เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของฉินเฉิงก็เย็นชาขึ้นมาในทันที
“ทำไมจู่ๆ อุณหภูมิถึงลดลงล่ะ” คนก็ขับบ่นขึ้นมา จากนั้นเค้าก็เร่งแอร์ในรถ
ที่นั่งแถวหลัง สีหน้าของฉินเฉิงก็เริ่มน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ
มันไม่น่าแปลกใจเลยที่จินฮู่จะไม่รับสายตัวเอง
“นี่จะบอกว่าจินฮูอยู่ในสถาพไม่ได้สติไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย? ในเมืองปีนังนี่มันก็ไม่มีใครกล้าท้าทายเค้าเลยนะ” คนขับบ่นพึมพำ “เค้าคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่จริงๆเหรอ? พูดจาก็ไม่ดี พอออกจากเมืองปีนังไปแล้ว เค้าก็ทำอะไรไม่ได้มากหรอก”
ฉินเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เค้าไม่ต่อปากอะไร จากนั้นก็เร่งเร้าไปว่า: “รบกวนช่วยขับให้มันเร็วๆหน่อย”
ท่าทีของจินฮู่นั้นดูโง่จริงๆ แต่ฉินเฉิงก็ไม่ได้อะไร เค้ากลับรู้สึกถึงความอบอุ่นในใจของจินฮู่
มันไม่มีใครรู้เลยว่าจินฮู่นี่ทำตามคำสั่งหรือว่าเต็มใจที่จะช่วยฉินเฉิงจริงๆ
แต่ไม่ว่าสถานการณ์มันจะเป็นอย่างไร ฉินเฉิงจะล้างแค้นให้กับเค้า
เมื่อมาถึงเมืองปีนังแล้ว คนขับก็ถามว่า: “เราจะไปไหนกัน?”
“จินฮู่อยู่ที่โรงพยาบาลไหนกัน?” ฉินเฉิงถาม
“น่าจะเป็นโรงพยาบาลราษฎร์” คนขับพึมพำขึ้นมา
“งั้นก็ไปโรงพยาบาลราษฎร์” ฉินเฉิงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
รถมาถึงที่ทางเข้าโรงพยาบาลราษฎร์ หลังจากที่ฉินเฉิงจ่ายค่าโดยสารแล้ว เค้าก็รีบขึ้นไปชั้นบน
ญาณหยั่งรู้ของเค้ามันก็ครอบคลุมโรงพยาบาลเกือบทั้งหมดในทันที จากนั้นไม่นานเค้าก็เจอห้องพักของจินฮู่
แน่นอนว่าตอนนี้จินฮู่กำลังนอนอยู่ในห้อง ICU ลมหายใจของเค้าอ่อนแรงมาก
ที่ประตูของวอร์ด ลูกน้องจิงฮู่หลายคนก็กำลังคุ้มกันเค้าไว้
หลังจากเห็นฉินเฉิงแล้ว พวกเค้าก็ดีใจและรีบวิ่งเข้ามาพูดว่า: “คุณฉิน ในที่สุดคุณก็กลับมา พี่ฮู่เค้า…”
“ฉันรู้แล้ว” ฉินเฉิงพูด “หมอว่ายังไงบ้าง?”
“หมอบอกว่า…กระดูกสันหลังของพี่จินฮู่หัก อย่างดีที่สุดเค้าก็จะต้องนอนกลายเป็นผัก…” สีหน้าของลูกน้องก็ดูไม่ได้เลย เค้าแทบจะร้องไห้ออกมา
ในวันปีใหม่ คนไม่กี่คนเหล่านี้ยังคงอยู่ที่นี่ เมื่อดูๆแล้วพวกเค้าน่าจะเป็นมือซ้ายกับมือขวาของฉินเฉิง
ฉินเฉิงตบไหล่เค้าแล้วพูดว่า: “ฉันรู้หมดแล้ว ไม่ต้องห่วง”
หลังจากพูดจบ ฉินเฉิงก็เดินเข้าไปในวอร์ด
ทันทีที่เปิดประตู จินฮูก็กำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลพร้อมกับหน้ากากออกซิเจน
ฉินเฉิงวางมือลงบนหลังของจินฮู่แล้วพลังปราณก็แทรกซึมเข้าไป
ไม่กี่นาทีต่อมา สีหน้าของฉินเฉิงก็ดูไม่ได้เลย
เส้นประสาทในกระดูกสันหลังทั้งหมดมันขาด แม้แต่ฉินเฉิงก็ทำอะไรไม่ได้เลย
“คุณฉิน พี่จินฮู่เป็นยังไงบ้าง?” ลูกน้อยหลายคนก็ถามขึ้นมา
ฉินเฉิงเปิดปากพูดแล้วโบกมือขึ้นมาว่า: “ไม่เป็นไร ฉันรักษาได้ แต่ต้องใช้เวลาหน่อย”
“อย่างงั้นก็ดีครับ” จู่ๆ หลายคนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“พวกนายดูแลจินฮู่ให้ดี” ฉินเฉิงพูดว่า “ฉันมีธุระต้องไปทำ”
หลังจากออกมาจากวอร์ด ฉินเฉิงก็คิดอยู่ซักพัก หลังจากนั้นเค้าก็โทรหาเจ้าสำนักตำหนักเทพโอสถ
เค้าไม่สามารถช่วยจินฮู่ได้จริงๆ แต่เจ้าสำนักอาจมีวิธี
เธอรับสายอย่างเร็วแล้วเจ้าสำนักก็พูด “สวัสดี” อย่างเกียจคร้าน
ฉินเฉิงก็รีบพูดขึ้นมา: “ท่านเจ้าสำนัก สวัสดีปีใหม่”
เจ้าสำนักก็พูดอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย: “มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ”
ฉินเฉิงหัวเราะสองครั้ง: “ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ…”
หลังจากนั้น ฉินเฉิงก็บอกเจ้าสำนักเกี่ยวกับสถานการณ์ของจินฮู่
“ท่านเจ้าสำนัก คุณพอจะมีวิธีไหม? คนๆนี้เป็นเพื่อนที่สำคัญมากของผม ผมต้องการช่วยเค้า” ฉินเฉิงพูดอย่างกังวลใจทางโทรศัพท์
เจ้าสำนักเงียบไปซักพักแล้วพูดว่า: “เอาละ หลังปีใหม่ไป ฉันจะลองดู”
ฉินเฉิงดีใจแล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า: “ขอบคุณครับท่านเจ้าสำนัก!”
“ไม่มีเรื่องอะไรอย่างงั้นฉันจะวางสายแล้วนะ” เจ้าสำนักก็พูดขึ้นมา
ทันทีที่ฉินเฉิงกำลังจะพูด เสียง “ตุ๊ดๆๆ” ก็ดังขึ้นมาจากปลายสายอีกด้าน
นี่มันก็ทำให้ฉินเฉิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เนื่องจากเจ้าสำนักวังก็ตอบตกลงแล้วว่าเค้าจะหาวิธีการมาช่วยจินฮู่ นี่มันก็ทำให้ฉินเฉิงโล่งใจมาก
ที่อีกด้านหนึ่ง
หลิงเจิ้งหลงก็ได้รับเชิญไปรับประทานอาหารที่โรงแรม
ในเมืองปีนังทั้งหมดไม่มีใครกล้ายืนเคียงข้างหลิวเจิ้งหลงเลย เพราะฉินเฉิงยังไม่กลับมา ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเป็นศัตรูกับเค้าเลย
แต่มีตระกูลหนึ่งที่แตกต่างออกไป นั่นคือตระกูลหยาง เค้าคือหยางอี้พ่อของหยางเจี้ยน
ตั้งแต่ที่ฉินเฉิงเข้ามา ตระกูลหยางก็ถูกปราบปรามแล้วก็ไม่มีใครในเมืองปีนังที่ยินดีที่จะร่วมมือกับพวกเค้าเลย
สิ่งนี้เอง มันก็ทำให้ความเกลียดชังของตระกูลหยางต่อฉินเฉิงรุนแรงยิ่งขึ้น
“คุณหลิวมาที่ตระกูลหยางของเราได้เลยครับ ตระกูลหยางของเรายอดเยี่ยมมาก!” หยางเจี้ยนพูดพร้อมยกแก้วขึ้นมา
หลิวเจิ้งหลงก็จิบไวน์แล้วพูดอย่างเฉยชาว่า: “เพียงแค่ฉินเฉิงกล้าโผล่หัวออกมา มันได้ตายแน่”
“ฮ่าฮ่า นั่นมันก็คงจะดีมาก!” หยางเจี้ยนพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “ฉินเฉิงคนนี้มันมีจิตใจที่ชั่วร้ายมาก นี่ไม่ต้องพูดถึงครอบครัวลูกสะใภ้ของฉันเลย มันยังฆ่าลูกชายของฉันด้วย! มันไม่ใช่มนุษย์!”
หลิวเจิ้งหลงก็เหลือบมองเค้าแล้วพูดว่า: “ฉันไม่สนใจเรื่องครอบครัวของนาย ฉันจะฆ่าฉินเฉิงแล้วมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ”
หยางอี้ตกตะลึง จากนั้นเค้าก็พยักหน้าแล้วก้มหน้าลงกินข้าว: “ใช่ๆๆ ทำเป็นว่าไม่เห็นหัวตระกูลหยางของเราก็แล้วกัน…”
หลิวเจิ้งหลงก็อยู่ในงานเลี้ยงตระกูลหยาง ในตอนนี้เอง บอดี้การ์ดของตระกูลหยางก็วิ่งเข้ามา
“ประธานหยาง แย่แล้ว!” บอดี้การ์ดพูดขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
หยางเจี้ยนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า: “จะร้อนรนอะไรขนาดนี้ ไม่เห็นเหรอว่าคุณหลิวกำลังทานข้าวอยู่?”
บอดี้การ์ดก็พูดขึ้นมาอย่างกังวล: “ฉินเฉิง…ฉินเฉิงมาที่นี่แล้ว!”
“ฉินเฉิงมาที่นี่แล้วเหรอ?” สีหน้าของหยางเจี้ยนเปลี่ยนไป หลิวเจิ้นหรงก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“แกแน่ใจ?” หลิวเจิ้งหลงก็ถามขึ้นมา
“แน่ใจครับ เค้าทำลูกน้องของเราทั้งหกคน!” บอดี้การ์ดก็พูดขึ้นมา
ทันทีที่เค้าพูดจบ ร่างของบอดี้การ์ดหลายคนก็ถูกโยนเข้ามา
“ฉินเฉิง!” หลังจากเห็นคนที่เข้ามา หยางเจี้ยนก็กลัวมาก เค้ากลัวจนเข้าไปซ่อนอยู่ที่ด้านหลังของหลิวเจิ้นหรง
ฉินเฉิงมองไปที่หลิวเจิ้งหลงอย่างเย็นชาแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “แกตบจินฮู่อย่างงั้นเหรอ?”
“หึหึ ในที่สุดแกก็แสดงตัวออกมา” หลิวเจิ้งหลงก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ทำไมแกไม่ก้มหัวให้ฉัน?”
“ฉันถามว่าแกตบจินฮู่เหรอ?” ฉินเฉิงถามอย่างเย็นชา
หลิวเจิ้งหลงฮัมเพลงเบาๆ : “ทำไม มันก็แค่สุนัข แกจะสนใจอะไรกับมันมาก”
“สุนัข?” สีหน้าของฉินเฉิงก็เย็นชาลง ทันใดนั้นเองแสงสีทองมันก็ตบเข้าไปที่หน้าของหลิวเจิ้งหลง
หลิวเจิ้งหลงไม่ตอบสนองเลย ร่างทั้งร่างของเค้ามันก็กระเด็นออกไป
“งั้นแกเป็นตัวอะไร?” ฉินเฉิงพูดอย่างเย็นชา
สีหน้าของหลิวเจิ้นหรงดูน่าเกลียดเล็กน้อย เค้าเอามือสัมผัสใบหน้าของตัวเองแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “ไอ่เวร รนหาที่ตาย ไม่ว่าใครก็ช่วยมึงไม่ได้!”
“ประโยคนี้ฉันน่าจะเป็นคนที่ต้องพูด” ฉินเฉิงเยาะเย้ย
หลิงเจิ้งหลงก็เหล่ตาของเค้าแล้วพูดว่า: “ถ้าแกแน่จริง วันพรุ่งนี้ตอนเที่ยง ฉันจะไปรอแกที่ทะเลสาบเซียงชือ!”
“โอ้?” ฉินเฉิงขมวดคิ้ว “แกว่านี่มันคือนัดอย่างงั้นเหรอ?”
“แน่นอน” หลิวเจิ้งหรงพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “ฉันนัดแกอย่างเป็นทางการ”
“แกคู่ควรอย่างงั้นเหรอ?” ฉินเฉิงพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “การจะฆ่าแกมันก็แค่ยกมือขึ้นเท่านั้น มันไม่ต้องนัดอะไรเลย?”