CLS ตอนที่ 281: ไม่ พวกเจ้านั่นแหละที่ต้องตาย
คนที่เตะหลี่ห้าวกระเด็นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอี้เทียนหยุน เขาไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับจัดการเตะหลี่ห้าวกระเด็นไป แรงที่ใช้เตะออกไปนั้นแรงมาก อย่างน้อยก็กลัวว่าเอวของหลี่ห้าวจะหักไปทั้งอย่างนั้นเลย
“แน่นอนว่าเป็นข้าอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็นใครได้อีก?” อี้เทียนหยุนยิ้ม โชคดีที่มาทัน ไม่อย่างนั้น ผู้หญิงคนนี้คงต้องถูกหลี่ห้าวจับตัวไปจริงๆ แล้ว
“แต่ แต่เขาเป็นคนของอาณาจักรใต้พิภพ…..” ผู้หญิงคนนี้ตกใจ คงที่กล้าลงมือกับคนของอาณาจักรใต้พิภพอย่างนี้ นอกจากชายหนุ่มคนนี้แล้ว เธอก็ไม่เคยเห็นใครอีก!
เผ่าภูตก็เช่นกัน เพราะว่าถูกอาณาจักรใต้พิภพโจมตี ดังนั้นจึงได้ทำการต่อต้าน จะไปกล้าลงมือก่อนที่ไหน แต่ชายหนุ่มตรงหน้านี้กลับตรงกันข้าม เขาจัดการถีบผู้เชี่ยวชายระดับผันแปรวิญญาณซะกระเด็น พลังของเขาร้ายกาจมาก!
“ไอ้ลูกสำส่อน เจ้ากล้าเตะข้าอย่างงั้นเหรอ!” หลี่ห้าวเอามือยันพื้น เพราะกระดูกหักไปหลายท่อน ทำให้ยากที่จะฟื้นฟูได้ในทันที ทำให้เขาต้องสูดปาก พร้อมกับหยิบเม็ดยาใส่ปาก เพื่อช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บในร่างอย่างรวดเร็ว
“เตะเจ้าแล้วทำไม? ใครใช้ให้เจ้าขวางทางล่ะ ไม่รู้หรือไงว่าประตูมันเล็กน่ะ?”
อี้เทียนหยุนลืมตาพูดเหลวไหล ประตูออกจะใหญ่จนน่าตระหนก ต่อให้คนยืนเรียงแถวหน้ากระดานเดินพร้อมกันก็ไม่ใช่ปัญหา นี่เพราะเขาต้องการเตะหลี่ห้าวชัดๆ ยังจะหาข้ออ้างอีก
“เจ้าหนู ดูเหมือนว่าสุราคารวะจะไม่ชอบ ชอบสุราจับกรอก แค่แข็งแกร่งนิดหน่อยแล้วคิดจะทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามอย่างงั้นเหรอ หัดดูความสามารถตัวเองซะบ้าง ลอบโจมตีอย่างนี้ นับว่ามีความสามารถอะไร!” หลี่ห้าวคำรามออกมาอย่างเดือดดาล ในมือพลันปรากฏยันต์ขึ้นหลายแผ่น เขาเป็นถึงระดับต้าซือ การที่จะมียันต์ติดตัวไม่ใช่เรื่องแปลก
เขาทำการแปะยันต์ลงบนร่าง พริบตา ร่างของเขาก็เปล่งแสง พร้อมกับเพิ่มพลังขึ้นในพริบตา ไม่ว่าจะความเร็ว หรือพลัง เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว!
“ปัง!” หลี่ห้าวกระทืบพื้น พร้อมกับกระโจนเข้ามา ดูแล้วเหมือนกับไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน ภายใต้ผลการรักษาของเม็ดยากับยันต์ ทำให้อาการบาดเจ็บไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา
“หนีเร็ว!” หญิงสาวหน้าเปลี่ยนสี ลากอี้เทียนหยุนหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
เธอไม่คิดว่าอี้เทียนหยุนจะจัดการกับหลี่ห้าวได้ เธอคิดเหมือนกันกับหลี่ห้าวนั่นแหละ ถ้าลอบโจมตีอาจพอสู้ได้ แต่ถ้าให้จัดการกันซึ่งหน้า เขาไม่มีทางต้านรับได้อย่างแน่นอน
“คิดว่าจะหนีไปได้อย่างงั้นเหรอ!” หลี่ห้าวแค่นเสียงออกมา จากนั้นก็กระโจนตรงมาทางนี้ ด้วยความเร็วของเขา ทำให้ไล่มาทันอย่างรวดเร็ว พร้อมกับขวางอยู่ด้านหน้าของพวกเขา ขณะเดียวกันก็ยื่นมือเข้าใส่อี้เทียนหยุน ปลดปล่อยพลังระดับผันแปรวิญญาณออกมาจนหมด โดยไม่มีการออมแรงแม้แต่น้อย จนทำให้อากาศรอบๆ ถึงกับกระเพื่อมไหว ถ้าเปลี่ยนเป็นคนที่มีระดับต่ำกว่านี้ คงต้องถูกฝ่ามือนี้ตบจนร่างแหลกไปอย่างแน่นอน!
ฝ่ามือนี้ไม่ใช่เพื่อต้องการจับอี้เทียนหยุน แต่เป็นการสังหาร จะรอดก็มีแต่ผู้หญิงคนนี้เท่านั้น ถึงยังไงเธอก็เป็นคนของเผ่าภูต
สีหน้าของหญิงสาวซีดขาว ตอนนี้ต้องเธอคงต้องถึงจุดจบอย่างแน่นอน แต่เธอก็ไม่ได้รอความตายอยู่เฉยๆ เธอรีบหยิบยันต์ออกมา พร้อมกับปาใส่หลี่ห้าวอย่างไว แม้ว่าจะไม่มีความหมายอะไร แต่อย่างน้อยก็พอจะยับยั้งได้นิดๆ หน่อยๆ
ยังไงก็ตาม ก็ได้มีมือมาจับมือเธอไว้ ไม่ให้เธอปายันต์ออกมา และคนที่ทำก็คืออี้เทียนหยุนนั่นเอง เขาทำการก้าวออกไปหนึ่งก้าวด้วยความเร็วที่ราวกับสายฟ้า พร้อมกับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วด้วยการเหวี่ยงหมัดออกไป ปะทะกับฝ่ามือของหลี่ห้าวที่ฟาดเข้ามา!
“เจ้าหนู หาที่ตาย!” สายตาของหลี่ห้าวเผยร่องรอยของความดูถูก คิดว่าอี้เทียนหยุนเป็นไอ้งั่ง แส่เข้าหาความตายด้วยตัวเอง!
“เปรี้ยง!”
เสียงพลังที่ป่าเถื่อนปะทะกัน ทำให้หลี่ห้าวกระเด็นไป หลังจากกลิ้งอยู่หลายตลบ เขาก็ชนเข้ากับกำแพงเมืองอย่างแรงถึงจะหยุดได้ ด้วยหมัดที่ต่อยออกไปของอี้เทียนหยุน ทำให้เขาถูกซัดปลิวไป!
“แขนของข้า แขนของข้า!” หลี่ห้าวนอนกองกับพื้น เอามือจับแขนข้างที่ปะทะไว้แน่น สีหน้ากลายเป็นขาวซีด แขนข้างนั้นห้อยต่องแต่ง พร้อมกับมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ดูแล้วน่าสะพรึงอย่างมาก
“นี่ข้าใช้พลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนะ ว่าไง จะเอาอีกไหม?” อี้เทียนหยุนเดินไปหาหลี่ห้าวทีละก้าว ขณะที่จ้องไปที่เขาอย่างเย็นชา
หญิงสาวคนนั้นที่อยู่ใกล้ๆ เอามือปิดปากด้วยความตกใจ หมัดของเขาซัดหลี่ห้าวจนกระเด็น ถ้าการโจมตีครั้งก่อนเป็นเพราะการลอบโจมตีล่ะก็ ครั้งนี้ก็คือการโจมตีซึ่งๆ หน้า แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น หลี่ห้าวกลับไม่สามารถต้านทานพลังของเขาเอาไว้ได้แม้แต่น้อย!
นี่หมายความว่าระดับของเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ เหนือกว่าหลี่ห้าวอย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่แค่พลังจะเหนือกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เป็นพลังที่บดขยี้อีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ ถ้านี่เป็นเพียงพลังเล็กน้อยอย่างที่เขาว่า งั้นก็หมายความว่าระดับของเขาจะต้องเหนือกว่าอีกฝ่ายมาก
“เจ้า เจ้าต้องตาย!” หลี่ห้าวคำรามออกมา พร้อมกับเอามือตบพื้นอย่างแรง กระโจนเข้ามาราวกับลูกหนัง พร้อมกับมียันต์บนมือถึงห้าแผ่น ก่อนที่จะปามาที่นี่อย่างรวดเร็ว
“ระวัง นี่เป็นยันต์ระเบิดเพลิง พลังของมันร้ายกาจมาก!” หญิงสาวรีบร้องเตือนอี้เทียนหยุน
เสียงของเธอเพิ่งจะจบ ยันต์ระเบิดเพลิงก็พลันระเบิดออกมา ราวกับมีมังกรเพลิงห้าตัว โอบล้อมอี้เทียนหยุนไม่หยุดยั้ง ยันต์ระเบิดเพลิงนี้มีพลังร้ายกาจมาก ยิ่งกว่านั้นยังเป็นยันต์ชั้น 5 สามารถจัดการได้แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 2! ยิ่งใช้พร้อมกันถึง 5 ชิ้นด้วยแล้ว พลังของมันยิ่งน่าสะพรึงขึ้นไปอีก
“ฮ่าๆๆ แข็งแกร่งแล้วยังไง สุดท้ายแล้วก็ตายในมือข้าอยู่ดี!” หลี่ห้าวหัวเราะออกมา ทั่วทั้งใบหน้าแสดงความดุร้ายออกมา มองดูเปลวเพลิงที่โอบล้อมร่างของอี้เทียนหยุนไว้
“ใครกันที่ตายในมือเจ้า?” เหมือนกับเสียงของภูตผีปีศาจดังขึ้นข้างหูหลี่ห้าว ทำให้หลี่ห้าวตกใจจนรีบหันไปดู แต่ที่คอยเขาอยู่กลับเป็นกำปั้นขนาดใหญ่!
“เปรี้ยง!”
หลี่ห้าวถูกหมัดซัดปลิวอีกครั้ง แต่หมัดในคราวนี้ซัดเข้าที่หัวของเขา ทำให้หัวของเขาหลุดกระเด็นไป ตายจนไม่สามารถตายได้อีก
“ติ๊ง ท่านสังหารหลี่ห้าวสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 350,000, ค่าความคลั่ง 4,300, ความชำนาญในการสลักอาคม 500! ได้รับท่าเท้าหมีจง, ฝ่ามือเทียนฟง, ได้รับพู่กันฉานหยุน(ระดับจิตวิญญาณขั้นกลาง), ค่ายกลชั้น 5(สุ่ม), กระดาษยันต์ทรราช(หายาก)!”
เขาบดขยี้หลี่ห้าวลงอย่างง่ายดาย ไม่แม้จะต้องเปิดใช้งานโหมดคลั่งหมวดพลังโจมตี พึ่งพาเพียงแค่พลังของตนเองเท่านั้น ก็สามารถบดขยี้หลี่ห้าวได้ หลังจากจัดการอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ทำการปล้นแหวนของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ของที่เก็บในแหวนของนักสลักอาคม แน่นอนว่าย่อมมีมากมายมหาศาล
“ให้ค่าความชำนาญแค่ 500 แต่บอกข้าว่าเป็นนักสลักอาคมระดับต้าซือ คงมีแต่พลังเท่านั้นแหละที่เทียบได้กับนักสลักอาคมชั้น 5” อี้เทียนหยุนพูดอย่างดูถูก ประกาศว่าตัวเองเป็นนักสลักอาคมระดับต้าซือ แต่ที่แท้ก็เป็นแค่ต้าซือปลอมเท่านั้น
“เจ้า เจ้ากล้าสังหารเขาจริงๆ…..” ลูกน้องที่ถูกหญิงสาวปายันต์ระเบิดจนร่างกระเด็นไป เมื่อเห็นว่าอี้เทียนหยุนสังหารหลี่ห้าว ก็พลันเผยสีหน้าโกรธเคืองออกมา “เจ้า เจ้าตาย เจ้าต้องตาย……”
“เปรี้ยง!”
อี้เทียนหยุนวิ่งเข้าไป พร้อมกับหวดแข้งออกไป ซัดพวกเขาจนตายแบบไม่สามารถตายได้อีก โดยไม่ออมแรงแม้แต่น้อย
“ไม่ พวกเจ้านั่นแหละที่ต้องตาย” อี้เทียนหยุนพลันพูดขึ้นมา แต่พวกเขาคงไม่ได้ยินอีกแล้ว