เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 88 – 1 ความลับราชินี

แววตาของจิ่งเหิงปัวกวาดผ่านกลางฝูงชน พบว่าเฟยหลัวหายไปแล้ว

 

 

ผู้หญิงเพียงคนเดียวท่ามกลางฝูงชนย่อมถูกพบเจอได้ง่ายอย่างยิ่ง

 

 

ในใจนางกระตุกวูบ แอบร้องว่าแย่แล้ว ตอนนี้ตำหนักปิดมิดชิด ควันปัสสาวะของเฟยเฟยถึงใช้ได้ผล หากมีบางคนไม่ได้เข้ามาแล้วเปิดประตูหลังจากนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสายลมหิมะที่พัดเข้ามาจะทำให้สิ่งที่นางทำไว้ก่อนหน้านี้สูญเปล่า

 

 

แต่ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้วเช่นกัน ได้แต่ฝากความหวังให้เฟยหลัวหายไปเพราะนึกได้ว่าตนเองกำลังจะต้องเผชิญปัญหา นางจึงหลบหน้าไปเสียเลยเพื่อไม่ให้ถูกเสนอตัวออกมา

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ในใจนางกระตุกวูบอีกครั้ง คิดว่าเหตุใดกงอิ้นถึงไม่ได้ตามมาด้วย?

 

 

เขาทำอะไรอยู่?

 

 

นางเชิดสายตาขึ้น จ้องมองสายลมหิมะนอกตำหนักผ่านฉากกั้นห้องสลักลายที่อยู่สูงขึ้นไป หิมะในค่ำคืนนี้แปรปรวนปั่นป่วน ดุจป่านเย็นกลุ่มหนึ่งพลันสอดเข้ามาในใจนาง

 

 

นางแอบกระวนกระวายใจ รู้สึกคล้ายเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น

 

 

ยามนี้การตอบสนองของเหล่าขุนนางเริ่มช้าลงแล้ว แม้ว่ายังคงเกี่ยงกันแต่สีหน้าท่าทางวาจาต่างช้าลงครึ่งจังหวะ

 

 

มีคนเอ่ยอย่างเชื่องช้าลงว่า “เอ๊ะ…เสนาหญิงเล่า? เสนาหญิงเป็นผู้เสนอให้ถวายยาพิษ นางเป็นสตรีด้วย ให้นางมาส่งราชินีสู่การเดินทางครั้งสุดท้าย นี่ก็เหมาะสมเป็นที่สุดแล้ว”

 

 

พอวาจานี้เปล่งออกมา ทุกคนทยอยเห็นด้วย

 

 

“เสนาหญิงเล่า…”

 

 

“เรื่องนี้เสนาหญิงเหมาะสมยิ่งนัก…”

 

 

“เสนาหญิงหรือ…” จิ่งเหิงปัวกลอกตามอง ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “นางไปตำหนักบรรทมของข้าแล้ว อย่างไรเล่า ทุกคนจะไปหานางหรือไม่?”

 

 

“ไปตำหนักบรรทมแล้วหรือ…” บางคนเริ่มหันหลังกลับ บางคนยืนอยู่ที่เดิมงงงวยไม่ขยับเขยื้อน บางคนยังคงขมวดคิ้วใคร่ครวญ

 

 

จิ่งเหิงปัวร้อนรนกระวนกระวาย เขย่าชายกระโปรงถามสัตว์ประหลาดน้อยว่ายามนี้ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดทุกคนถึงมีปฏิกิริยาแตกต่างกัน

 

 

สัตว์ประหลาดน้อยเขย่าชายกระโปรงของนางเช่นกัน ส่ายหน้าเชื่องช้าอยู่ใต้กระโปรงนาง…ตำหนักใหญ่เกินไป คนมากเกินไป อีกทั้งสภาพร่างกายของทุกคนแตกต่างกัน ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกัน

 

 

ไม่มีผู้ใดสามารถวางยาพิษกับคนกลุ่มใหญ่ได้ ทำได้เช่นนี้นับว่าไม่เลวแล้ว ของเหลวในร่างกายของเฟยเฟยไม่มีสีไม่มีกลิ่น แม้กระทั่งยอดฝีมือเช่นเฉิงกูมั่วยังไม่อาจสังเกตเห็น

 

 

“เสนาหญิงพบของดีในตำหนักบรรทมแน่ะ…” เสียงของจิ่งเหิงปัวล่องลอยเชื่องช้า สั่นไหวท่ามกลางไอควันเวียนวน

 

 

“ข้าพบของดีโดยแท้!”

 

 

ประตูพลันถูกถีบจนเปิดออกดังพลั่ก! ลมหนาวหอบใหญ่พัดพาหิมะหนาวเหน็บพุ่งเข้ามาดังซ่า!

 

 

เฟยหลัวยืนอยู่ตรงปากประตู ดวงตาทั้งสองข้างฉายแววชั่วร้าย มือข้างหนึ่งลากสตรีสวมเสื้อคลุมนางหนึ่งไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวลุกยืนขึ้นทันที

 

 

แย่แล้ว!

 

 

ลมหนาวพัดเข้ามา เศษหิมะปะทะใบหน้า พลันชำระล้างไอควันภายในตำหนักจนหมดสิ้น สีหน้าของหลายคนเปลี่ยนไป เงยหน้าฟื้นคืนสติในฉับพลัน

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นในแวบเดียว ก่อนจะนั่งลงทันที

 

 

ช้าไปเพียงก้าวเดียว! สวรรค์ไม่คุ้มครองนางเลย!

 

 

เฟยเฟยขบฟันอยู่ใต้กระโปรงนาง…มันกินของไม่อร่อยไปตั้งเยอะเพื่อปัสสาวะนี้!

 

 

เฟยหลัวยิ้มเยาะอยู่ตรงปากประตู จิ่งเหิงปัวรู้สึกเศร้าซึม นางนั่งพิงบัลลังก์คิดหาวิธีอีกครั้ง ไม่อยากจะสนใจนางเช่นกัน

 

 

เฟยหลัวเตะประตูออกแล้วลากชุ่ยเจี่ยเข้ามาด้วย ชุ่ยเจี่ยเดินโซเซก้าวเข้ามา แล้วร้อง “อ๊ะ” แผ่วเบา เฟยหลัวประคองไว้ ก่อนเอ่ยข้างหูนางว่า “ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการอยู่ตรงหน้านี้ ตั้งใจทำให้ดี!”

 

 

ชุ่ยเจี่ยก้มหน้าลงมองพื้น พยักหน้าอย่างเชื่องช้า

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นมา สายตาฉายแววประหลาดใจ

 

 

นางฟังออกแล้วว่านี่เป็นเสียงของชุ่ยเจี่ย เช่นนั้นก็อดจะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างไม่ได้ ตอนนี้นางมาปรากฏกายที่นี่ทำไมกัน? ซ้ำยังสวมเสื้อผ้าปกปิดมิดชิดขนาดนี้…

 

 

ขณะที่กำลังอยากจะถาม ทว่าชุ่ยเจี่ยพลันเงยหน้าขึ้นมองมาทางนาง

 

 

ทั้งสองคนสบตากัน จิ่งเหิงปัวชะงักงัน

 

 

ในแววตาชุ่ยเจี่ยมีความร้อนรน การตักเตือน ความกระวนกระวายใจ ความโศกเศร้า…วาจานับพันนับหมื่นพรั่งพรูออกมา หัวใจของจิ่งเหิงปัวแทบจะหยุดเต้น รู้สึกได้ทันทีว่าคล้ายมีคลื่นน้ำแข็งพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง กระแทกจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

 

 

นางกลืนคำถามที่กำลังจะกล่าวลงไปจนหมดสิ้นในทันที

 

 

“ฝ่าบาท” เฟยหลัวเชิดหน้าขึ้น มุมปากมีรอยยิ้มลำพองใจ เอ่ยว่า “พระองค์ทรงกำลังรอคอยคนถวายยาพิษให้พระองค์หรือ? ตรงนี้มีบุคคลที่เหมาะสมยิ่งนัก พี่สาวน้องสาวคนดีของพระองค์ นางกำนัลคนดีจิ้งอวิ๋น ให้นางปรนนิบัติพระองค์เสด็จพระราชดำเนินครั้งสุดท้าย หม่อมฉันแลดูมีน้ำใจเหลือเกินใช่หรือไม่?”

 

 

จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้วครั้งหนึ่ง มองชุ่ยเจี่ยที่ทั่วร่างสั่นเทา ก้มหน้าไม่เอ่ยวาจาแวบเดียว กล่าวว่า “หากอยากจะสังหารข้าก็จงเข้ามาด้วยตนเอง อย่าทำให้คนของข้าลำบากใจ!”

 

 

“หม่อมฉันเพียงประสงค์ดี คิดว่าก่อนสวรรคตอยากให้พระองค์ได้ทรงสัมผัสสายสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างพี่สาวน้องสาวให้เต็มที่สักครั้ง เหตุใดฝ่าบาททรงไม่รู้จักชื่นชมเล่า?” เฟยหลัวยิ้มพราว บังคับชุ่ยเจี่ยให้ค่อยๆ ก้าวขึ้นตำหนัก ยามเดินไปใต้บันไดหน้าตำหนัก ก็ผลักนางครั้งหนึ่ง ร้องว่า “ไปสิ! ไปปรนนิบัติเจ้านายของเจ้าให้เต็มที่สิ!”

 

 

ชุ่ยเจี่ยโซเซเพียงครั้ง แล้วล้มลงบนตักของจิ่งเหิงปัว

 

 

จิ่งเหิงปัวก้มลงไปประคองนางทันที ชุ่ยเจี่ยยื่นมือสองข้างออกมาค้ำข้อศอกของนางไว้

 

 

พอจิ่งเหิงปัวหลุบตามองก็เห็นมือของนาง รู้สึกเพียงว่าโลหิตทั่วร่างเยือกแข็งจนสิ้นในครู่นั้น

 

 

มือที่เต็มไปด้วยเลือด!

 

 

“ชุ่ย…” นางเพิ่งหลุดปากเปล่งเสียงออกมาคำหนึ่ง ชุ่ยเจี่ยก็เงยหน้ามองนางโดยพลัน

 

 

“อย่าเอ่ยวาจา!” นางซบอยู่บนเข่าของจิ่งเหิงปัว คว้าเข่าของนางไว้แน่น

 

 

จิ่งเหิงปัวแข็งทื่อไปทั่วร่าง มือของนางวางอยู่ข้างกายชุ่ยเจี่ย พอสัมผัสโดยไม่ตั้งใจพลันสัมผัสโดนวัตถุที่ยื่นออกมาบริเวณหลังเอวนาง

 

 

ชุ่ยเจี่ยสั่นเทิ้ม จิ่งเหิงปัวชะงักงัน นิ้วมือสัมผัสอีกครั้ง จากนั้นในสมองมีเสียงดังครืนเสียงหนึ่ง

 

 

มีด!

 

 

นิ้วมือของนางสั่นเทาขึ้นมากะทันหัน หลุบตามองเห็นมือของตนเอง ห้านิ้วพลันเปรอะเปื้อนโลหิตแดงฉานเช่นกัน

 

 

โลหิตซึมทะลุผ้าคลุมหนาหนักสีแดงเข้ม ย้อมบนมือของนาง…

 

 

“อย่าขยับ อย่าเอ่ยวาจา…” ชุ่ยเจี่ยเกาะเข่าของนางไว้อย่างแนบแน่น เล็บแหลมยาวขูดผิวกายบริเวณเข่าของจิ่งเหิงปัวจนถลอก

 

 

จิ่งเหิงปัวขบฟันกรามไว้แน่นถึงขัดขวางอาการชั่ววูบไม่ให้ตนเองลุกขึ้นมาโอบกอดชุ่ยเจี่ยไว้หายตัวจากไปทันที

 

 

นางถูกมัดมือไว้ ตนเองอาจจะหายตัวได้ แต่ไม่มีทางพาคนออกไปด้วยได้

 

 

“…ต้าปัว…ข้าเอ่ย…เจ้าฟัง…” เสียงของชุ่ยเจี่ยกระท่อนกระแท่น ฟังดูแล้วคล้ายร้องไห้กระซิก

 

 

เฟยหลัวที่อยู่ข้างล่างบันไดมีสีหน้าพึงพอใจ ในแผนการของนาง เริ่มแรกจิ้งอวิ๋นควรจะร้องไห้แสร้งอ่อนแอ ฉกฉวยความสงสารความรู้สึกผิดจากจิ่งเหิงปัว

 

 

เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อ เล็บจิกลึกเข้าที่ฝ่ามือ พยักหน้าอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน

 

 

มีดเล่มนั้น นางคลำเจอเพียงด้ามมีด ซ้ำยังเป็นบริเวณสำคัญขนาดนั้น นางไม่กล้านึกถึงเรื่องบางเรื่องแล้ว

 

 

เบื้องลึกภายในใจว่างเปล่าหนาวเหน็บ ทันใดนั้นนางก็ไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว วางแผนร้ายอะไร แข่งเรี่ยวแรงแข่งปัญญาอะไร ภยันตรายเบื้องหน้าอะไร แผนการในอนาคตอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น

 

 

หิมะมัวสลัวผืนหนึ่งเบื้องหน้าดูคล้ายเป็นไอควันที่เฟยเฟยสร้างเมื่อครู่ ทุกสิ่งกำลังเลือนราง มีเพียงเสียงวาจาแผ่วเบาของชุ่ยเจี่ย นางได้ยินชัดเจน

 

 

“…ระวังจิ้งอวิ๋น…”

 

 

“…จิ้งอวิ๋นน่าจะมีฐานะไม่ธรรมดา นางกับเจ้า…ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้…”

 

 

“…ระวังคนข้างกาย…”

 

 

“…ข้ามียาเม็ดหนึ่ง…ข้าคิดว่า…พวกนางยังจะบังคับให้เจ้ากินยา…เม็ดนี้คือยาถอนพิษที่แก้พิษนับร้อยได้…เจ้ากินเสียสิ…”

 

 

นิ้วมือของชุ่ยเจี่ยขยับเพียงครั้ง ยาเม็ดหนึ่งกลิ้งสู่ฝ่ามือนาง นางรับไว้อย่างมึนชา

 

 

ชุ่ยเจี่ยหอบหายใจบนเข่าของนาง เสียงค่อยๆ แผ่วเบาลง

 

 

“…ยามนั้นเจ้าช่วยข้าแก้แค้น…ข้าไม่ได้ตั้งใจจะล่อลวงเจ้า…ชั่วชีวิตของข้านี้…มีเจ้าเป็นสหาย…เป็นผู้มีพระคุณเพียงคนเดียว…ข้าเคยสาบานว่าจะใช้ชีวิตปกป้องเจ้าให้อยู่รอดปลอดภัย…ต้าปัว…เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี…อย่าทำให้ข้าผิดหวัง…”

 

 

นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวขยับเขยื้อนเล็กน้อยหวังจะสำรวจอาการบาดเจ็บของนาง ทว่าชุ่ยเจี่ยหันกายหลบหลีกร่นถอยออกไปแล้ว เพียงการเคลื่อนไหวแผ่วเบาครั้งนี้ นางหอบหายใจถี่กระชั้นขึ้นมา จิ่งเหิงปัวไม่กล้าขยับเขยื้อนแล้ว

 

 

นางมองไม่เห็นใบหน้าของชุ่ยเจี่ย มองเห็นเพียงนิ้วมือของตนเองที่เปื้อนโลหิต ก่อนจะห้อยตกลงอย่างด้านชาและแข็งทื่อ

 

 

“…เคยสัญญากับเจ้าว่าจะไม่ขาดไปแม้แต่ข้อเดียว แต่ยังขาดไปสองข้อ…ภายหลังเจ้าต้องใช้ชีวิตให้ดี…อย่างน้อยที่สุดยงเสวี่ยกับจื่อหรุ่ยจะอยู่เคียงข้างเจ้า…ต้าปัว…เจ้าแลคล้ายเปี่ยมไมตรี ทว่าแท้จริงแล้วเย็นชา…ยามทำร้ายเจ้าเจ้าจะตัดเยื่อใยยิ่งนัก…อย่าได้ตัดเยื่อใย…เป็นตัวของตัวเอง…หลังจากวันนี้…ข้ายังอยากมองเห็นเจ้าคนเดิม…”

 

 

“จิ้งอวิ๋น!” เฟยหลัวที่อยู่ข้างล่างบันไดรู้สึกว่าผิดปกติ เร่งเร้าตะคอกถามว่า “เจ้าทำอะไรอยู่? เร็วเข้า!”

 

 

ชุ่ยเจี่ยพลันยกถาดรองที่วางอยู่ข้างหนึ่ง หยิบยาเม็ดขึ้นมา หันหลังให้เฟยหลัวแล้วยกมือขึ้น

 

 

โลหิตบนมือหยดย้อยยามนางยกมือขึ้น สีหน้าของเฟยหลัวเปลี่ยนไป พอมองเงาด้านหลังนางโดยละเอียด พลันร้องอุทานว่า “เจ้าไม่ใช่…เจ้าคือผู้ใด!”

 

 

ชุ่ยเจี่ยไม่เอ่ยตอบ หันหน้ายิ้มแย้มให้นางอย่างเสียดสี

 

 

“เจ้าเอ่ยถูกต้องแล้ว” นางเอ่ยว่า “คนเช่นต้าปัวนี้ ย่อมมีคนยินยอมร่วมเป็นร่วมตายกับนางเสมอ”

 

 

นิ้วมือเวียนวนสอดยาเม็ดเข้าในปากอย่างแผ่วเบา นางกลืนลงไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ลำคอดังอึกเสียงเดียว จากนั้นผลิแย้มรอยยิ้มเงียบสงบพึงพอใจผืนหนึ่ง

 

 

“ชุ่ยเจี่ย!” เสียงของจิ่งเหิงปัวแตกพร่าขึ้นมาทันที

 

 

ชุ่ยเจี่ยหันหน้ามายิ้มให้นางครั้งหนึ่ง เรือนร่างพลันอ่อนยวบ ล้มลงบนตักของนาง

 

 

โลหิตสีดำตรงมุมปากย้อมบริเวณเข่าของจิ่งเหิงปัวให้เป็นสีม่วงในพริบตาเดียว

 

 

นางเอื้อมมือสั่นระริกคล้ายยังอยากเช็ดคราบโลหิตแทนจิ่งเหิงปัว ปากยังคงยิ้มแย้มเอ่ยวาจาเจื้อยแจ้วไปพลางว่า “…ล่วงเกินเจ้าไม่ได้ เจ้าสัญญาว่าจะมอบสินเดิมมากมายให้ข้า หาเนื้อคู่ที่เหมาะสมให้ข้าด้วย เฮ้อ สินเดิมมากมายของข้า…”

 

 

มือเช็ดได้ครึ่งเดียว ก็ห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

 

 

จิ่งเหิงปัวก้มหน้ามองดูร่างกายของนางค่อยๆ อ่อนยวบลื่นไถลไปข้างหลัง ร่นถอยออกจากเข่าของนางแล้วเอนเอียงล้มลงบนพื้น

 

 

ดั่งชั่วชีวิตนี้ ความมืดมิดเข้มข้นหลากสีสันมากมายเข้ามามีส่วนร่วม จากนั้น ปิดฉากลงอย่างสะท้านใจสะเทือนวิญญาณ

 

 

ผ้าคลุมร่วงลงข้างหนึ่ง เผยให้เห็นกริชที่ลึกจนมิดด้ามเล่มหนึ่งบริเวณเอวและคราบโลหิตผืนใหญ่ซึ่งเพียงพอปกคลุมทั่วร่างมนุษย์

 

 

ผ้าคลุมผืนหนึ่งบดบังร่องรอยและความเจ็บปวดทรมานไว้มากเหลือเกิน

 

 

นาทีสุดท้าย นางเลือกเอ่ยเรื่องสัพเพเหระเจื้อยแจ้ว ท่าทางรักเงินทองเฉกเช่นยามแรก คล้ายยังหวังใช้ควันไฟแห่งโลกมนุษย์ปลุกนางให้ตื่นฟื้น อย่าได้สิ้นหวังขนาดนั้น

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 88 – 1 ความลับราชินี

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 88 – 1 ความลับราชินี

แววตาของจิ่งเหิงปัวกวาดผ่านกลางฝูงชน พบว่าเฟยหลัวหายไปแล้ว

 

 

ผู้หญิงเพียงคนเดียวท่ามกลางฝูงชนย่อมถูกพบเจอได้ง่ายอย่างยิ่ง

 

 

ในใจนางกระตุกวูบ แอบร้องว่าแย่แล้ว ตอนนี้ตำหนักปิดมิดชิด ควันปัสสาวะของเฟยเฟยถึงใช้ได้ผล หากมีบางคนไม่ได้เข้ามาแล้วเปิดประตูหลังจากนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสายลมหิมะที่พัดเข้ามาจะทำให้สิ่งที่นางทำไว้ก่อนหน้านี้สูญเปล่า

 

 

แต่ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้วเช่นกัน ได้แต่ฝากความหวังให้เฟยหลัวหายไปเพราะนึกได้ว่าตนเองกำลังจะต้องเผชิญปัญหา นางจึงหลบหน้าไปเสียเลยเพื่อไม่ให้ถูกเสนอตัวออกมา

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ในใจนางกระตุกวูบอีกครั้ง คิดว่าเหตุใดกงอิ้นถึงไม่ได้ตามมาด้วย?

 

 

เขาทำอะไรอยู่?

 

 

นางเชิดสายตาขึ้น จ้องมองสายลมหิมะนอกตำหนักผ่านฉากกั้นห้องสลักลายที่อยู่สูงขึ้นไป หิมะในค่ำคืนนี้แปรปรวนปั่นป่วน ดุจป่านเย็นกลุ่มหนึ่งพลันสอดเข้ามาในใจนาง

 

 

นางแอบกระวนกระวายใจ รู้สึกคล้ายเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น

 

 

ยามนี้การตอบสนองของเหล่าขุนนางเริ่มช้าลงแล้ว แม้ว่ายังคงเกี่ยงกันแต่สีหน้าท่าทางวาจาต่างช้าลงครึ่งจังหวะ

 

 

มีคนเอ่ยอย่างเชื่องช้าลงว่า “เอ๊ะ…เสนาหญิงเล่า? เสนาหญิงเป็นผู้เสนอให้ถวายยาพิษ นางเป็นสตรีด้วย ให้นางมาส่งราชินีสู่การเดินทางครั้งสุดท้าย นี่ก็เหมาะสมเป็นที่สุดแล้ว”

 

 

พอวาจานี้เปล่งออกมา ทุกคนทยอยเห็นด้วย

 

 

“เสนาหญิงเล่า…”

 

 

“เรื่องนี้เสนาหญิงเหมาะสมยิ่งนัก…”

 

 

“เสนาหญิงหรือ…” จิ่งเหิงปัวกลอกตามอง ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “นางไปตำหนักบรรทมของข้าแล้ว อย่างไรเล่า ทุกคนจะไปหานางหรือไม่?”

 

 

“ไปตำหนักบรรทมแล้วหรือ…” บางคนเริ่มหันหลังกลับ บางคนยืนอยู่ที่เดิมงงงวยไม่ขยับเขยื้อน บางคนยังคงขมวดคิ้วใคร่ครวญ

 

 

จิ่งเหิงปัวร้อนรนกระวนกระวาย เขย่าชายกระโปรงถามสัตว์ประหลาดน้อยว่ายามนี้ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดทุกคนถึงมีปฏิกิริยาแตกต่างกัน

 

 

สัตว์ประหลาดน้อยเขย่าชายกระโปรงของนางเช่นกัน ส่ายหน้าเชื่องช้าอยู่ใต้กระโปรงนาง…ตำหนักใหญ่เกินไป คนมากเกินไป อีกทั้งสภาพร่างกายของทุกคนแตกต่างกัน ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกัน

 

 

ไม่มีผู้ใดสามารถวางยาพิษกับคนกลุ่มใหญ่ได้ ทำได้เช่นนี้นับว่าไม่เลวแล้ว ของเหลวในร่างกายของเฟยเฟยไม่มีสีไม่มีกลิ่น แม้กระทั่งยอดฝีมือเช่นเฉิงกูมั่วยังไม่อาจสังเกตเห็น

 

 

“เสนาหญิงพบของดีในตำหนักบรรทมแน่ะ…” เสียงของจิ่งเหิงปัวล่องลอยเชื่องช้า สั่นไหวท่ามกลางไอควันเวียนวน

 

 

“ข้าพบของดีโดยแท้!”

 

 

ประตูพลันถูกถีบจนเปิดออกดังพลั่ก! ลมหนาวหอบใหญ่พัดพาหิมะหนาวเหน็บพุ่งเข้ามาดังซ่า!

 

 

เฟยหลัวยืนอยู่ตรงปากประตู ดวงตาทั้งสองข้างฉายแววชั่วร้าย มือข้างหนึ่งลากสตรีสวมเสื้อคลุมนางหนึ่งไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวลุกยืนขึ้นทันที

 

 

แย่แล้ว!

 

 

ลมหนาวพัดเข้ามา เศษหิมะปะทะใบหน้า พลันชำระล้างไอควันภายในตำหนักจนหมดสิ้น สีหน้าของหลายคนเปลี่ยนไป เงยหน้าฟื้นคืนสติในฉับพลัน

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นในแวบเดียว ก่อนจะนั่งลงทันที

 

 

ช้าไปเพียงก้าวเดียว! สวรรค์ไม่คุ้มครองนางเลย!

 

 

เฟยเฟยขบฟันอยู่ใต้กระโปรงนาง…มันกินของไม่อร่อยไปตั้งเยอะเพื่อปัสสาวะนี้!

 

 

เฟยหลัวยิ้มเยาะอยู่ตรงปากประตู จิ่งเหิงปัวรู้สึกเศร้าซึม นางนั่งพิงบัลลังก์คิดหาวิธีอีกครั้ง ไม่อยากจะสนใจนางเช่นกัน

 

 

เฟยหลัวเตะประตูออกแล้วลากชุ่ยเจี่ยเข้ามาด้วย ชุ่ยเจี่ยเดินโซเซก้าวเข้ามา แล้วร้อง “อ๊ะ” แผ่วเบา เฟยหลัวประคองไว้ ก่อนเอ่ยข้างหูนางว่า “ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการอยู่ตรงหน้านี้ ตั้งใจทำให้ดี!”

 

 

ชุ่ยเจี่ยก้มหน้าลงมองพื้น พยักหน้าอย่างเชื่องช้า

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นมา สายตาฉายแววประหลาดใจ

 

 

นางฟังออกแล้วว่านี่เป็นเสียงของชุ่ยเจี่ย เช่นนั้นก็อดจะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างไม่ได้ ตอนนี้นางมาปรากฏกายที่นี่ทำไมกัน? ซ้ำยังสวมเสื้อผ้าปกปิดมิดชิดขนาดนี้…

 

 

ขณะที่กำลังอยากจะถาม ทว่าชุ่ยเจี่ยพลันเงยหน้าขึ้นมองมาทางนาง

 

 

ทั้งสองคนสบตากัน จิ่งเหิงปัวชะงักงัน

 

 

ในแววตาชุ่ยเจี่ยมีความร้อนรน การตักเตือน ความกระวนกระวายใจ ความโศกเศร้า…วาจานับพันนับหมื่นพรั่งพรูออกมา หัวใจของจิ่งเหิงปัวแทบจะหยุดเต้น รู้สึกได้ทันทีว่าคล้ายมีคลื่นน้ำแข็งพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง กระแทกจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

 

 

นางกลืนคำถามที่กำลังจะกล่าวลงไปจนหมดสิ้นในทันที

 

 

“ฝ่าบาท” เฟยหลัวเชิดหน้าขึ้น มุมปากมีรอยยิ้มลำพองใจ เอ่ยว่า “พระองค์ทรงกำลังรอคอยคนถวายยาพิษให้พระองค์หรือ? ตรงนี้มีบุคคลที่เหมาะสมยิ่งนัก พี่สาวน้องสาวคนดีของพระองค์ นางกำนัลคนดีจิ้งอวิ๋น ให้นางปรนนิบัติพระองค์เสด็จพระราชดำเนินครั้งสุดท้าย หม่อมฉันแลดูมีน้ำใจเหลือเกินใช่หรือไม่?”

 

 

จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้วครั้งหนึ่ง มองชุ่ยเจี่ยที่ทั่วร่างสั่นเทา ก้มหน้าไม่เอ่ยวาจาแวบเดียว กล่าวว่า “หากอยากจะสังหารข้าก็จงเข้ามาด้วยตนเอง อย่าทำให้คนของข้าลำบากใจ!”

 

 

“หม่อมฉันเพียงประสงค์ดี คิดว่าก่อนสวรรคตอยากให้พระองค์ได้ทรงสัมผัสสายสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างพี่สาวน้องสาวให้เต็มที่สักครั้ง เหตุใดฝ่าบาททรงไม่รู้จักชื่นชมเล่า?” เฟยหลัวยิ้มพราว บังคับชุ่ยเจี่ยให้ค่อยๆ ก้าวขึ้นตำหนัก ยามเดินไปใต้บันไดหน้าตำหนัก ก็ผลักนางครั้งหนึ่ง ร้องว่า “ไปสิ! ไปปรนนิบัติเจ้านายของเจ้าให้เต็มที่สิ!”

 

 

ชุ่ยเจี่ยโซเซเพียงครั้ง แล้วล้มลงบนตักของจิ่งเหิงปัว

 

 

จิ่งเหิงปัวก้มลงไปประคองนางทันที ชุ่ยเจี่ยยื่นมือสองข้างออกมาค้ำข้อศอกของนางไว้

 

 

พอจิ่งเหิงปัวหลุบตามองก็เห็นมือของนาง รู้สึกเพียงว่าโลหิตทั่วร่างเยือกแข็งจนสิ้นในครู่นั้น

 

 

มือที่เต็มไปด้วยเลือด!

 

 

“ชุ่ย…” นางเพิ่งหลุดปากเปล่งเสียงออกมาคำหนึ่ง ชุ่ยเจี่ยก็เงยหน้ามองนางโดยพลัน

 

 

“อย่าเอ่ยวาจา!” นางซบอยู่บนเข่าของจิ่งเหิงปัว คว้าเข่าของนางไว้แน่น

 

 

จิ่งเหิงปัวแข็งทื่อไปทั่วร่าง มือของนางวางอยู่ข้างกายชุ่ยเจี่ย พอสัมผัสโดยไม่ตั้งใจพลันสัมผัสโดนวัตถุที่ยื่นออกมาบริเวณหลังเอวนาง

 

 

ชุ่ยเจี่ยสั่นเทิ้ม จิ่งเหิงปัวชะงักงัน นิ้วมือสัมผัสอีกครั้ง จากนั้นในสมองมีเสียงดังครืนเสียงหนึ่ง

 

 

มีด!

 

 

นิ้วมือของนางสั่นเทาขึ้นมากะทันหัน หลุบตามองเห็นมือของตนเอง ห้านิ้วพลันเปรอะเปื้อนโลหิตแดงฉานเช่นกัน

 

 

โลหิตซึมทะลุผ้าคลุมหนาหนักสีแดงเข้ม ย้อมบนมือของนาง…

 

 

“อย่าขยับ อย่าเอ่ยวาจา…” ชุ่ยเจี่ยเกาะเข่าของนางไว้อย่างแนบแน่น เล็บแหลมยาวขูดผิวกายบริเวณเข่าของจิ่งเหิงปัวจนถลอก

 

 

จิ่งเหิงปัวขบฟันกรามไว้แน่นถึงขัดขวางอาการชั่ววูบไม่ให้ตนเองลุกขึ้นมาโอบกอดชุ่ยเจี่ยไว้หายตัวจากไปทันที

 

 

นางถูกมัดมือไว้ ตนเองอาจจะหายตัวได้ แต่ไม่มีทางพาคนออกไปด้วยได้

 

 

“…ต้าปัว…ข้าเอ่ย…เจ้าฟัง…” เสียงของชุ่ยเจี่ยกระท่อนกระแท่น ฟังดูแล้วคล้ายร้องไห้กระซิก

 

 

เฟยหลัวที่อยู่ข้างล่างบันไดมีสีหน้าพึงพอใจ ในแผนการของนาง เริ่มแรกจิ้งอวิ๋นควรจะร้องไห้แสร้งอ่อนแอ ฉกฉวยความสงสารความรู้สึกผิดจากจิ่งเหิงปัว

 

 

เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อ เล็บจิกลึกเข้าที่ฝ่ามือ พยักหน้าอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน

 

 

มีดเล่มนั้น นางคลำเจอเพียงด้ามมีด ซ้ำยังเป็นบริเวณสำคัญขนาดนั้น นางไม่กล้านึกถึงเรื่องบางเรื่องแล้ว

 

 

เบื้องลึกภายในใจว่างเปล่าหนาวเหน็บ ทันใดนั้นนางก็ไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว วางแผนร้ายอะไร แข่งเรี่ยวแรงแข่งปัญญาอะไร ภยันตรายเบื้องหน้าอะไร แผนการในอนาคตอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น

 

 

หิมะมัวสลัวผืนหนึ่งเบื้องหน้าดูคล้ายเป็นไอควันที่เฟยเฟยสร้างเมื่อครู่ ทุกสิ่งกำลังเลือนราง มีเพียงเสียงวาจาแผ่วเบาของชุ่ยเจี่ย นางได้ยินชัดเจน

 

 

“…ระวังจิ้งอวิ๋น…”

 

 

“…จิ้งอวิ๋นน่าจะมีฐานะไม่ธรรมดา นางกับเจ้า…ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้…”

 

 

“…ระวังคนข้างกาย…”

 

 

“…ข้ามียาเม็ดหนึ่ง…ข้าคิดว่า…พวกนางยังจะบังคับให้เจ้ากินยา…เม็ดนี้คือยาถอนพิษที่แก้พิษนับร้อยได้…เจ้ากินเสียสิ…”

 

 

นิ้วมือของชุ่ยเจี่ยขยับเพียงครั้ง ยาเม็ดหนึ่งกลิ้งสู่ฝ่ามือนาง นางรับไว้อย่างมึนชา

 

 

ชุ่ยเจี่ยหอบหายใจบนเข่าของนาง เสียงค่อยๆ แผ่วเบาลง

 

 

“…ยามนั้นเจ้าช่วยข้าแก้แค้น…ข้าไม่ได้ตั้งใจจะล่อลวงเจ้า…ชั่วชีวิตของข้านี้…มีเจ้าเป็นสหาย…เป็นผู้มีพระคุณเพียงคนเดียว…ข้าเคยสาบานว่าจะใช้ชีวิตปกป้องเจ้าให้อยู่รอดปลอดภัย…ต้าปัว…เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี…อย่าทำให้ข้าผิดหวัง…”

 

 

นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวขยับเขยื้อนเล็กน้อยหวังจะสำรวจอาการบาดเจ็บของนาง ทว่าชุ่ยเจี่ยหันกายหลบหลีกร่นถอยออกไปแล้ว เพียงการเคลื่อนไหวแผ่วเบาครั้งนี้ นางหอบหายใจถี่กระชั้นขึ้นมา จิ่งเหิงปัวไม่กล้าขยับเขยื้อนแล้ว

 

 

นางมองไม่เห็นใบหน้าของชุ่ยเจี่ย มองเห็นเพียงนิ้วมือของตนเองที่เปื้อนโลหิต ก่อนจะห้อยตกลงอย่างด้านชาและแข็งทื่อ

 

 

“…เคยสัญญากับเจ้าว่าจะไม่ขาดไปแม้แต่ข้อเดียว แต่ยังขาดไปสองข้อ…ภายหลังเจ้าต้องใช้ชีวิตให้ดี…อย่างน้อยที่สุดยงเสวี่ยกับจื่อหรุ่ยจะอยู่เคียงข้างเจ้า…ต้าปัว…เจ้าแลคล้ายเปี่ยมไมตรี ทว่าแท้จริงแล้วเย็นชา…ยามทำร้ายเจ้าเจ้าจะตัดเยื่อใยยิ่งนัก…อย่าได้ตัดเยื่อใย…เป็นตัวของตัวเอง…หลังจากวันนี้…ข้ายังอยากมองเห็นเจ้าคนเดิม…”

 

 

“จิ้งอวิ๋น!” เฟยหลัวที่อยู่ข้างล่างบันไดรู้สึกว่าผิดปกติ เร่งเร้าตะคอกถามว่า “เจ้าทำอะไรอยู่? เร็วเข้า!”

 

 

ชุ่ยเจี่ยพลันยกถาดรองที่วางอยู่ข้างหนึ่ง หยิบยาเม็ดขึ้นมา หันหลังให้เฟยหลัวแล้วยกมือขึ้น

 

 

โลหิตบนมือหยดย้อยยามนางยกมือขึ้น สีหน้าของเฟยหลัวเปลี่ยนไป พอมองเงาด้านหลังนางโดยละเอียด พลันร้องอุทานว่า “เจ้าไม่ใช่…เจ้าคือผู้ใด!”

 

 

ชุ่ยเจี่ยไม่เอ่ยตอบ หันหน้ายิ้มแย้มให้นางอย่างเสียดสี

 

 

“เจ้าเอ่ยถูกต้องแล้ว” นางเอ่ยว่า “คนเช่นต้าปัวนี้ ย่อมมีคนยินยอมร่วมเป็นร่วมตายกับนางเสมอ”

 

 

นิ้วมือเวียนวนสอดยาเม็ดเข้าในปากอย่างแผ่วเบา นางกลืนลงไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ลำคอดังอึกเสียงเดียว จากนั้นผลิแย้มรอยยิ้มเงียบสงบพึงพอใจผืนหนึ่ง

 

 

“ชุ่ยเจี่ย!” เสียงของจิ่งเหิงปัวแตกพร่าขึ้นมาทันที

 

 

ชุ่ยเจี่ยหันหน้ามายิ้มให้นางครั้งหนึ่ง เรือนร่างพลันอ่อนยวบ ล้มลงบนตักของนาง

 

 

โลหิตสีดำตรงมุมปากย้อมบริเวณเข่าของจิ่งเหิงปัวให้เป็นสีม่วงในพริบตาเดียว

 

 

นางเอื้อมมือสั่นระริกคล้ายยังอยากเช็ดคราบโลหิตแทนจิ่งเหิงปัว ปากยังคงยิ้มแย้มเอ่ยวาจาเจื้อยแจ้วไปพลางว่า “…ล่วงเกินเจ้าไม่ได้ เจ้าสัญญาว่าจะมอบสินเดิมมากมายให้ข้า หาเนื้อคู่ที่เหมาะสมให้ข้าด้วย เฮ้อ สินเดิมมากมายของข้า…”

 

 

มือเช็ดได้ครึ่งเดียว ก็ห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

 

 

จิ่งเหิงปัวก้มหน้ามองดูร่างกายของนางค่อยๆ อ่อนยวบลื่นไถลไปข้างหลัง ร่นถอยออกจากเข่าของนางแล้วเอนเอียงล้มลงบนพื้น

 

 

ดั่งชั่วชีวิตนี้ ความมืดมิดเข้มข้นหลากสีสันมากมายเข้ามามีส่วนร่วม จากนั้น ปิดฉากลงอย่างสะท้านใจสะเทือนวิญญาณ

 

 

ผ้าคลุมร่วงลงข้างหนึ่ง เผยให้เห็นกริชที่ลึกจนมิดด้ามเล่มหนึ่งบริเวณเอวและคราบโลหิตผืนใหญ่ซึ่งเพียงพอปกคลุมทั่วร่างมนุษย์

 

 

ผ้าคลุมผืนหนึ่งบดบังร่องรอยและความเจ็บปวดทรมานไว้มากเหลือเกิน

 

 

นาทีสุดท้าย นางเลือกเอ่ยเรื่องสัพเพเหระเจื้อยแจ้ว ท่าทางรักเงินทองเฉกเช่นยามแรก คล้ายยังหวังใช้ควันไฟแห่งโลกมนุษย์ปลุกนางให้ตื่นฟื้น อย่าได้สิ้นหวังขนาดนั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset