The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 769-770

DND.769 – ภารกิจผาบั่นภูติ
  เมื่อซือหยูวิเคราะห์ทุกอย่างดูแล้วเขาก็พูดขึ้น
  “รอต่อสู้วันพรุ่งนี้เถอะแต่ถ้าเรายังโน้มน้าวเจ้าตระกูลชางก่วนไม่ได้ เราก็ทำได้แค่เลือกทางเลือกที่สอง นั่นก็คือการไปตำหนักชิงวิญญาณ”
  ซือหยูกับหยวนหยิงหยิงสามารถเป็นศิษย์นอกตำหนักชิงวิญญาณได้อย่างง่ายดายเพราะเขาได้บงการผู้เฒ่าเหลียวเอาไว้แล้วแต่ก็น่าเศร้าที่ผู้เฒ่าศิษย์ในทั้งหมดรู้ว่าซือหยูหน้าตาเป็นเช่นใด มันค่อนข้างจะอันตราย
  เขาไม่มีทางเลือกนอกจากปลอมตัวเมื่อคิดแผนนี้ขึ้นมาได้ก็เบาใจขึ้นมาบ้าง
  เช้าตรู่วันต่อมาสาวใช้มาหาพวกเขาและเชิญไปยังห้องที่พวกเขาไปในวันก่อนหน้า แต่ตอนนี้มีเพียงเจ้าตระกูลชางก่วนกับบุตรชายบุตรสาวทั้งสองเท่านั้น
  “ทุกท่านคิดให้ดีแล้วหรือยัง?”
  เจ้าตระกูลชางก่วนถามและมองทุกคนเขารู้สึกผิดต่อฉางฟานเป็นอันมาก เพราะดูเหมือนฉางฟานจะผิดหวังมากที่สุด
  ทุกคนมองหน้ากันและประกาศการตัดสินใจมีสิบเจ็ดคนเต็มใจอยู่ตระกูลชางก่วน แต่พวกเขาก็รับได้เพียงสิบคนเท่านั้น พวกเขาจะต้องผ่านการทดสอบของตระกูลชางก่วนให้ได้
  ฉางฟานประกาศ
  “เจ้าตระกูลชางก่วนหากท่านให้โอกาสหากข้าประสบความสำเร็จในอนาคต ข้าสัญญาว่าจะมารับใช้ตระกูลชางก่วนสิบปี ข้ายินดีจะสาบานเพื่อยืนยัน”
  เจ้าตระกูลชางก่วนสะอึกเขาไม่คิดว่าฉางฟานจะยังไม่ยอมแพ้ เขาไม่ทำตามคนหมู่มาก
  “เจ้ามีสองตัวเลือกเท่านั้น…จะออกไปหรือจะอยู่กับตระกูลชางก่วน”
  เจ้าตระกูลชางก่วนปฏิเสธทันที
  ฉางฟานแววตาเศร้าหมองเขายิ้มอย่างขมขื่น
  “ก็ได้ข้าจะอยู่”
  อนาคตอันสดใสของเขาถูกทำลายสิ้น
  “แล้ว…เจ้าสองคนล่ะ?”
  เจ้าตระกูลชางก่วนหันไปมองซือหยูและหยวนหยิงหยิง
  ชางก่วนหยุนซื่อทำได้เพียงถอนหายใจเขาละอายใจเกินกว่าจะมองตาซือหยู ซือหยูเองก็ไร้ทางเลือก เพราะฉางฟานที่ถึงกับยอมสาบานก็มิอาจเกลี้ยกล่อมเจ้าตระกูลชางก่วนได้!
  “เจ้าตระกูลชางก่วนขอบคุณสำหรับความเอื้อเฟื้อ พวกข้าขออภัยที่มารบกวนท่าน ข้าจะไปแล้ว…”
  ซือหยูพูดเขารู้ว่าถ้าหากติดต่อกับผู้เฒ่าเหลียวตอนนี้ เขาอาจจะได้เข้าตำหนักชิงวิญญาณทันเวลา
  พวกเขาเลือกจะไปจริงๆรึ?เจ้าตระกูลพูดต่อไป
  “เดี๋ยวก่อนสิลูกชายข้าติดหนี้เจ้า ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะให้ตำแหน่งสำคัญกับเจ้าสองคน”
  ซือหยูประสานหมัดและส่ายหน้าเขาจับมือหยวนหยิงหยิงออกจากที่แห่งนี้
  เจ้าตระกูลชางก่วนเสียดายอย่างมากลูกชายเขาเคยบอกว่าซือหยูเซี่ยนมีวิชาลับที่สังหารภูติระดับหกสองคนได้ในข้ามคืน! ส่วนเด็กสาวก็มากพรสวรรค์ นางปรุงโอสถระดับสี่ได้ คงจะเป็นประโยชน์มากหากนางอยู่ที่นี่
  กลุ่มหนุ่มสาวสวมชุดตระการตายืนอยู่ด้านนอกทั้งหมดแต่งกายอย่างเหมาะสมและดูน่าประทับใจ
  หลายคนมีฐานพลังสูงส่งมีคนที่เป็นภูติระดับสามปะปนอยู่ด้วย แม้เขาจะอายุแค่สิบแปดปี เขาก็นับว่าเป็นยอดฝีมือที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลชางก่วน
  พวกเขารออยู่ด้านนอกและสบายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นซือหยูกับหยวนหยิงหยิงเดินออกมาเพราะพวกเขากลัวว่าเจ้าตระกูลชางก่วนจะใจอ่อนจนทำให้พวกเขาเสียโอกาส
  “ดีล่ะ…ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแล้วท่านเจ้าตระกูลยังรักษาสัญญา เขาเห็นแก่คนส่วนมากจริงๆ!”
  สาวน้อยกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
  ส่วนชายหนุ่มภูติระดับสามที่เป็นผู้นำนั้นมองซือหยูกับหยวนหยิงหยิงอย่างโอหัง
  “มีแค่คนที่ชื่อฉางเท่านั้นที่นับว่าผ่านส่วนคนอื่นๆก็รังแต่จะทำให้สิทธิ์เสียเปล่า ดีกว่าที่พวกมันจะหลีกทางให้ตระกูลชางก่วนของเรา เพราะเราไม่ได้ติดหนี้อะไรมันเลย!”
  เขาดูถูกเพราะซือหยูกับหยวนหยิงหยิงนั้นเป็นเพียงกึ่งภูติซือหยูไม่แม้แต่หันมอง เขาทำเป็นไม่ได้ยินโดยไม่สนใจอะไรเลย! แต่ดูเหมือนว่าท่าทางของเขาจะทำให้เหล่าหนุ่มสาวไม่พอใจ
  “นี่ชายแก่คนนั้นไม่สนใจคำพูดเจ้าเลย!”
  สาวน้อยมองซือหยูอย่างไม่พอใจ
  “…ก็ปกตินั่นแหละถ้าข้าเป็นเหมือนเขาก็คงไม่คิดจะยอมรับเรื่องนี้เหมือนกัน ถึงจะเข้าทดสอบไปก็เสียเวลาเปล่าก็ตาม!”
  อีกคนพูดเยาะเย้ยซือหยูอย่างชัดเจน
  จากนั้นก็มีอีกคนพูดตามมาอีก
  “อืม…มิใช่ว่าเขาแปลกรึที่เสียอายุขัยไปจนดูแก่เฒ่าแม้จะอายุแค่สิบแปด?”
  ฟึ่บ!
  ในตอนนั้นเองสายลมเย็นพัดผ่านทันควัน เสียงตบกังวาลดังก้อง…
  เพี๊ยะ!เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
  ก่อนที่ทุกคนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็มีรอยฝ่ามือแดงบนหน้าของทั้งสามที่เพิ่งจะเยาะเย้ยซือหยู!แต่ก่อนที่ทั้งสามจะได้โกรธ ทั้งสามได้เห็นชายสวมชุดขาวยืนอยู่ตรงหน้า เขายืนมือไพล่หลัง ดวงตามีแต่ความผิดหวัง
  “คนโง่มันไม่รู้จักเกรงกลัวจริงๆ!”
  ชางก่วนหยุนซื่อตำหนิทั้งสาม
  “พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์จะได้ทดสอบด้วยซ้ำ!มิเพียงจะไม่สำนึก เจ้ากลับหยาบคายต่อคนอื่น! พวกเจ้าทำให้ตระกูลชางก่วนต้องมัวหมอง!”
  ภูติระดับสามชางก่วนเฟย พูดขึ้นมา
  “พี่ใหญ่เขาเป็นฝ่ายดูถูกพวกข้าก่อน พี่น้องเราสามคนเลยไม่พอใจ นั่นเป็นเหตุให้คำพูดหยาบคายออกมา โปรดให้อภัยด้วยเถอะ”
  ชางก่วนหยุนซื่อเหลือบมองเขา
  “ข้ารู้สึกนิสัยใจคอน้องซือยิ่งกว่าเจ้าแม้น้องซือจะดูถูกพวกเจ้าจริงๆ เขาก็มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น! พวกเจ้าทุกคนควรจะเสียใจที่เพิ่งจะเสียตัวช่วยที่แข็งแกร่งในการทดสอบไป!”
  เขารู้ว่าซือหยูปิดบังซ่อนเร้นพลังเอาไว้อีกมากเพราะเขาเองก็เคยเห็นกับตาว่าพันธมิตรปรุงยาถูกทำลายในชั่วข้ามคืน!
  ชางก่วนเฟยตัวแข็งทื่อเมื่อได้ฟังคำตอบจากพี่ใหญ่เขาแทบจะไม่เชื่อหู…กึ่งภูติกระจอกๆถึงกับมีสิทธิ์ดูถูกพวกข้าเชียวรึ?
  “พี่ใหญ่พูดเรื่องอะไร?ข้าก็ไปทดสอบด้วย ข้าต้องปกป้องพี่น้องตระกูลเราอยู่แล้ว ถึงจะไม่มีข้า ตระกูลก็เชิญผู้ช่วยมามากมายที่จะช่วยพวกเรา มันไม่แย่อย่างที่พี่ใหญ่พูดหรอก”
  ชางก่วนหยุนซื่อมองทุกคนอย่างใจเย็นและส่ายหน้า
  เขาเดินไปหาซือหยูและประสานหมัดให้ใบหน้านั้นแสดงความละอายใจ
  “น้องซือข้าขออภัยยิ่งนัก ตระกูลถือเป็นที่สุด แม้แต่ข้าก็มิอาจเกลี้ยกล่อมท่านพ่อได้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะมาเสียเปล่าแล้ว”
  ซือหยูยิ้มจางๆ
  “ถ้าพวกเขาไม่ต้องการเราอย่างไรก็ต้องมีสำนักอื่นที่ต้องการเราอยู่แล้ว พี่ชางก่วนมิต้องกังวลนัก แต่ก็ขอบคุณที่เป็นห่วง”
  อัธยาศัยของชางก่วนหยุนซื่อนั้นน่าชื่นชมอย่างแท้จริง
  “แต่เพราะเจ้าข้าเลยรอดชีวิตมาได้ ข้าไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนเจ้าได้ยังไง ข้าจะให้ปีกวารีเก้าสวรรค์กับเจ้า เจ้าจะได้ปกป้องตัวเองได้”
  ชางก่วนหยุนซื่อนั้นตรงไปตรงมาและมอบปีกคู่ที่งดงามให้กับซือหยูเป็นของขวัญ
  ขนบนปีกนั้นขาวดั่งหิมะมันดูเหมือนปีกที่เป็นอวัยวะใช้งานจริงๆ
  หยวนหยิงหยิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจเพราะนี่คือสมบัติวิญญาณที่ใช้ได้ครั้งเดียว ราคามันแพงกว่าแก้วแสนดวง! ชางก่วนหยุนซื่อยังไม่อยากจะใช้เองเลย แต่ตอนนี้เขากลับมอบให้ซือหยู!
  เหล่าหนุ่มสาวตระกูลชางก่วนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักตกตะลึงพวกเขาคิดว่าชางก่วนหยุนซื่อมอบของล้ำค่าให้กับซือหยูง่ายๆได้อย่างไร
  ซือหยูตกใจกับของขวัญสูงค่าเขาลังเลก่อนที่จะรับไว้ในท้ายสุด เพราะชางก่วนหยุนซื่อเองก็ยัดมันใส่มือซือหยูดึงดันที่จะมอบให้
  “น้องซือสถานการณ์ช่วงนี้ประหลาด เจ้าอาจจะไม่ปลอดภัยในทางกลับ เจ้าต้องรับสมบัติวิญญาณชิ้นนี้เอาไว้ มันจะทำให้เจ้ารอดพ้นภัย ถ้าเจ้ามีมันข้าก็สบายใจ”
  ซือหยูมองชางก่วนหยุนซื่อและเห็นความจริงใจของเขาซือหยูขอบคุณในน้ำใจของเขามาก
  “หวังว่าจะได้พบกันอีกถนอมตัวด้วย!”
  …
  หลังจากซือหยูออกจากเกาะยักษ์เขาได้กำหนดทิศทางไปยังเทือกเขาครามและกำลังจะเดินทางกลับ แต่เขาก็เลิกคิ้วขึ้นมาและเปิดด฿แหวนมิติ ตราสีม่วงได้ปรากฏในมือ!
  มันคือตราสีม่วงจากผาบั่นภูติที่เขาได้มาจากเสี่ยวเถาในตอนนั้นมันสั่นเบาๆและปล่อยวงแสงสีม่วงออกมา
  จากนั้นก็มีข้อความบรรทัดเล็กๆปรากฏขึ้นบนตรา
  ‘เจ้าของเดิมตายแล้วเจ้าของใหม่จะต้องผ่านภารกิจทดสอบ’
  ถ้าเขาทำการกิจนี้จนเปลี่ยนมันเป็นตราประจำตัวที่แท้จริงจากผาบั่นภูติได้นามของเขาก็จะถูกสลักเอาไว้
  เสี่ยวเถาซ่อนตัวในตระกูลหยวนมาหลายปีเพราะนางกำลังทำภารกิจทดสอบแต่ก็น่าเสียดายที่ทุกอย่างที่นางทำสูญเปล่าเมื่อซือหยูรู้ภารกิจและสังหารนาง เห็นได้ชัดว่าผาบั่นภูติรู้เรื่องความตายของเสี่ยวเถาแล้ว พวกเขาจึงส่งภารกิจใหม่มา
  “ภารกิจเพื่อเป็นสมาชิกผาบั่นภูติรึ?”
  ซือหยูอุทานเขาเดาะลิ้น เขาไม่เคยคิดว่าจะเข้าร่วมผาบั่นภูติมาจนถึงตอนนี้
  ตอนนั้นมีแสงสีม่วงส่องประกายมาอีกมีข้อความเล็กๆสองบรรทัดปรากฏขึ้นมา
  ‘ภารกิจทดสอบคือการปกป้องเด็กตระกูลซือถูภารกิจจะสำเร็จหากเจ้าปกป้องได้อย่างน้อยหนึ่งคน รวมถึงการช่วยให้คนผู้นั้นผ่านการทดสอบของตำหนักโลหิต
  ภารกิจนี้ต้องการผู้ที่มีอายุยี่สิบปีหรือต่ำกว่าเท่านั้นและพลังจะต้องอยู่ในขั้นภูติระดับสามหรือสูงกว่า สามารถรับคนไปได้สองคน
  ถ้าหากยอมรับเงื่อนไขโปรดมาที่หอนภาในอีกสามวัน’
  ซือหยูอัศจรรย์ใจ…ภารกิจของผาบั่นภูติรึ?เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะถูกเชิญให้ทำภารกิจ และดูเหมือนว่าภารกิจนี้จะส่งคนไปหลายคน
  หยวนหยิงหยิงถามด้วยความตกใจ
  “ตราของผาบั่นภูตินี่?พี่ซือได้มันมาได้ยังไง?”
  ซือหยูอธิบายนางสั้นๆเพื่อให้หายสงสัย
  เมื่อได้ฟังคำอธิบายดวงตาหยวนหยิงหยิงเต็มไปด้วยความสงสัย
  “ข้าเคยได้ยินเรื่องตราวิเศษนี้และภารกิจดูเหมือนจะเร่งด่วนและชั่วคราม พี่ซือ ทำไมเราไม่ลองดูล่ะ?”
  ซือหยูตาลุกวาวเขาอ่านภารกิจอีกครั้ง
  “สวรรค์ไม่ทอดทิ้งใครจริงๆ!”
  “ข้ารู้สึกว่ายังมีโอกาสได้เข้าตำหนักโลหิต”
  …
  หนึ่งวันผ่านไปคณะเดินทางที่มารับตระกูลชางก่วนได้พาผู้เข้าร่วมไปเข้ารับการทดสอบ แต่ก็มีเรื่องเล็กๆเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เพราะว่าพวกเขาได้เห็นฉางฟานโดยบังเอิญและพาเขาไปรับการทดสอบด้วย
  และคณะเดินทางนั้นก็ได้ระเบิดความโกรธใส่ทั้งตระกูลชางก่วนว่ากันว่าหลังจากที่เขาไป ทุกคนในตระกูลชางก่วนตั้งแต่เจ้าตระกูลจนถึงสาวใช้นั้นท้องร่วงไปทั้งวัน!
  …
  วันเดียวกันนั้นคนหลายคนที่ส่องแสงประกายสีทองได้ร่อนลงจากฟ้านอกเกาะยักษ์
  “มันไปแล้วเราต้องตามมันให้ทันในอีกสองวัน…”
  หัวหน้ากลุ่มคนพูดอย่างใจเย็น
  ทั้งห้าคนหายไปทันทีแม้แต่เจ้าตระกูลชางก่วนที่เป็นจ้าวเทวะชั้นกลางก็ไม่รู้ถึงการมาของพวกเขา
  สองวันต่อมาที่หอนภา
  หอนภามิใช่หอคอยจริงๆแต่มันคือหนึ่งในดินแดนประหลาดของจิวโจว มันคือดินแดนกว้างใหญ่ที่แยกตัวออกจากผืนทวีปตั้งแต่ครั้งโบราณ และตอนนี้มันได้ลอยอยู่บนท้องฟ้าท่ามกลางจันทรา จึงเป็นที่มาของนาม
  ดินแดนนี้ถูกปกครองโดยตระกูลซือถูดินแดนแห่งนี้เล็กกว่าของตระกูลชางก่วนเพียงน้อยนิดเท่านั้น ในด้านลำดับของสำนักใหญ่ทั้งสิบแปด ตระกูลซือถูมีลำดับสูงกว่าตระกูลฉีเหมินเพราะพวกเขาคือสุดยอดตระกูลที่อยู่ในลำดับสี่
  หลังจากทั้งคู่มาถึงหอนภาซือหยูได้มาตามทางจนถึงพื้นที่ป่าที่เรียกว่าหุบเขากระบี่สวรรค์ ซือหยูกับหยวนหยิงหยิงใช้เครื่องปิดบังใบหน้าด้วยความระมัดระวัง
  เมื่อมาถึงหุบเขาพวกเขาพบหกคนอยู่ที่นี่แล้ว ทั้งหกแบ่งเป็นสองกลุ่ม พวกเขาปิดบังใบหน้าเช่นกัน คนเหล่านี้ได้ข่าวเหมือนกับและมาเพื่อทดสอบการเป็นสมาชิกสีม่วงของผาบั่นภูติ
  ทั้งสองกลุ่มตื่นตัวเมื่อสัมผัสถึงการมาของซือหยูกับหยวนหยิงหยิงแต่พวกเขายังเงียบและรอคอยต่อไป
  ฟึ่บ!
  ทันใดนั้นก็มีคนปรากฏตัวเหนือหุบเขาเขาสวมหน้ากากขาวและทั้งร่างปกคลุมไปด้วยพลังชีวิต ทำให้ยากที่จะมองใบหน้าได้อย่างชัดเจน
  “แปดคนรึ?มากกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก!”
  ชายสวมหน้ากากพูดด้วยเสียงแหบพร่ายากที่จะบอกช่วงอายุของเขา
DND.770 – จ้าวเทวะสวมหน้ากาก
  “เจ้าเป็นใคร?”
  คนที่เข้าร่วมทดสอบถามขึ้น
  ชายสวมหน้ากากร่อนลงช้าๆและปิดบังรังสีพลังเอาไว้แต่ก็มีแรงกดดันแผ่ออกมาด้วย เขาเป็นจ้าวเทวะ!
  “ข้าเป็นคนที่ออกภารกิจนี้เอง…”
  เขาตอบ
  ถ้าหากเขาเป็นคนที่เขียนภารกิจบนตราเช่นนั้นเขาก็คือสมาชิกอย่างเป็นทางการของผาบั่นภูติ และเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลซือถูในบางแง่
  “พวกเจ้าจะต้องปกป้องคนตระกูลซือถูสามคนและจะต้องช่วยให้พวกเขาผ่านการทดสอบให้สำเร็จด้วย…”
  ชายสวมหน้ากากกล่าว
  “มีคำถามหรือไม่?”
  ซือหยูลังเลก่อนจะถาม
  “ช่วยอธิบายการทดสอบของตำหนักโลหิตก่อนจะได้หรือไม่?”
  ชายสวมหน้ากากพยักหน้า
  “การทดสอบของตำหนักโลหิตแบ่งเป็นสองส่วนอย่างแรกจะจัดขึ้นในป่ารก พวกเจ้าจะได้รับมอบหมายให้สังหารสัตว์อสูรที่ฐานพลังเหนือกว่าพวกเจ้าหนึ่งระดับ หรือจะสังหารยี่สิบตัวที่ฐานพลังเท่ากันก็ได้ คนที่ทำสำเร็จนับว่าผ่านการทดสอบ”
  การทดสอบที่คาดหวังสูงเช่นนี้โหดร้ายนักถึงจะล่าแค่สิบตัวที่ฐานพลังเท่ากันก็เป็นงานที่ยากมากแล้ว เพราะพวกสัตว์อสูรนั้นใช้ชีวิตในป่าอย่างคุ้นเคย พวกมันมีโอกาสหนีรอดสูงหากเจออันตราย!
  พวกเขาล้วนเคยได้ยินว่าการทดสอบของตำหนักโลหิตนั้นโหดร้ายเข้มงวดดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องจริง และแท้จริงแล้วยังมีคนหนุ่มสาวมากมายที่ตายในปีที่ผ่านๆมาในการทดสอบแรก ซึ่งจำนวนนั้นเกินกว่าคนที่รอดชีวิต!
  “อย่างที่สองเกี่ยวข้องกับการผ่านประตูมังกรของตำหนักโลหิตจะมีคลื่นวารีสวรรค์ตกใส่เจ้า ขณะที่เจ้าต้องพยายามผ่านประตู มันยากมากสำหรับคนที่ยังไม่เป็นภูติระดับสาม และข้าต้องเตือนไว้ก่อน…เพราะโอกาสตายมันสูงมาก…”
  ชายสวมหน้ากากอธิบาย
  ดูเหมือนว่าการทดสอบจะเป็นเรื่องยากไม่ผิดเลยหากจะเรียกว่าเป็นการทดสอบเอาชีวิต! ซึ่งก็พอเข้าใจได้เพราะตำหนักโลหิตนั้นเป็นผู้นำสำนักใหญ่ในดินแดนพรสวรรค์ การทดสอบนี้ก็เพื่อกำจัดคนที่ขาดพรสวรรค์ที่มากพอ
  “มีคำถามอีกหรือไม่?”
  ชายสวมหน้ากากถาม
  เมื่อทุกคนส่ายหน้าเขาพูดต่อด้วยตาที่เป็นประกาย
  “ถ้าเช่นนั้นข้าจะเริ่มทดสอบว่าพวกเจ้ามีคุณสมบัติหรือไม่ ถ้าพวกเจ้าผ่านได้ ตระกูลซือถูก็จะแนะนำพวกเจ้าให้เข้าร่วมการทดสอบเข้าตำหนักโลหิต”
  เขาพูดต่อไปอีก
  “พวกเจ้าควรจะรู้กฎของผาบั่นภูติอยู่แล้วโดยเฉพาะเมื่อพวกเจ้ารับภารกิจไปแล้ว พวกเจ้าห้ามล้มเลิกเด็ดขาด มิเช่นนั้นผาบั่นภูติจะตามล่าพวกเจ้า”
  ทุกคนสีหน้าหม่นหมองเมื่อได้ยินข้อห้ามเพราะมันคือข้อห้ามร้ายแรง เคยมีอสูรเนรมิตรที่ปฏิเสธในการทำภารกิจต่อหลังจากรับภารกิจแล้ว และลงเอยด้วยการตามล่าจนหมดลมหายใจ! นั่นคือเหตุที่ทุกคนรับภารกิจอย่างระมัดระวัง
  “ตอนนี้ข้าจะเริ่มทดสอบพวกเจ้าเงื่อนไขแรกก็คืออายุพวกเจ้าจะต้องไม่มากกว่ายี่สิบปี เงื่อนไขที่สองคือจะต้องมีพลังที่เหนือกว่าภูติระดับสาม”
  ชายสวมหน้ากากหยิบแผ่นกลมออกมาขว้างให้แต่ละคน
  “หยดโลหิตของพวกเจ้าลงไปถ้าอายุพวกเจ้าเกินยี่สิบปี มันจะตอบสนองกับโลหิตเจ้า”
  เมื่อคนสองกลุ่มที่มาตอนแรกหยดโลหิตลงไปแผ่นกลมนั้นไม่ได้ตอบสนอง เมื่อถึงตาหยวนหยิงหยิง นางก็ผ่านเช่นกัน
  คนสุดท้ายคือซือหยูที่ค่อนข้างเป็นกังวลแต่เขาก็หยดโลหิตลงไป แผ่นกลมมิได้ตอบสนอง ดังนั้นจึงนับว่าเขาผ่านการทดสอบด้วย! ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อมองชายสวมหน้ากาก
  “มาการทดสอบจริงจังจะเริ่มแล้ว พวกเจ้าต้องมีพลังเทียบเท่าหรือเหนือกว่าภูติระดับสามจึงจะปกป้องคนเหล่านั้นได้ ถ้าหากทนรับกระบวนท่าข้าได้ พวกเจ้าก็นับว่าผ่าน…”
  ชายสวมหน้ากากกล่าว
  คนกลุ่มแรกก้าวไปข้างหน้าพวกเขามีภูติระดับสามและภูติระดับสองอีกสองคน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้รับการแนะนำจึงอยากจะได้การแนะนำจากตระกูลซือถูเพื่อให้ได้รับการทดสอบเข้าตำหนักโลหิต พวกเขาพร้อมอยู่แล้ว ชายสวมหน้ากากดันฝ่ามือไปข้างหน้า
  พลังฝ่ามือขนาดเท่าฝ่ามือลอยออกมาจากฝ่ามือพุ่งตรงไปยังคนทั้งสามทั้งสามไม่กล้าจะประมาท ทั้งสามจึงใช้วิชาลับของตัวเองร่วมมือกันต้านทาน
  ปั้ง!เอื้อก!
  ทั้งสามรับกระบวนท่าไม่ได้แม้สักครึ่งลมหายใจก่อนจะกระเด็นออกไป
  “พวกเจ้าไม่ผ่าน…”
  ชายสวมหน้ากากพูดด้วยความผิดหวัง
  “จงไปซะเจ้าไม่เหมาะสมจะทำภารกิจนี้”
  ทั้งสามจากไปอย่างหดหู่
  “เจ้าเดินมา”
  ชายสวมหน้ากากมองกลุ่มที่สอง
  คนกลุ่มนี้มีภูติระดับสามสองคนและภูติระดับสองอีกหนึ่งชายสวมหน้ากากปล่อยฝ่ามือไปอีกครั้ง
  กลุ่มนี้ต้านทานได้สามลมหายใจก่อนจะถอยไปข้างหลังพวกเขาทิ้งรอยลากยาวบนพื้นขณะที่ร่างกายบาดเจ็บหลายแห่ง สภาพแต่ละคนไม่สู้ดีนัก
  ชายสวมหน้ากากพยักหน้าเขาลังเลไปชั่วหนึ่งก่อนจะพยักหน้าอีกครั้งเพราะขาดตัวเลือกที่ดีกว่า
  “ก็ได้ๆเจ้าผ่าน เจ้ารับภารกิจนี้ได้”
  บอกได้เลยว่าเขาไม่พอใจเท่าใดนักกับพลังของทั้งสามคนแต่ทั้งสามก็ผ่านมาได้แบบหวุดหวิด ทั้งสามดีใจมาก พวกเขาหลีกทางและมองไปยังพวกซือหยู
  สองคนนี้มอบฝันร้ายแก่พวกเขาพวกเขาคิดว่าสองคนนี้ควรจะพาสมาชิกคนที่สามมาด้วย พวกเขาสงสัย…
  สองคนนี้กล้ารับภารกิจอันตรายเช่นนี้โดยไม่พาคนมาเต็มกลุ่มได้อย่างไร?
  ชายสวมหน้ากากมองดูทั้งสอง…กึ่งภูติจะมาที่นี่ทำไมกัน?
  เขาไม่พอใจอย่างประหลาดแต่เขาก็ถามอย่างอดทน
  “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”
  สิ่งที่ไม่พูดก็คือพวกเขาจะจากไปโดยไม่ต้องทดสอบก็ได้เพราะถ้าหากเขาลงมือด้วยพลังของภูติระดับสี่ ทั้งคู่ก็อาจจะตายอยู่ตรงนี้!
  ซือหยูตอบ
  “พวกเรามาเพราะอยากจะทดสอบอยู่แล้วเข้ามาเลย”
  เมื่อทุกคนได้ยินทั้งสามจากอีกกลุ่มมองหน้ากันอย่างไม่พอใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดซือหยูถึงมั่นใจนัก
  แม้ชายสวมหน้ากากก็ตกใจไม่น้อยเขามองซือหยูให้ถี่ถ้วนอีกครั้งและพบว่าพลังของซือหยูนั้นแปลก ดูเหมือนเขาเป็นกึ่งภูติ แต่ก็ดูแข็งแกร่งกว่านั้นหลายเท่า แม้แต่คนอย่างเขาก็มิอาจบอกฐานพลังที่แท้จริงของซือหยูได้
  ไอ้หนูนี่แปลกหากมั่นใจเช่นนี้ข้าก็สงสัยนักว่าจะแข็งแกร่งหรือไม่ ?
  ชายสวมหน้ากากครุ่นคิดก่อนจะส่ายหัวเพราะซือหยูขาดฐานพลังอย่างมาก ไม่น่าจะมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น
  “ก็ได้ข้าจะใช้พลังภูติระดับหนึ่งมดสอบเจ้าก่อน…”
  ชายสวมหน้ากากพูดก่อนจะดันฝ่ามือไปทางซือหยูอย่างเรียบเฉย
  ซือหยูดันฝ่ามือกลับไปอย่างเรียบเฉยเช่นกันเขาไม่ใช้กายามังกรด้วยซ้ำ เขาใช้เพียงสายธารพลังชีวิตในจุดกำเนิดพลังภายนอก
  ปั้ง!
  ฝ่ามือจากชายสวมหน้ากากถูกทำลายอย่างง่ายดาย
  ชายสวมหน้ากากตกใจเล็กน้อย
  “พลังชีวิตอะไรกัน!มันบริสุทธิ์เหมือนกับภูติระดับหนึ่ง! งั้นรับไปอีก…”
  ครั้งนี้เขาใช้พลังของภูติระดับสองซือหยูหายใจเข้าลึก เขาใช้พลังชีวิตจากจุดกำเนิดทั้งภายนอกและภายใน
  ปั้ง!
  ฝ่ามือของเขาดับไปเพราะซือหยูอีกครั้ง!
  สีหน้าของหัวหน้าอีกกลุ่มเริ่มหม่นหมอง
  “ผิดปกติแล้วร่างกายคนนี้แปลกๆ ดูเหมือนเขาจะเก็บพลังชีวิตได้มากกว่าคนอื่น แต่มันก็ไม่น่าจะพอรับพลังภูติระดับสองได้! กายเนื้อเขาแข็งแกร่งมาก!”
  ชายสวมหน้ากากก็ตกตะลึงในบางข้อสงสัย
  “เจ้ามีกายเนื้อที่ดีลองดูอีกที”
  ครั้งนี้เขาใช้พลังภูติระดับสาม สายพลังโลหิตของซือหยูกลายเป็นสีทองเมื่อเขาใช้พลังของกายามังกร
  ปั้ง!
  ฝ่ามือดับไปอีกแล้วคนอีกกลุ่มตกใจอย่างหนัก
  “อะไรกัน?กายเนื้อที่ครอบครองสามพลังช้าง แข็งแกร่งกว่าข้าเสียอีก!”
  หัวหน้าคนอีกกลุ่มสีหน้าเปลี่ยนไปยากที่เขาจะรับมือกับกระบวนท่านั้นได้ง่ายๆ!
  ชายสวมหน้ากากตกตะลึงเขาตื่นเต้นขึ้นมา
  “น่าสนใจนัก!เจ้าเป็นแค่กึ่งภูติ แต่เจ้ากลับมีร่างกายแข็งแกร่งกว่าภูติระดับสาม! ไม่แปลกเลยที่เจ้าจะมั่นใจ! ถ้าเช่นนั้น รับท่าสุดท้ายไป…”
  พรึ่บ!
  ฝ่ามือที่มีพลังภูติระดับสี่พุ่งเข้าใส่ซือหยูแววตาซือหยูไม่แปรเปลี่ยน เขาแตะพื้นด้วยปลายเท้าและถอยเล็กน้อย
  ภาพประหลาดปรากฏขึ้นพร้อมกันฝ่ามือนั้นถูกฝ่าเป็นสองซีกราวกับเจอสิ่งที่คมกริบอย่างมาก! คนอีกกลุ่มตัวแข็งทื่อเมื่อได้เห็น พวกเขาไม่รู้ว่าซือหยูใช้วิชาอะไร
  แม้แต่ชายสวมหน้ากากก็เบิกตากว้างเขาสัมผัสลำแสงคมกริบได้บางเบา ลำแสงนั้นมีพลังอันเยือกเย็นที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรง แสดงว่าคนผู้นี้มีวิชาอันตรายซ่อนเอาไว้!  “ดีมาก”
  เมื่อชายสวมหน้ากากรู้ตัวเขาก็ตาลุกวาวพร้อมกับมีความสุข
  สีหน้าของสามคนอีกกลุ่มเริ่มไม่น่ามองเมื่อได้ยินคำชมซือหยูเพราะชายสวมหน้ากากแทบจะไม่อยากรับพวกเขา แต่กับซือหยูนั้นแตกต่างราวกับหลังมือ
  “เจ้าผ่าน!”
  ชายสวมหน้ากากหัวเราะอย่างเป็นสุขแต่เขาก็พูดขึ้นมาเมื่อมองหยวนหยิงหยิง
  “แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยข้าหาคนช่วย มิใช่ตัวถ่วง!”
  หยวนหยิงหยิงก้าวไปข้างหน้า
  “ท่านผู้อาวุโสข้าไม่เป็นตัวถ่วงหรอก แต่ข้าทำได้ดีแค่การจู่โจมเท่านั้น ลองให้ข้าโจมตีท่านได้หรือไม่?”
  ชายสวมหน้ากากคิดก่อนจะพยักหน้า
  “ก็ได้เข้ามา”
  พรึ่บ!
  มุมปากของชายสวมหน้ากากกระตุกเขาสูดหายใจเข้าลึก นั่นก็เพราะเขารู้สึกเจ็บแปลบในวิญญาณ
  สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปแววตาเฉียบคมขึ้น เขามองรอบๆและถาม
  “ฝีมือใคร?”
  “ข้าเอง…”
  หยวนหยิงหยิงกล่าว
  หืม?ชายสวมหน้ากากหน้านิ่งไป เขาชักสีหน้าเมื่อมองหยวนหยิงหยิง
  “เจ้ามีพรสวรรค์วิ…”
  เขาหยุดพูดไปเพราะนึกได้ว่ามีอีกสามคนอยู่ที่นี่เขาหัวเราะเบาๆด้วยความยินดี
  “ก็ได้ๆฮ่าๆๆๆ เจ้าเหนือความคาดหมายข้า เจ้าสองคนผ่าน”
  หัวหน้าอีกกลุ่มพูดขึ้นมาทันที
  “ท่านพวกข้าอยากจะสู้กับสองคนนี้”
  เพราะมีแค่กลุ่มเดียวเท่านั้นที่จะได้รับภารกิจ
  ซือหยูมองทั้งสามและดีดนิ้วเรียกเส้นไหมผีเสื้อโกลาหลมาไว้ในมือส่วนหยวนหยิงหยิงนั้นไม่สนใจใคร นางมองแต่ซือหยู
  “ไม่ต้องเสียเวลาเปล่า สองคนนี้ ไม่ว่าใครก็ล้างบางพวกเจ้าได้ง่ายๆ”
  ชายสวมหน้ากากสั่งแยกย้ายก่อนจะมองซือหยูกับหยวนหยิงหยิง
  “ไปกันเถอะ”

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset