ครึ่งเค่อก่อน ยงเสวี่ยก็ออกไปตรวจดูความเคลื่อนไหวข้างนอก
เสียงคล้ายเกิดขึ้นนอกกำแพง นางเหยียบบนก้อนหินที่มีหิมะเกาะอยู่ หวังจะปีนขึ้นไปมองให้ชัดเจน
ที่สันกำแพงบนศีรษะพลันมีเศษหิมะร่วงลงมาซู่ซ่า ภายในเศษหิมะนั้น แสงสว่างผืนหนึ่งเสียดแทงขอบเขตสายตาของนาง!
ยงเสวี่ยแหงนหน้าถอยหลัง ฝ่าเท้าพลันลื่นไถลลงจากก้อนหิน ล้มหัวทิ่มอย่างรุนแรงกลางพื้นหิมะ
หลังเอวกระแทกก้อนหิน นางเจ็บจนน้ำตาคลอขมุกขมัว ท่ามกลางความพร่ามัวมองเห็นเงาร่างดั่งเงาหิมะเบาบางผืนหนึ่ง ล่องลอยเฉียดลงมาจากบนกำแพง
ท่วงท่านี้…ในใจของนางตกตะลึง
คนผู้นั้นเหินมาใกล้ข้างกายนาง นั่งยองลงคล้ายหวังดูอาการบาดเจ็บของนาง และคล้ายชักกระบี่ออกมาแล้ว แสงสว่างวูบไหวในมือ
ยงเสวี่ยยังไม่ทันได้มองให้ชัดเจน ก็เอื้อมมือไปคว้าลำคอของคนผู้นั้น คนผู้นั้นตกตะลึง กะพริบวูบไปข้างหลัง แสงเงินในมือสว่างวูบกำลังจะสะบั้นลงมา พลันหยุดชะงักลงคล้ายได้ยินเสียงอะไร เรือนร่างแฉลบเพียงครั้งพาหิมะพัดผ่านกำแพงสูงดั่งสายลม สูญสลายหายไปแล้ว
ยงเสวี่ยนอนอยู่บนพื้นหิมะ ค่อยๆ เบิกตากว้างขึ้น
…
มีดแข็งเย็นเยียบค้ำยันอยู่ข้างหลัง ชุ่ยเจี่ยไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
“จิ้งอวิ๋น” นางเอ่ย ยามเริ่มแรกเสียงสั่นเทิ้ม เมื่อเอ่ยไปหลายคำถึงได้มั่นคงขึ้นมา “เจ้าก็แกล้งป่วยจริงด้วย”
“ผู้ใดว่ากัน ข้าก็เคยแกล้งป่วยเมื่อไรหรือ?” จิ้งอวิ๋นไอโขลกเล็กน้อยอยู่ข้างหลังนาง แม้จะไอโขลกแต่ก็ยังเจือด้วยความลำพองใจ เอ่ยสืบต่อไปว่า “ทว่าเพื่อสังหารผู้ที่ทำร้ายข้า ต่อให้ข้าป่วยไข้แขนขาขาดก็ย่อมต้องลุกขึ้นมามิใช่หรือ?”
“ผู้ใดทำร้ายเจ้ากัน?” ชุ่ยเจี่ยขมวดคิ้วขึ้น แล้วเอ่ยว่า “เจ้าคงไม่ได้เอ่ยถึงต้าปัวกระมัง?”
จิ้งอวิ๋นยิ้มเยาะออกมาเสียงหนึ่ง น้ำเสียงเหน็บหนาวดั่งเข้าสู่ไขกระดูก เอ่ยว่า “เหตุใดจะเอ่ยถึงไม่ได้? เจ้าลืมแล้วหรือว่าครั้งก่อนเพื่อน้ำแกงขิงชามเดียว นางก็ทำกับข้าอย่างไร?”
“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าใจคดก่อน ทำให้ตนเองอับอายขายหน้าด้วยตนเอง” ในน้ำเสียงของชุ่ยเจี่ยเปี่ยมด้วยความเหยียดหยาม เอ่ยออกมาอีกว่า “ต้าปัวช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ ทว่าเจ้ากลับหลงรักราชครู เจ้าจะไปแย่งชิงบุรุษของนางก่อน นางจึงปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนั้น ข้าคิดว่ายังเกรงใจด้วยซ้ำไป!”
“บุรุษของนางอะไรกัน!” เสียงของจิ้งอวิ๋นพลันเดือดดาลยิ่งนัก เอ่ยว่า “นั่นของนาง นี่ก็ของนาง ทุกสิ่งต่างก็เป็นของนางทั้งนั้น! ข้าจะบอกเจ้าให้นะว่าทุกสิ่งไม่ใช่ของนาง! ไม่ใช่!”
ชุ่ยเจี่ยยิ้มเยาะเล็กน้อย ขี้เกียจแม้แต่จะคัดค้าน
ทั้งสองคนไม่เอ่ยวาจาอีก มองหิมะตกโปรยปรายหน้าลานบ้านทะลุผ่านหน้าต่างลายฉลุแดงเข้ม เกล็ดหิมะเล็กน้อยปลิวสู่แก้ม ความหนาวเย็นเข้าถึงกระดูก
“เจ้าจะสังหารข้าสินะ?” ผ่านไปนานครู่ใหญ่ชุ่ยเจี่ยจึงสูดหายใจเฮือกหนึ่ง หลับตาลงแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็จงสังหารข้าเถิด ข้าเพียงเสียใจที่ยามแรกไม่ได้โน้มน้าวต้าปัวให้ส่งเจ้าออกไปโดยพลัน”
“นางส่งข้าออกไปไม่ได้ แต่เดิมที่แห่งนี้คือที่ของข้า” จิ้งอวิ๋นเอ่ยอย่างเย็นชาอยู่ข้างหูนางว่า “แต่เดิมข้าจำเรื่องใดไม่ได้เลย ช่วงนี้ข้านึกออกหมดแล้ว…มิฉะนั้นเจ้าว่าด้วยเพราะเหตุใด ข้าถึงออกมาจากข้างในนี้ได้เล่า…”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“เจ้าก็ไม่ต้องรู้หรอกว่าข้าหมายความอย่างไร อย่างไรเจ้าก็ต้องตายแน่ ข้าเบื่อหน่ายท่าทางยามที่เจ้าอยู่เบื้องหน้าต้าปัวยิ่งนักแล้ว ทั้งท่วงท่าซื่อสัตย์จงรักภักดีตลอดเวลา ทั้งท่าทางเตรียมป้องกันข้าอยู่เสมอ ข้ากับเจ้ารู้จักกันมานานขนาดนี้ ข้าก็ไม่เคยเห็นเจ้าเอาใจใส่ข้าขนาดนั้นมาก่อน เจ้ามันก็แค่โสเภณีที่รักเงินนางหนึ่ง เพราะว่าต้าปัวมีตำแหน่งสูงส่งเจ้าถึงได้จงใจพึ่งพาอาศัยนางอย่างสุดหัวใจเช่นนี้มิใช่หรอกหรือ? อย่าได้แสร้งทำท่าราวกับยินยอมกระทำทุกอย่างเพื่อสหายหน่อยเลย เจ้าก็ไม่รู้สึกว่าเจ้ามันน่าขยะแขยงหรอกหรือ?”
“คนน่าขยะแขยงมองสิ่งใดต่างรู้สึกว่าขยะแขยง ข้ารักเงิน ข้าเอาเงินของต้าปัวมามากมาย แต่ข้าก็ได้ตอบแทนนางแล้วเช่นกัน ทว่ามักจะมีคนบางคนที่ได้ผู้อื่นดูแลมาเนิ่นนาน แต่ก็ยังคิดที่จะทำร้ายเขาเพื่อความถูกต้อง เกรงว่ากระทำเรื่องราวเลวร้ายมากเข้า เหนือศีรษะสามฉื่อมีเทพเทวา ยามสิ้นชีพน่าจะไม่ช้าไปกว่าข้ามากเพียงใด”
“แต่เดิมข้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนักแล้ว…” จิ้งอวิ๋นหัวเราะออกมา การไอโขลกถี่กระชั้นนำมาซึ่งคลื่นลมหายใจพัดผมของชุ่ยเจี่ยจนยุ่งเหยิง เอ่ยสืบต่อว่า “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้เลยว่าตนเองควรทำสิ่งใด ยามนี้ข้าเข้าใจแล้ว ก่อนที่ข้าจะสิ้นชีพ ข้าต้องขับไล่ผู้ที่คิดจะแทนที่ข้าลงนรกไปให้หมดก่อน!”
“ด้วยร่างกายเฉกเช่นตะแกรงรั่วของเจ้านี้ ระวังว่าลากผู้อื่นไปไม่ได้ แต่ตนเองจะตกนรกเสียก่อน”
“หึๆ…” จิ้งอวิ๋นคล้ายไม่โกรธเคือง รอยยิ้มลอยล่อง เอ่ยว่า “เจ้าปากคอเราะรายเสมอ ข้าไม่ต่อปากต่อคำกับเจ้าแล้ว ต่อปากต่อคำกับคนตาย มันเสียเวลา”
ชุ่ยเจี่ยกัดฟันกรอดพลางหลับตาลง รอคอยมีดเย็นยะเยือกเล่มนั้นแทงเข้าสู่ร่าง
นางไม่อ้อนวอนขอโทษ และก็ไม่อยากอ้อนวอนขอโทษด้วย สำหรับจิ้งอวิ๋นผู้ที่คิดว่าตนเองเป็นศูนย์กลาง อาฆาตแค้นผู้เดียวมาเนิ่นนานแล้วเช่นนี้ การอ้อนวอนขอโทษก็เป็นเพียงการเพิ่มความอัปยศอดสูให้ตนเองอีกขั้นหนึ่งก่อนสิ้นลม
มีดแทงเข้ามาข้างในเล็กน้อย ทะลุอาภรณ์แล้วหยุดลง
นางลืมตาขึ้น
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงเอ่ยวาจากับเจ้ามากมายขนาดนี้?” เสียงของจิ้งอวิ๋นดังขึ้นข้างหูนางอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง เอ่ยว่า “ด้วยเพราะข้ามีแผนการที่ข้าภาคภูมิใจยิ่งนัก ประเดี๋ยวจะดำเนินการแล้ว แผนการเฉลียวฉลาดเช่นนี้ หากมีข้ารู้เพียงผู้เดียวนับว่าสวมชุดแพรท่องราตรีแน่แท้ ข้าอยากให้เจ้าฟังสักหน่อยเช่นกัน ข้าคิดว่าพอฟังจบแล้วค่อยสิ้นชีพ เจ้าย่อมต้องกังวลและเสียใจยิ่งนักเป็นแน่”
ชุ่ยเจี่ยไม่เปล่งเสียง ดวงตาจ้องมองตำหนักข้างหน้า ตำหนักข้างหน้าเงียบสงัด หิมะโปรยปรายดังซู่ซ่า ยงเสวี่ยยังไม่กลับมา
“ประเดี๋ยวจะมีคนมาลากข้าไปมอบยาพิษ” จิ้งอวิ๋นเอ่ยพลางยิ้มตาหยีว่า “ข้าจะทั้งไอโขลกทั้งร้องไห้ ก้าวเดินทีละก้าว คลานไปซบแทบเท้านาง ข้าจะกอดเข่าของนางไว้ ร้องไห้แสดงว่าไม่อยากให้นางกินยา แสดงว่าข้ายินยอมตายแทนนาง ข้ายังจะเสียใจกับความผิดพลาดแต่ก่อนของข้า ขอโทษและอำลานางก่อนจากไป ข้าจะแสดงว่าข้ายินยอมมอบชีวิตของข้าแลกกับชีวิตของนาง เพียงขอให้นางมีชีวิตต่อไปให้ดี…เจ้าว่านางจะทำอย่างไร?”
ชุ่ยเจี่ยรู้สึกเพียงว่าโลหิตทั่วร่างคล้ายเย็นเยือกภายในครู่หนึ่งนี้
“เจ้า…ช่างโหดเ**้ยมยิ่งนัก” เสียงของนางเปล่งออกมาจากไรฟัน ฟันทุกซี่กระทบกันอย่างรุนแรง
หากเป็นเช่นนี้จริง ต้าปัวจะคิดอย่างไร? เดิมทีต้าปัวก็รู้สึกผิดต่อจิ้งอวิ๋นด้วยเพราะเรื่องครั้งก่อนอยู่แล้ว บัดนี้นางจะเบิกตามองดูจิ้งอวิ๋นสิ้นชีพแทนนางต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร?
หากต้าปัวคิดจะช่วยจิ้งอวิ๋นจะเกิดเรื่องใดขึ้น?
ต่อให้ต้าปัวใจร้ายยอมให้นางสิ้นชีพจริง แต่จิ้งอวิ๋นต้องไม่สิ้นชีพเป็นแน่ พอถึงยามนั้นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก? หากต้าปัวเข้าใจผิดคิดว่าจิ้งอวิ๋นสิ้นชีพลงเพราะนาง ปมในใจนี้ย่อมต้องติดตามนางไปชั่วชีวิต แล้วภายหลังจะให้นางกลับมาเป็นจิ่งเหิงปัวคนเดิมได้อย่างไร?
เดินหน้าหรือถอยหลังต่างต้องบาดเจ็บล้มตาย
“ข้าเตรียมของดีไว้ให้นางด้วย” มือข้างหนึ่งของจิ้งอวิ๋นยื่นมาเบื้องหน้านาง เอ่ยว่า “เจ้าดูสิ ตรงนี้มียาด้วยล่ะ มีคนมอบยาถอนพิษให้ข้าล่วงหน้า หากจิ่งเหิงปัวโหดเ**้ยมเช่นนั้นจริง เบิกตามองดูข้ากินยาพิษต่อหน้านางได้จริง เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ข้าจะกินยาถอนพิษเข้าไปก่อน ยานี้คือสิ่งล้ำค่าของพระราชวังที่เก็บรักษาไว้อย่างดี ถอนพิษส่วนใหญ่บนโลกนี้ได้…หึๆ เจ้าว่าต่อให้นางไม่ไว้ใจข้าหรือสงสัยข้ามากเพียงใด แต่เมื่อมองเห็นข้ากินยาพิษเพื่อนางอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ใช้ความตายเป็นปณิธานแรงกล้า นางย่อมซาบซึ้งเชื่อใจข้าใช่หรือไม่? หึๆ พอถึงยามนั้น…”
รอยยิ้มของนางเจือด้วยความโหดร้าย เอียงศีรษะมองใบหน้าด้านข้างของชุ่ยเจี่ย นางชื่นชอบความรู้สึกเช่นนี้ มองจากมุมสูงไปยังมุมต่ำ ดั่งสัตว์ร้ายตัวหนึ่งซึ่งสุขุมรอบคอบด้วยเพราะเชื่อมั่นว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ หยอกล้อเหยื่อที่ถูกกำหนดว่าต้องตายใต้กรงเล็บ
เช่นนี้จะทำให้นางหลงลืมสภาพยามนี้ นึกถึงยามก่อนได้อย่างเด่นชัด
เป็นผู้อ่อนแอมาเนิ่นนาน ดิ้นรนทุรนทุรายท่ามกลางความมืดมิด ลืมเลือนความโชติช่วงภายใต้แสงอาทิตย์ในยามนั้น ลืมเลือนเกียรติศักดิ์ในฐานะผู้อยู่เบื้องบนในยามแรก
แท้จริงแล้วความทรงจำยามอดีตเลือนรางไปเนิ่นนาน รู้เพียงว่าต้องแสวงหาสิ่งที่เคยเป็นของตนเองเหล่านั้นโดยสำนึก จนกระทั่งถูกปลุกให้ตื่นฟื้นในวันใดวันหนึ่งถึงได้รู้แจ้งว่าที่แท้ตนเองสูญเสียหลายสิ่งมากมายขนาดนั้น เรื่องในอดีตเลือนรางดุจม่านหน้าต่างยามนี้ ปกคลุมด้วยหิมะทั้งเย็นทั้งบางชั้นหนึ่ง มือสัมผัสแล้วเย็นยะเยือก
“ข้าคิดว่า…” เสียงของชุ่ยเจี่ยพลันคลุมเครือยิ่งนักเช่นกัน เอ่ยว่า “ข้าน่าจะรู้…”
นางชนมาข้างหลังครั้งหนึ่งในทันใด!
ฉึก! เสียงหนึ่ง กริชแทงเข้าหลังเอวของนาง!
จิ้งอวิ๋นไม่คิดว่านางจะชนเข้ากับคมมีดด้วยตนเอง มือไม้อ่อนด้วยความตกใจ เรือนร่างเอนไปข้างหลัง ชุ่ยเจี่ยถือโอกาสทับลงมา ทับนางล้มลงบนพื้นอย่างแรงดังพลั่กเสียงหนึ่ง พลิกฝ่ามือแล้วใช้หมัดศอกเพียงครั้งโจมตีใต้ซี่โครงของจิ้งอวิ๋นจนมีเสียงหนักทึบดังขึ้น จิ้งอวิ๋นไม่ได้แค่นเสียงออกมาสักเสียงเดียว ดวงตากลอกเพียงครั้งแล้วหมดสติไป
ชุ่ยเจี่ยล้มลงบนร่างนาง หอบหายใจถี่กระชั้น โลหิตหลังกายไหลรินเชื่องช้า ย้อมอาภรณ์บริเวณหน้าอกจิ้งอวิ๋นจนแดงฉาน
ผ่านไปสักพักนางถึงสงบลงเล็กน้อย ค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เก็บยาถอนพิษที่ร่วงอยู่บนพื้นเม็ดนั้นขึ้นมาก่อนแล้วกัดฟันเอื้อมมือไปยังหลังเอว หวังจะคว้ามีดทว่าพลันหยุดชะงัก
ที่นอกประตูพลันมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา
เสียงฝีเท้านั้นดูรีบร้อนอยู่บ้าง กระทบบนตำหนักข้างหลังที่มีหิมะตกเงียบสงัดแห่งนี้
ชุ่ยเจี่ยหยุดเคลื่อนไหว คุกเข่าอยู่ข้างล่างหน้าต่าง มองไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง มองเห็นเฟยหลัวคลุมเสื้อคลุม เดินมาอย่างรีบร้อนพอดี
‘ประเดี๋ยวจะมีคนมาลากข้าไปมอบยาพิษ…’
วาจาของจิ้งอวิ๋นพลันวนเวียนอยู่ในสมองนาง ชุ่ยเจี่ยกัดฟันลุกขึ้นยืน คว้าผ้าคลุมหนาหนักผืนหนึ่งบนไม้แขวนเสื้อด้านข้างลงมาห่มทั่วร่างไว้
ผ้าคลุมรวมทั้งหมวกบังลมกว้างใหญ่บดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางไว้
นางโซซัดโซเซยามลุกขึ้นยืน สีหน้าขาวซีดดุจกระดาษ ผมดำชุ่มเหงื่อในค่ำคืนเหมันต์นี้ พาให้ดวงตาคู่หนึ่งดูคล้ายกลมโตทว่าไร้ชีวิตชีวา พอมองแล้วคล้ายจิ้งอวิ๋นหลายส่วนโดยแท้
เฟยหลัวเดินเข้ามายังระเบียงทางเดินแล้ว
ชุ่ยเจี่ยไม่ทันได้จัดการจิ้งอวิ๋นอีก กลัวว่าจิ้งอวิ๋นจะดิ้นรนยามที่ตนเองมีพละกำลังไม่พอจะสังหารคนแล้วถูกเฟยหลัวได้ยินเข้า จึงได้แต่คว้าพรมมาห่อหุ้มร่างกายของจิ้งอวิ๋นไว้ ส่วนตนเองรีบร้อนเดินออกไปนอกห้อง
นางก้มหน้าไว้ แล้วใช้มือบังใบหน้า เดินไปทางเฟยหลัวด้วยท่าทางเดินก้าวหนึ่งไอครั้งหนึ่ง เดินก้าวหนึ่งโซเซครั้งหนึ่ง
ยามนี้ท่วงท่าอ่อนแอก็ดูดุจดั่งจิ้งอวิ๋น ก่อนหน้านี้เฟยหลัวเคยมองเห็นจิ้งอวิ๋นอยู่บ้าง ทว่ามองเห็นจากไกลๆ เพียงปราดเดียว เสนาหญิงแคว้นเซียงเย่อหยิ่งทระนงตน ย่อมรังเกียจที่จะสนใจผู้ที่มีฐานะเช่นจิ้งอวิ๋นนี้
ยามนี้นางเพียงมองอย่างเฉื่อยเนือยปราดหนึ่งเช่นกัน จากนั้นก็เอ่ยว่า “เรื่องที่จะให้เจ้าทำ เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่?”
ชุ่ยเจี่ยพยักหน้า พร้อมไอโขลก
เฟยหลัวเชิดคางขึ้น ส่งถาดรองใบหนึ่งให้กับนาง บนถาดรองนั้นมียาเม็ดสีดำเม็ดหนึ่ง
“เจ้าจะต้องแสดงละครให้ดี” นางเอ่ยว่า “ขอเพียงเจ้าทำได้ดี เจ้าจะได้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ”
ชุ่ยเจี่ยพยักหน้าอีกครั้ง หอบหายใจอย่างอ่อนแอยิ่งนัก
เฟยหลัวเบนสายตาออกอย่างรังเกียจเล็กน้อย นางไม่แน่ใจสภาพการณ์ของสตรีเบื้องหน้านี้ แผนการทั้งหมดมีคนคอยกำหนดไว้แล้ว จิ้งอวิ๋นย่อมมีผู้อื่นติดต่อจัดการเรื่องที่ควรทำ หน้าที่ที่นางรับผิดชอบคือเพียงคุมตัวจิ้งอวิ๋นออกไปส่งยาพิษให้จิ่งเหิงปัว
การให้สตรีนี้ส่งยาพิษคืออุบายห่วงสัมพันธ์ ทั้งหลีกเลี่ยงแผนการของจิ่งเหิงปัวในหมู่คนของตัวเองได้ ทั้งหลอกใช้จิ้งอวิ๋นสร้างกับดักให้จิ่งเหิงปัวได้
สำหรับราชินีที่ดูคล้ายไม่มีวรยุทธ์แต่มักพิชิตด้วยกลเม็ดอันแยบยลนางนี้ ทุกผู้คนต่างไม่เคยประมาท
ส่วนระหว่างผู้ติดต่อกับจิ้งอวิ๋นบรรลุข้อตกลงใดนั้น นางไม่รู้และไม่สนใจ นางเพียงต้องทำหน้าที่ตรงหน้านี้ให้ดีก็พอแล้ว
แสงกระบี่ผืนหนึ่งดุจแสงจันทร์เหน็บหนาว วางบนลำคอของชุ่ยเจี่ยอย่างแผ่วเบา
เฟยหลัวอยู่ข้างกายชุ่ยเจี่ย เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ไปเถิด จดจำเรื่องที่เจ้าต้องทำไว้ให้ดี”