หลังจากนั้นอาเรียจึงไม่ขังตัวเองไว้ในห้องอีกต่อไป พลางออกมาเดินเล่นข้างนอกใช้เวลาอยู่กับมาร์เชอเนส
เนื่องจากมาร์ควิสเปียสต์ต้องเตรียมอบรมที่จะส่งมอบบรรดาศักดิ์ ส่วนโคลอีและคารินก็ต้องเตรียมงานแต่งงาน และเตรียมพร้อมสำหรับการอบรม ดังนั้นบุคคลที่พอจะมีเวลาเหลือก็มีแค่ไวโอเล็ต
แน่นอนว่าไวโอเล็ต จะต้องเตรียมตัวส่งมอบตำแหน่งมาร์เชอเนสอยู่แล้ว แต่เนื่องจากที่ผ่านมาเธอแทบจะไม่ได้รับผิดชอบอะไรในตระกูลดังนั้นจึงไม่มีอะไรจะสอนคารินเลย
ส่วนอาเรียแน่นอนว่าต้องเข้าร่วมงานแต่งงานกำลังจัดเตรียมของเพื่อจะเข้าร่วมงานแต่งงาน จึงมีเวลาที่จะพบกับไวโอเล็ตทำให้ทั้งคู่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากกว่าเก่า สามารถพูดคุยกันได้สบายกว่าครั้งแรก
“…ถ้าอย่างนั้น ก็หมายความว่าจะไม่เข้าร่วมงามเลี้ยงที่วังด้วยเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ แค่งานเลี้ยงที่รวมเหล่าบรรดาชนชั้นสูงก็อึดอัดมากแล้ว ยิ่งเป็นงานเลี้ยงที่รวมเชื้อพระวงศ์ฉันต้องทนอยู่ไม่ไหวแน่เลยจ้ะ”
“เคยประสบกับเรื่องไม่ดีมาก่อนอย่างนั้นเหรอคะ”
“ก็ไม่เชิงหรอก แค่ทนบรรยากาศเฉพาะแบบนั้นไม่ได้น่ะ บรรยากาศที่ตื่นเต้นและดุดันเช่นนั้น”
ไวโอเล็ตที่กำลังตอบแบบนั้นดูเหนื่อยล้ามากกว่าที่คิด ดูเหมือนว่าจะมีลักษณะนิสัยที่ไม่ค่อยทนสงครามประสาทกับผู้อื่นอยู่แล้ว
แต่ทำไมถึงคิดจะตั้งท้องโคลอีแล้วไปเลี้ยงแบบลับๆ ได้กันล่ะ บางทีสำหรับเธอแล้วนั่นอาจเป็นความมุ่งมั่นและการผจญภัยครั้งหนึ่งในชีวิตเธอที่จะไม่มีอีกเป็นครั้งที่สอง
อาเรียที่เข้าใจว่าไม่สามารถได้อะไรจากไวโอเล็ตอีกจึงได้แต่ยอมรับแล้วจบบทสนทนาลง
“อย่างนั้นเหรอคะ ขอบคุณนะคะ”
“กังวลว่าฉันจะเป็นฝ่ายทำให้เจ้าชายเดือดร้อนหรือเปล่าจ๊ะ”
สีหน้าไวโอเล็ตเผยความกังวลเล็กน้อย
เพราะจากประวัติที่ข่าวลือของหล่อนถูกเปิดเผยจนต้องถูกขับไล่จากวัง
หากความจริงที่ว่าหล่อนเป็นย่าของเธอเปิดเผยแน่นอนว่าจะต้องไม่เป็นเรื่องดีแน่
ทว่าอาเรียก็ไม่ได้กังวลแม้สักน้อย ไม่ใช่เธอเองหรอกเหรอที่เคยได้ยินคำด่าทอสารพัดนั้นมาก่อน อีกทั้งเธอยังไม่ใช่คนที่จิตใจอ่อนแอขนาดนั้น
ต่างจากเมื่อก่อนที่เคยโดดเดี่ยว ตอนนี้กลับมีกองทัพคอยหนุนหลัง
อาเรียเผยรอยยิ้มราวกับมั่นใจพลางส่ายหน้าพร้อมกับตอบ
“หนูดูอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
หากผู้ที่ไม่เคยพบมาก่อนมาเห็นอาจจะมองว่าเป็นรอยยิ้มที่ยโสโอหังมาก เป็นรอยยิ้มราวกับโอ้อวดว่าตัวเอาสามารถเอาตัวรอดในวังที่ขนาดไวโอเล็ตยังเอาชนะไม่ได้
ไวโอเล็ตเบิกตากว้างกับคำตอบของอาเรีย ส่วนอาเรียที่สบตากับสายที่ตกใจของเธอจึงได้แต่เผยสีหน้าแข็งทื่อ
หรือจะเป็นเพราะว่าไวโอเล็ตดูแลอาเรียให้สบายมากเกินไปหรือเปล่านะ เพราะไม่รู้ว่าคำถามพวกนั้นของเธอแสดงให้เห็นลักษณะนิสัยที่ซ่อนเร้นหรือเปล่า
“เปล่าหรอกจ้ะ ฉันแค่เป็นห่วงน่ะ เลดี้ไม่จำเป็นต้องรับความรู้สึกไม่ดีเหล่านั้นไว้หรอกนะ”
แต่ไวโอเล็ตกลับคิดต่างจากที่อาเรียเป็นห่วง แม้แต่ความโอหังของอาเรียไวโอเล็ตยังมองความโอหังของอาเรียด้วยความรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดู พลางตอบพร้อมกับมอบรอยยิ้ม*
ตอบด้วยสีหน้าที่เบาสบายราวกับรู้สึกวางใจ จนอาเรียที่กำลังกังวลอยู่รู้สึกอับอายไปเลยด้วยซ้ำ
“กลับกันลักษณะนิสัยของเลดี้ก็ดูกล้าหาญเช่นนี้ ฉันก็วางใจได้แล้วล่ะ หากจะเอาตัวรอดในวังก็ต้องมีความกล้าหาญประมาณนี้แหละนะ”
“…”
สิ่งที่จะได้รับจากเธอไม่ใช่แม้แต่ข้ารับใช้เท่านั้น แต่อาจจะได้รับคำนินทาเสียหัวเราะเยาะด้วยซ้ำยังยิ้มออกอยู่หรือนี่
อาเรียได้แต่กะพริบตาปริบๆ ไม่ได้ตอบอะไร ไวโอเล็ตจึงพูดต่อ
“ไม่รู้ว่าจะเป็นคำขอร้องที่หน้าไม่อายหรือเปล่า แต่ในตอนที่เลดี้จะแต่งงานได้โปรดส่งบัตรเชิญมาให้ฉันได้ไหมจ๊ะ แม้จะไม่ได้ไปเข้าร่วมก็ตาม แต่ฉันก็อยากได้เป็นที่ระลึกน่ะ”
“…ทำไมถึงกล่าวว่าจะมาเข้าร่วมไม่ได้ล่ะคะ”
“เพราะอาจจะมีคนยังจำใบหน้าฉันอยู่น่ะ จะเข้าร่วมงานได้อย่างไรกัน มันจะไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้น แต่ตัวเลดี้เองก็จะโดนนินทาไปด้วยนะ”
ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตามยังอยากจะเก็บบัตรเชิญเพื่อเก็บไว้อย่างนั้นเหรอ
ถ้าอยากร่วมงานก็แค่มางานเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ สีหน้าที่ดูเสียดายของหล่อนทำให้อาเรียขมวดคิ้วแน่น
“หากหนูทำให้ท่านต้องเป็นกังวลล่ะก็ อยากจะบอกให้ทราบว่ามันเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์นะคะ อย่างที่ได้บอกไปว่าหนูไม่ใช่คนที่อ่อนแอขนาดนั้นหรอกค่ะ”
ดูท่าหล่อนจะไม่รู้ว่าอาเรียจะพูดแบบนั้นได้ ไวโอเล็ตเบิกตาโตพร้อมกับเผยสีหน้าตกใจ
“ยิ่งไปกว่านั้นหนูไม่คิดจะแต่งงานสองครั้งเหมือนท่านแม่หรอกค่ะ จะไม่มีโอกาสอื่นแล้วนะคะ”
ได้แต่กังวลเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นจนมัวแต่เก็บตัว สิ่งที่อยากดูก็พยายามอดทนไม่เข้าร่วม แน่นอนอยู่แล้วว่าไวโอเล็ตจะต้องเสียใจภายหลัง
ไวโอเล็ตได้แต่มองริมฝีปากของอาเรียขยับไปมาไม่ได้พูดอะไรตอบ
ทำไมถึงพูดเรื่องแบบนั้นได้กันนะ แค่เมินไปก็ได้นี่นา บางทีตามที่ไวโอเล็ตพูด ถ้าเธอไม่เข้าร่วมงานอาจจะไม่มีคำพูดอื่นตามหลังมาก็ได้ ทำไมถึงพูดเรื่องนั้นขึ้นมากันนะ
แต่ทว่าไม่สามารถทำเมินเฉยราวกับเป็นเรื่องของคนอื่นตามที่คิด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้พูดคุยกันแม้จะเป็นเวลาที่ไม่นานก็ตาม
“…อย่างนั้นสินะจ๊ะ”
จากนั้นจึงนึกสีหน้าของไวโอเล็ตที่เผยรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้น หรือเป็นเพราะเอาชนะด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แต่ก็เข้าใจความรู้สึกภายในใจของอาเรียอย่างนั้นเหรอ
“เลดี้ช่างเป็นคนที่น่ารักน่าชังจริงๆ เลยนะ”
….ทำไมถึงได้ทิ้งท้ายแบบนี้กันล่ะ
ไม่ว่าจะพูดอะไรหรือทำอะไร ไวโอเล็ตก็ส่งยิ้มมาให้เธอเสมอ อาเรียจึงขมวดคิ้วอีกครั้ง
เพราะสำหรับอาเรียแล้วนั่นการตอบรับที่แปลกใหม่มาก
* * *
ไม่กี่วันถัดมา ในที่สุดงานแต่งงานของโคลอีทายาทของมาร์ควิสเปียสต์และคารินก็ถูกจัดขึ้น บรรดาชนชั้นสูงต่างดีใจว่าในที่สุดมาร์ควิสก็สามารถพักผ่อนได้แล้วจึงมาร่วมแสดงความยินดีในงานแต่งงานด้วย
แน่นอนว่ายังมีบุคคลอื่นที่ไม่ได้จะมาเข้าร่วมเพียงเพื่อแสดงความยินดีเท่านั้น
ยังมีผู้ที่มาร่วมงานเพราะสงสัยอยากทราบตัวตนของทายาทที่เก็บซ่อนตัวมาตลอดว่าเป็นใคร แล้วใครคือมาร์เชอเนส
หรือจะเป็นไปตามข่าวลือว่าไวโอเล็ตที่ถูกขับไล่ออกจากวังจะเป็นมาร์เชอเนสจริงๆ แล้วโคลอีที่เธอคลอดออกมาก็คือลูกนอกสมรส
เหล่าบรรดาชนชั้นสูงต่างเข้าร่วมงานด้วยความสงสัยอยู่เต็มอก แต่เมื่อได้เห็นบุคคลที่คาดไม่ถึงกลับตกตะลึงกันถ้วนหน้า
“…ใครนะคะ”
“ดวงดาวแห่งอาณาจักรอย่างนั้นเหรอ… อาเรีย โรสเซนต์”
“อยู่ไหนกันล่ะ”
“อยู่นั่นไง ตรงนั้นน่ะ”
หนึ่งในบรรดาชนชั้นสูงชี้ไปที่อาเรียด้วยพัดของหล่อน
ที่ตรงนั้นจะบอกว่าเป็นตัวเอกในวันนี้ก็ดูไม่ผิดแปลกไปเลย เพราะอาเรียที่แต่งตัวมาอย่างสง่างาม
หล่อนคืออาเรีย โรสเซนต์ในข่าวลืออย่างนั้นเหรอ ในราชอาณาจักรโครอามีแค่ชื่อที่เป็นที่กล่าวขานกันเท่านั้น เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ทุกคนที่ไม่เห็นอาเรียเป็นอันต้องจ้องมองจนสติแทบหลุดลอย
อาเรียที่รู้สึกได้ถึงสายตาเหล่านั้นพยายามเก็บสีหน้าและวางตัวอย่างสง่างาม ดูเหมือนจะกังวลว่าคารินอาจจะโกรธภายหลัง
“…. ด้วยชื่อเสียงและความงามของเลดี้มัดใจเหล่าชนชั้นสูงในโครอาเสียแล้วล่ะค่ะ”
ไม่รู้ว่าทราบหรือไม่ทราบจริงๆ ไวโอเล็ตได้แต่เผยสีหน้ามีความสุขและกระซิบเบาๆด้วยความเพลิดเพลิน ดูท่าจะชอบใจที่อาเรียได้รับความสนใจ
มาร์ควิสเปียสต์ที่อยู่ข้างๆพยักหน้าเห็นด้วยราวกับพอใจที่เห็นรอยยิ้มของไวโอเล็ตเช่นกัน บุคคลที่ถูกเปิดเผยตัวตนคือไวโอเล็ตนี่นา ทำไมเธอถึงได้รับความสนใจล่ะ
“ยินดีด้วยนะครับ มาร์ควิสเปียสต์”
“ไม่ใช่ท่านเคานต์รินท์หรอกเหรอ”
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังรอที่จะพูดคุยกับอาเรีย ก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้าไปพูดคุยกับมาร์ควิสเสียก่อน ทว่าสายตาของเขากลับมองไปที่อาเรีย
“ผู้นี้ไม่ใช่คนสำคัญในวันนี้หรอกหรือ…”
ท่านเคานต์รินท์พูดประโยคจบอย่างไม่ชัดเจน เผยสีหน้าราวกับรอคอยให้อาเรียแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
เนื่องจากไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไรมาร์ควิสจึงผายมือไปที่อาเรียจากนั้นทำการแนะนำตัวให้
“นี่อาเรีย หลานสาวของผมครับ อาเรีย เปียสต์ครับ”
มาร์ควิสเปียสต์พูดเน้นย้ำราวกับบอกเป็นนัยว่าอย่าเรียกนามสกุลของอาเรียเป็นโรสเซนต์
“เป็นเพราะเติบโตนอกราชอาณาจักรจึงได้มาพบกันตอนนี้”
และยังอธิบายต่อราวกับไม่อยากให้ถามเหตุผลอย่างอื่นต่อ
เป็นเพราะปกติแล้วรู้จักกับมาร์ควิสเปียสต์ ท่านเคานต์รินท์จึงรู้ว่าคำพูดของเขาหมายถึงอะไรจึงไม่พูดเรื่องไร้สาระอะไรต่อ
“ยินดีที่ได้พบนะครับ เลดี้อาเรีย เปียสต์”
จากนั้นจึงทำความเคารพอาเรียอย่างนอบน้อม* ราวกับต้อนรับเธอเป็นส่วนหนึ่งในราชอาณาจักรโครอา
“ที่ผ่านมาราชอาณาจักรเราถูกอาณาจักรอื่นชิงตัวเลดี้ไปก็เจ็บปวดมามากพอแล้ว ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง”
ราวกับเป็นกระบอกเสียงความในใจของท่านเคานต์รินท์ ทันใดนั้นก็มีเสียงใครคนหนึ่งโห่ร้องออกมาชื่นชมอาเรียพร้อมกับปรากฏตัวขึ้น
“ฝ่าบาท!”
ไม่ใช่ใครอื่นใดแต่เป็นโรฮัน
เขาเผยสีหน้าราวกับโอ้อวดพลางเดินแหวกบรรดาผู้คนที่กำลังโค้งคำนับเขาเดินเข้าไปหาอาเรีย
“ถ้าอย่างนั้นได้โปรดอยู่ที่ราชอาณาจักรโครอานานๆ เถิด เลดี้เปียสต์”
โรฮันพูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหมายพลางจุมพิตที่หลังมือของอาเรีย
อาเรียผละมือออกอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับส่งรอยยิ้มที่มีเสน่ห์
“ไม่รู้สิคะ ขออภัยด้วยนะคะ อีกเดี๋ยวดิฉันจะต้องกลับเข้าวังแล้วล่ะค่ะ เพราะว่ามีคนรอดิฉันอยู่น่ะค่ะ”
ทว่าน้ำเสียงช่างเย็นชา
โรฮันที่แสดงท่าทางไม่พอใจ ยกยิ้มมุมปากพร้อมกับเริ่มพูดเหน็บแนม
“ตอนนี้มกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรก็ได้ทุกอย่างไปแล้ว จะปล่อยเลดี้ไว้ที่โครอาก็ได้แล้วล่ะสิ”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาที่ฝ่าบาทจะต้องทราบนะคะ”
“อย่างนั้นสินะ ทว่านานแล้วที่คนในครอบครัวจะได้พบปะกัน หากกลับไปอย่างเย็นชาเช่นนี้ไม่สงสารพวกเขาหน่อยเหรอ”
โรฮันพูดพร้อมกับชี้ไปยังมาร์เชอร์เนส ดูเหมือนว่าเขาจะใช้มาร์ควิสและมาร์เชอร์เนสเพื่อจะรั้งอาเรีย
แล้วก็เป็นไปอย่างที่โรฮันหวัง ไวโอเล็ตกลบเกลื่อนสีหน้าน้อยใจนั้นไม่ได้พยายามยิ้มออกมาพร้อมกับพูด
“ตอนนี้อีกไม่นานเลดี้ก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว มันผ่านช่วงเวลาที่จะถูกขังในอ้อมอกครอบครัวแล้วล่ะค่ะ”
“ใช่ ผมหมายความอย่างนั้นเลยล่ะ ตอนนี้ใกล้จะเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตกับครอบครัวได้แล้ว เลยจะถามว่าต้องรีบจากไปขนาดนี้เลยหรือน่ะสิ”
โรฮันพูดอย่างฮึกเหิมราวกับตนเองเป็นฝ่ายชนะ ดูเหมือนเขาจะคิดว่าหากพูดอื่นนอกจากเรื่องครอบครัว อาเรียจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
อาเรียกำลังจะอย่างเย็นชาว่าครอบครัวมันคืออะไรถึงได้สำคัญขนาดนั้นพร้อมกับกับหัวเราะเยาะ ทว่าแปลกที่ไม่กล้าจะพูดคำพูดพวกนั้นออกมา
“ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยก็อยู่จนกว่าจะถึงวันเกิดจะดีไหมครับ เลดี้อาเรีย เปียสต์ อย่างไรเสียก็เหลือไม่กี่วันนี่นา”
“…”
“ไม่รู้ว่านี่จะเป็นโอกาสในการใช้เวลาวันเกิดไปกับครอบครัวที่แท้จริงครั้งสุดท้ายหรือเปล่านะครับ เพราะในอนาคตเลดี้ต้องออกไปใช้ชีวิตกับเจ้าชาย บรรยากาศอาจจะต่างออกไปนะครับ”
ทำไมถึงได้พูดแต่คำที่ทำให้เธอต้องกังวลด้วยนะ
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเขากับเล่นตลกเพื่อไม่ให้เธอใช้เวลาในวันเกิดร่วมกันกับอาซ แต่เธอก็อดหัวเราะออกมาพร้อมกับพูดตัดประโยคเขาไม่ได้
เพราะจากคำพูดที่บอกให้อาเรียอยู่ฉลองวันเกิดที่โครอาทำให้ไวโอเล็ตเผยสีหน้าแดงก่ำ
“ก็… เพียงแค่แนะนำว่าหากทำเช่นนั้นน่าจะดีกว่าเท่านั้นเองครับ อย่าใส่ใจมากเลยครับ ขอแสดงความยินดีสำหรับงานแต่งงานของโคลอี บุตรชายของท่านด้วยนะครับ มาร์ควิสเปียสต์”
โรฮันที่รู้ทันว่าตอนนี้อาเรียกำลังกังวลหนักเสียแล้ว จึงพูดสิ่งที่เขาอยากพูดด้วยสีหน้าเพลิดเพลินจากนั้นจึงเดินไปที่อื่น
“ไม่ต้องสนใจไปเลยค่ะ เลดี้อาเรีย เพราะการที่เลดี้ได้ทำตามที่ต้องการทำให้ฉันมีความสุขที่สุดเลยล่ะจ้ะ”
คำพูดของไวโอเล็ตทำให้เธอคิดมากยิ่งกว่าเดิม แท้จริงแล้วคำว่าครอบครัวมันคืออะไรกันแน่ ทำไมถึงได้ทำให้เธอต้องคิดมากขนาดนี้กัน
สายตาของอาเรียที่ขมวดคิ้วแน่นมองไปยังข้ารับใช้ที่อาซส่งมาติดตัวเธอ
เนื่องจากหากเป็นไปตามที่โรฮันพูดว่าวันเกิดครั้งนี้ต้องฉลองที่โครอา เธอจะต้องส่งจดหมายไปให้อาซอย่างไรล่ะ
……………