได้ว่าต่อไปมันจะเป็นยังไง
เมื่อเห็นฉินเฉิงไม่ได้พูดอะไร เว่ยชุนก็โบกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ตกลง ฉันตกลง”
“ขอบคุณครับ อาจารย์เว่ย” ฉินเฉิงลุกขึ้นแล้วโค้งคำนับ จากนั้นเค้าก็ตะโกนเรียกฉูเสี่ยวจิงที่อยู่ชั้นบน
หลังจากนั้นไม่นาน ฉูเสี่ยวจิงก็วิ่งลงบันไดมา
“เรียกอาจารย์สิ” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมา
ฉูเสี่ยวจิงก็ตกตะลึง มันเห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่เข้าใจประโยคนี้เลย
“อาจารย์เว่ยชุน เค้าตัดสินใจรับเธอเป็นลูกศิษย์แล้ว” ฉินเฉิงก็หัวเราะขึ้นมา
ฉูเสี่ยวจิงก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เธอเอามือปิดปากแล้วพูดว่า: “จริงเหรอค่ะ…
“พี่ของเธอพูดมาแล้ว ฉันจะไม่ตกลงได้ยังไงกัน” เว่ยชุนก็หัวเราะขึ้นมา
“ขอบคุณ…ขอบคุณค่ะ พี่ฉินเฉิง! ขอบคุณอาจารย์ค่ะเว่ยชุน!” ฉูเสี่ยวจิงแทบจะพูดไม่ออกด้วยความตื่นเต้น
“รินชาให้อาจารย์ของเธอสิ” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมา
หลังจากไหว้อาจารย์แล้วฉูเสี่ยวจิงก็กลายเป็นลูกศิษย์ของเว่ยชุนอย่างเป็นทางการ
เดิมทีพวกเค้าก็ต้องการให้เว่ยชุนอยู่ต่อเพื่อทานอาหารค่ำ แต่เว่ยชุนก็ไม่ได้อยู่อะไรนานมากนัก หลังจากนั้นไม่นานเค้าก็ออกไปจากคฤหาสน์ไห่ซาน
หลังจากที่เค้าจากไปได้ไม่นาน โทรศัพท์มือถือของฉินเฉิงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
ฉินเฉิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นเค้าก็พบว่าคนที่โทรมาก็คือหยูเหม่ยเหริน
“พี่ฉิน ทำไมจู่ๆนายถึงติดต่อตระกูลหนูหละ?” หยูเหม่ยเหรินก็พูดขึ้นมาเรื่อยๆ แต่มันก็ยากที่จะต่อต้านได้
ฉินเฉิงก็พูดว่า: “ฉันทำทุกอย่างตามที่เธอของแล้ว อีกสองสามวันฉันจะส่งยาไปให้คุณ”
“อ่า ขอบคุณพี่ฉินมากนะ~” หยูเหม่ยเหรินก็พูดขึ้นมาอย่างเล้าโลม
ฉินเฉิงเงียบไปซักพักแล้วพูดว่า: “ฉันมีอีกอย่างที่อยากจะขอความช่วยเหลือจากเธอ”
“พี่ฉิน บอกฉันมาได้เลย~” หยูเหม่ยเหรินพูดขึ้นมาอย่างเล้าโลม
ฉินเฉิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ทันใดนั้นเองน้ำเสียงของเค้ามันก็เย็นชาลง: “ฉันต้องการรายชื่อตระกูลและบริษัททั้งหมดที่อยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลซู”