เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 86 – 1 อยากสังหารข้าหรือไม่

เสียงแผ่วเบาดุจความฝันทว่าชัดเจนเอ่ยว่า “…ต้องการข้าหรือไม่?”

 

เขาเงยหน้าขึ้นในฉับพลัน ดั่งถูกอสนีบาตฟาดเปรี้ยง

 

นางกลับหัวเราะคิกๆ โอบลำคอของเขาไว้แล้วล้มลงไปข้างหลัง

 

กงอิ้นล้มลงบนร่างของนางอย่างควบคุมไม่ได้ แขนทั้งสองพลันค้ำยันไว้ก่อนใกล้จะล้มทับนาง ท่ามกลางความมืดมิดนางมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน ทว่าได้ยินเสียงลมหายใจที่ถี่กระชั้นขึ้นมาของเขา

 

นางหัวเราะหึๆ เพียงครั้ง แล้วคว้าสาบเสื้อบริเวณหน้าอกของเขาไว้ก่อนกระชาก

 

เสียง  แคว่ก!  ดังขึ้น กระดูกไหปลาร้าราบเรียบเป็นเส้นเดียว ผิวกายดุจหิมะเปล่งประกายแสงสลัวท่ามกลางแววตานาง

 

นางโน้มกายขึ้นไปแนบใบหน้าตรงผืนอกเขาอย่างแผ่วเบา เพียงชั่วพริบตากลิ่นหอมกรุ่นสะกดผู้คน

 

แขนสองข้างของเขาดั่งพลันอ่อนแรง ล้มกายลงบนร่างนาง นางหอบหายใจขึ้นมาเล็กน้อย เอื้อมแขนโอบกอดไว้

 

กลิ่นหอมอบอวลภายในห้องดุจกลิ่นหิมะเย็นยะเยือกบนกิ่งเหมย และผสมผสานด้วยกลิ่นหอมกรุ่นหอมหวนปานโบตั๋น แตกต่างกันชัดแจ้ง ทว่าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ภายในกระถางสองหูที่สลักอักษรว่า ‘บุญวาสนาอายุยืนยาว’ เปี่ยมสิริมงคลมีไอควันผนึกแน่น บดบังทิวทัศน์ยามวสันต์ทั่วห้อง

 

นอกหน้าต่างคล้ายมีลมพัดผ่าน พาให้กิ่งไม้แห้งที่ร่วงโรยกวาดผ่านบนกระดาษหน้าต่างดังสวบสาบ ฤดูหิมะของต้าฮวงใกล้เข้ามาแล้ว

 

ทว่าพลันมีเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นแว่วมา!

 

ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงรายงานตึงเครียดดุเดือดก็ดังสะท้านทั่วตำหนักอวี้จ้าว!

 

“รายงาน!”

 

“สมุหพระกลาโหมเผ่าฝูสุ่ยบาดเจ็บถึงแก่กรรม!”

 

“ขุนนางเผ่าฝูสุ่ยทุกคนที่อยู่ในนครเดือดดาลยิ่งนัก รวมกลุ่มชุมนุมกัน ประชิดใกล้ตำหนักอวี้จ้าวแล้ว!”

 

 

คบเพลิงสาดส่องความมืดในยามราตรีให้สว่างไสว มองจากไกลโพ้นดั่งบนผืนนภามืดครามถูกโพรงสีแดงลุกไหม้

 

เมื่อจิ่งเหิงปัวกับกงอิ้นตามมาถึงหน้าประตูตำหนักอวี้จ้าว สิ่งที่มองเห็นคือคบเพลิงวูบไหวนับมิถ้วนที่ทอดยาวเหยียดกลายเป็นแถบโลหิตสีแดงเข้ม โอบล้อมตำหนักอวี้จ้าวไว้

 

ฝูงชนกำลังสับสนอลหม่าน จิ่งเหิงปัวฟังอยู่ครู่หนึ่งถึงฟังออกว่าอีกฝ่ายกำลังตะโกนว่า “ราชินีลอบสังหารขุนนางสำคัญของแปดชนเผ่า! ยั่วยุความขัดแย้งในราชสำนัก! ส่งราชินีออกมา! สังหารราชินีเสีย!”

 

นางยืนงงงันอยู่ที่นั่น ชั่วขณะนั้นไม่รู้แน่ชัดว่าเรื่องราวพลันมาตกอยู่ที่นางได้อย่างไรกัน

 

สมุหพระกลาโหมเฉิงตายแล้วหรือ?

 

ตายแล้วเกี่ยวอะไรกับนาง? หลังจากเขาถูกส่งกลับจวนแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกกันแน่?

 

“เปิดประตู!” จิ่งเหิงปัวแหงนหน้าร้องตะโกน นางไม่เชื่อข่าวนี้ นางจะออกไป นางต้องรู้ให้ได้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!

 

มือสังหารที่ลอบสังหารสมุหพระกลาโหมเฉิงถูกนางขวางไว้แล้วอย่างชัดเจน ตอนนั้นสมุหพระกลาโหมเฉิงไม่ได้เลือดออกมากมาย ตอนจากไปยังปกติดีอยู่เลย ทำไมหลังจากกลับจวนแล้วถึงได้บาดเจ็บล้มตายขึ้นมากะทันหัน?

 

เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!

 

นางเงยหน้าขึ้น บนศีรษะคือท้องฟ้าพยับเมฆใกล้มีหิมะตก ดั่งเมืองที่ถูกศัตรูโอบล้อมไว้ใกล้จะพังทลายลงมาดังครืนแล้ว

 

“เปิดประตู!” นางร้องตะโกนประหนึ่งเสียสติ ก่อนจะวิ่งขึ้นไปข้างหน้า

 

แขนพลันถูกคนลากไว้ เสียงของกงอิ้นยังคงชัดเจนเย็นเยือก เอ่ยว่า “หยุดนะ!”

 

“กงอิ้น!” นางหันหน้ากลับมา ดวงตาแดงก่ำ ร้องขึ้นว่า “พวกเขากำลังใส่ร้ายข้า! สมุหพระกลาโหมเฉิงตายไม่ได้! มีคนลอบทำร้ายข้ามาโดยตลอด!”

 

“หากเจ้าพุ่งออกไปคงถูกเหล่าองครักษ์เผ่าฝูสุ่ยที่โกรธแค้นฉีกทึ้งโดยพลัน” กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ในเผ่าฝูสุ่ยสมุหพระกลาโหมเฉิงมีบารมีสูงส่งยิ่งนัก พวกเขาต้องแก้แค้นให้สมุหพระกลาโหมเป็นแน่ ส่วนคนของหกแคว้นแปดชนเผ่าต่อให้ลงมือทำร้ายเจ้า ย่อมคิดหาหนทางหนีกลับเผ่าเดิมของตนเองได้โดยพลัน ราชสำนักไม่อาจเริ่มสงครามกับชนเผ่าใดชนเผ่าหนึ่งในแปดชนเผ่ายามหกแคว้นขวางกั้น เจ้าจะสิ้นชีพอย่างไร้ค่ายิ่งนัก!”

 

“ข้าอธิบายได้! หากมือสังหารเป็นข้า แล้วเหตุใดตอนนั้นข้าต้องช่วยเขาด้วย!” จิ่งเหิงปัวชี้ไปข้างหน้า ร้องว่า “พวกเขาไม่มีสมอง ข้าจะตบพวกเขาให้ได้สติ!”

 

กงอิ้นจ้องมองนางอยู่ ในดวงเนตรของเขาสาดสะท้อนเงาโลหิต

 

“ในเมื่อกล้ามาตำหนักอวี้จ้าว แสดงว่าย่อมเตรียมพร้อมมาตั้งนานแล้ว…” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็สูดหายใจ ชี้ไปบนกำแพงวังเอ่ยว่า “ขึ้นไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

 

จิ่งเหิงปัวมองดูประตูวังที่ถูกเฝ้ายามอย่างแน่นหนา รู้ว่าตอนนี้กงอิ้นคงไม่ยอมให้นางออกจากประตูแน่ นางแหงนหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หันกายเพียงครั้ง ก่อนขึ้นสู่กำแพงพระราชวังอย่างเงียบเชียบ

 

บนสันกำแพงแขวนตะเกียงไว้หลายดวง สาดส่องรัศมีมัวสลัวกลุ่มหนึ่ง พอนางปรากฏบนกำแพงวัง จัตุรัสใต้กำแพงพลันเกิดเสียงสับสนอลหม่าน

 

“ราชินีมาแล้ว!”

 

“นางนั่นล่ะ! ราชินีนั่นล่ะ!”

 

“นางนั่นล่ะที่ทำร้ายสมุหพระกลาโหมจนสิ้นชีพ!”

 

มือของจิ่งเหิงปัวค้ำยันกำแพงวังที่เย็นยะเยือก แม้น้ำค้างแข็งในซอกหินแผ่ซ่านไอหนาว ทว่าฝ่ามือร้อนผ่าวเหลือเกิน แต่ไม่ว่าความเย็นหรือความร้อน ขณะนี้นางก็ไม่รู้สึกถึงอะไรเลยสักอย่าง

 

นางมองเห็นเพียงดวงตาโกรธแค้นแต่ละคู่จากทั้งทหารและราษฎรข้างล่าง ราษฎรที่ภูมิลำเนาเดิมอยู่เผ่าฝูสุ่ยในนครตี้เกอมีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ยามนั้นสมุหพระกลาโหมชรามีบุญคุณที่ช่วยชีวิตราษฎรไว้ ยิ่งกว่านั้นเขาเคยเดินทางมายังตี้เกอยามเผ่าฝูสุ่ยประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ ให้ตี้เกอรับราษฎรลี้ภัยกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งไว้ สำหรับราษฎรเผ่าฝูสุ่ยในตี้เกอแล้ว เขาคือผู้มีพระคุณ เขาคือเทพยดา

 

แม้ห่างจากกำแพงวังสามจั้ง นางก็ยังรู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นโชติช่วงปานนั้น ดั่งคล้ายผุดเผยเปลวไฟลุกโชนหลายจั้งกลบกลืนนางไว้

 

“ปลิดชีพขอขมา! ปลิดชีพขอขมา!” เบื้องล่างมีเสียงสับสนอลหม่านหอบม้วนเพียงครั้งดั่งกระแสน้ำ

 

จิ่งเหิงปัวหลับตาลง

 

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งนั้น เสียงของนางก็ดังก้องกระหึ่มว่า “หุบปาก!”

 

กงอิ้นที่อยู่ข้างกายสะบัดแขนเสื้อ คลื่นอากาศหอบหนึ่งพัดผ่านลงจากยอดกำแพง คนที่อยู่แถวแรกพลันถูกลมแรงประชิดใกล้ กลั้นหายใจก้าวถอยหลัง คนที่อยู่ข้างหลังถูกชนเข้าจึงเงียบเสียงโดยสำนึก ฝูงชนแต่ละชั้นค่อยๆ สงบเงียบคุจคลื่นทะเลที่ลดลงเชื่องช้า

 

“ข้าไม่ได้สังหารสมุหพระกลาโหมเฉิง” จิ่งเหิงปัวกล่าวประโยคแรกอย่างตรงไปตรงมาแล้วกล่าวต่อไปว่า “ที่ตรอกซีเกอมีคนมากมายที่เห็นว่าข้าช่วยสมุหพระกลาโหมเฉิงไว้ ซ้ำตนเองยังได้รับบาดเจ็บด้วยเพราะเหตุนี้ พวกเจ้าที่ไม่ไปหามือสังหารคนนั้น ทว่ามายังตำหนักอวี้จ้าวเพื่อบีบบังคับให้ราชินีสละราชย์ เหตุผลของพวกเจ้าก็อยู่ที่ใด?”

 

ฝูงชนแยกจากกัน ผู้สวมอาภรณ์ไว้ทุกข์หลายคนเดินออกมา ยกแคร่หามขึ้น บนแคร่หามนั้นคือศพของสมุหพระกลาโหมเฉิง มองออกได้อย่างรำไรว่าสีหน้าของเขาดำคล้ำ ร่างกายแข็งทื่อ

 

ข้างแคร่หามคือผู้ชราคนหนึ่ง เอ่ยเสียงหนักแน่นว่า “กระหม่อมเป็นชาวตี้เกอนามว่าเจียงเย่ว์ไป่ เป็นหมอมาห้าสิบปี ราษฎรส่วนใหญ่ในตี้เกอต่างรู้จักกระหม่อม รู้ว่าชั่วชีวิตนี้กระหม่อมไม่เคยโป้ปดมดเท็จเสแสร้งแกล้งทำ”

 

ทุกผู้คนต่างพยักหน้า กงอิ้นเอ่ยอยู่ข้างกายจิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “หมอเลื่องชื่ออันดับหนึ่งแห่งตี้เกอ อุปนิสัยซื่อตรง รักษาโรคภัยช่วยเหลือผู้คน ชั่วชีวิตนี้ช่วยให้คนรอดชีวิตนับมิถ้วน ไม่เคยเก็บค่ารักษาจากราษฎรยากจน”

 

ในใจจิ่งเหิงปัวรู้สึกหนักหน่วง

 

แม้แต่กงอิ้นก็ยังรู้ชื่อเสียงของคนคนนี้ เห็นได้ถึงความน่าเชื่อถือของเขา

 

“กระหม่อมเพียงเอ่ยว่าตนเองรู้” เจียงเย่ว์ไป่เอ่ยอย่างสงบเงียบว่า “หน้าอกของสมุหพระกลาโหมมีแผลที่ถูกแทงเล็กน้อย ทว่าไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต สิ่งที่ทำให้เขาสิ้นชีพ…” เขาชูหลังมือของสมุหพระกลาโหมเฉิงที่อยู่ข้างกายขึ้น เอ่ยสืบต่อว่า “คือรอยขีดข่วนรอยนี้” เขาเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อว่า “รอยขีดข่วนมีพิษร้ายแรง ออกฤทธิ์หลังจากหนึ่งชั่วยาม ไร้หนทางรักษา”

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นบาดแผลบนมือของสมุหพระกลาโหมเฉิงได้ไม่ชัดเจน แต่รู้ว่ามีบาดแผลแน่นอน

 

นางยกมือขึ้นอย่างมึนงง คราวนี้ถึงได้มองเห็นว่าในเล็บมือทั้งสองข้างของตนยังมีเศษผิวหนังและรอยเลือดหลงเหลืออยู่เล็กน้อย นางจำได้ว่าตอนที่ตนเองพุ่งเข้าไปในฝูงชนแล้วลากสมุหพระกลาโหมเฉิงออกมา นางคว้ามือของเขาไว้อย่างรุนแรงจริงๆ เล็บตนเองทั้งยาวทั้งแข็ง อาจจะขีดข่วนเขาจนเป็นรอยด้วยความวิตกกังวลก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

 

ในใจของนางสับสนวุ่นวาย…เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน?

 

เจียงเย่ว์ไป่เอ่ยจบแล้วก็ไม่ปริปากอีก เพียงก้าวถอยหลังไป ผู้อ่อนวัยคนหนึ่งที่ยืนข้างศพเอ่ยอย่างโศกเศร้าว่า “ท่านแม่เสียไปเนิ่นนานแล้ว หลายปีมานี้ท่านพ่อไม่ได้สมรสใหม่ ซ้ำยังไม่มีอนุภรรยาข้างกาย รอยขีดข่วนนี้ นอกจากองค์ราชินีแล้ว ไม่มีผู้อื่นอีก!”

 

“หากข้าอยากสังหารสมุหพระกลาโหมเฉิง ข้าไม่ช่วยเขาในตรอกซีเกอก็ย่อมได้!” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “จะต้องสิ้นเปลืองเวลากระทำเรื่องราวนี้ด้วยเพราะเหตุใดกัน!”

 

“ด้วยเพราะว่าเจ้าจะหลอกลวงทุกคน!” คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งพลันพุ่งเข้ามา คนที่นำหน้าผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “เจ้าช่วยสมุหพระกลาโหมเฉิงต่อหน้าราษฎรตี้เกอเพื่อใช้ข้ออ้างนี้พ้นผิดยามสังหารเขา!”

 

ภายใต้แสงไฟสาดส่อง คนผู้นั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น สีหน้าขาวซีด เป็นจ้าวซื่อจื๋อที่โผล่พรวดออกมา!

 

ข้างหลังเขาคือขุนนางฝ่ายบุ๋นกลุ่มใหญ่ที่เห็นเขาเป็นกังหันบอกทิศทางลม เห็นเขาเป็นอาจารย์!

 

“เหลวไหล! เหตุใดข้าต้องสังหารเขา!”

 

“ด้วยเพราะสมุหพระกลาโหมเฉิงคัดค้านข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า!” เสียงอีกเสียงหนึ่งขานรับอย่างเย็นชาว่า “วันนั้นพวกเราผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าถูกโจมตีที่ปากทางภูเขาตี้เกอ เคยถูกบังคับให้ลงนามข้อตกลงฉบับหนึ่งกับผู้ลักพาตัว หนึ่งในข้อตกลงของเผ่าฝูสุ่ยนั้นคือภายภาคหน้าต้องยกผลผลิตส่วนหนึ่งของบึงโคลนฝูสุ่ยให้ในนามของราชินี ยามนั้นผู้ลงนามข้อตกลงคือเจ้ากรมโยธาของเผ่าฝูสุ่ย ทว่าหลังจากสมุหพระกลาโหมเฉิงพบเข้าได้ยืนหยัดไม่เห็นด้วย พอเจ้ารู้เรื่องเข้าจึงเกลียดชังด้วยเพราะเขาขัดขวาง ตั้งใจจัดเตรียมแผนการนามว่าภาพเหมือนหลอกล่อให้เขามาวาดภาพเหมือน แล้วจัดหามือสังหารมาลอบสังหารเขา จากนั้นแสร้งทำเป็นว่าตนเองเข้าช่วยเหลือโดยไม่คำนึงถึงอันตราย ฉกฉวยความน่าเชื่อถือของเขาและความเคารพรักจากราษฎร สุดท้ายจึงแอบวางยาพิษไว้ในเล็บเพื่อสังหารเขา!”

 

ผู้มาถึงมีน้ำเสียงกังวาน เรือนร่างโค้งเว้างดงามวิจิตรภายใต้แสงไฟ เฟยหลัวนั่นเอง

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 86 – 1 อยากสังหารข้าหรือไม่

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 86 – 1 อยากสังหารข้าหรือไม่

เสียงแผ่วเบาดุจความฝันทว่าชัดเจนเอ่ยว่า “…ต้องการข้าหรือไม่?”

 

เขาเงยหน้าขึ้นในฉับพลัน ดั่งถูกอสนีบาตฟาดเปรี้ยง

 

นางกลับหัวเราะคิกๆ โอบลำคอของเขาไว้แล้วล้มลงไปข้างหลัง

 

กงอิ้นล้มลงบนร่างของนางอย่างควบคุมไม่ได้ แขนทั้งสองพลันค้ำยันไว้ก่อนใกล้จะล้มทับนาง ท่ามกลางความมืดมิดนางมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน ทว่าได้ยินเสียงลมหายใจที่ถี่กระชั้นขึ้นมาของเขา

 

นางหัวเราะหึๆ เพียงครั้ง แล้วคว้าสาบเสื้อบริเวณหน้าอกของเขาไว้ก่อนกระชาก

 

เสียง  แคว่ก!  ดังขึ้น กระดูกไหปลาร้าราบเรียบเป็นเส้นเดียว ผิวกายดุจหิมะเปล่งประกายแสงสลัวท่ามกลางแววตานาง

 

นางโน้มกายขึ้นไปแนบใบหน้าตรงผืนอกเขาอย่างแผ่วเบา เพียงชั่วพริบตากลิ่นหอมกรุ่นสะกดผู้คน

 

แขนสองข้างของเขาดั่งพลันอ่อนแรง ล้มกายลงบนร่างนาง นางหอบหายใจขึ้นมาเล็กน้อย เอื้อมแขนโอบกอดไว้

 

กลิ่นหอมอบอวลภายในห้องดุจกลิ่นหิมะเย็นยะเยือกบนกิ่งเหมย และผสมผสานด้วยกลิ่นหอมกรุ่นหอมหวนปานโบตั๋น แตกต่างกันชัดแจ้ง ทว่าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ภายในกระถางสองหูที่สลักอักษรว่า ‘บุญวาสนาอายุยืนยาว’ เปี่ยมสิริมงคลมีไอควันผนึกแน่น บดบังทิวทัศน์ยามวสันต์ทั่วห้อง

 

นอกหน้าต่างคล้ายมีลมพัดผ่าน พาให้กิ่งไม้แห้งที่ร่วงโรยกวาดผ่านบนกระดาษหน้าต่างดังสวบสาบ ฤดูหิมะของต้าฮวงใกล้เข้ามาแล้ว

 

ทว่าพลันมีเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นแว่วมา!

 

ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงรายงานตึงเครียดดุเดือดก็ดังสะท้านทั่วตำหนักอวี้จ้าว!

 

“รายงาน!”

 

“สมุหพระกลาโหมเผ่าฝูสุ่ยบาดเจ็บถึงแก่กรรม!”

 

“ขุนนางเผ่าฝูสุ่ยทุกคนที่อยู่ในนครเดือดดาลยิ่งนัก รวมกลุ่มชุมนุมกัน ประชิดใกล้ตำหนักอวี้จ้าวแล้ว!”

 

 

คบเพลิงสาดส่องความมืดในยามราตรีให้สว่างไสว มองจากไกลโพ้นดั่งบนผืนนภามืดครามถูกโพรงสีแดงลุกไหม้

 

เมื่อจิ่งเหิงปัวกับกงอิ้นตามมาถึงหน้าประตูตำหนักอวี้จ้าว สิ่งที่มองเห็นคือคบเพลิงวูบไหวนับมิถ้วนที่ทอดยาวเหยียดกลายเป็นแถบโลหิตสีแดงเข้ม โอบล้อมตำหนักอวี้จ้าวไว้

 

ฝูงชนกำลังสับสนอลหม่าน จิ่งเหิงปัวฟังอยู่ครู่หนึ่งถึงฟังออกว่าอีกฝ่ายกำลังตะโกนว่า “ราชินีลอบสังหารขุนนางสำคัญของแปดชนเผ่า! ยั่วยุความขัดแย้งในราชสำนัก! ส่งราชินีออกมา! สังหารราชินีเสีย!”

 

นางยืนงงงันอยู่ที่นั่น ชั่วขณะนั้นไม่รู้แน่ชัดว่าเรื่องราวพลันมาตกอยู่ที่นางได้อย่างไรกัน

 

สมุหพระกลาโหมเฉิงตายแล้วหรือ?

 

ตายแล้วเกี่ยวอะไรกับนาง? หลังจากเขาถูกส่งกลับจวนแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกกันแน่?

 

“เปิดประตู!” จิ่งเหิงปัวแหงนหน้าร้องตะโกน นางไม่เชื่อข่าวนี้ นางจะออกไป นางต้องรู้ให้ได้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!

 

มือสังหารที่ลอบสังหารสมุหพระกลาโหมเฉิงถูกนางขวางไว้แล้วอย่างชัดเจน ตอนนั้นสมุหพระกลาโหมเฉิงไม่ได้เลือดออกมากมาย ตอนจากไปยังปกติดีอยู่เลย ทำไมหลังจากกลับจวนแล้วถึงได้บาดเจ็บล้มตายขึ้นมากะทันหัน?

 

เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!

 

นางเงยหน้าขึ้น บนศีรษะคือท้องฟ้าพยับเมฆใกล้มีหิมะตก ดั่งเมืองที่ถูกศัตรูโอบล้อมไว้ใกล้จะพังทลายลงมาดังครืนแล้ว

 

“เปิดประตู!” นางร้องตะโกนประหนึ่งเสียสติ ก่อนจะวิ่งขึ้นไปข้างหน้า

 

แขนพลันถูกคนลากไว้ เสียงของกงอิ้นยังคงชัดเจนเย็นเยือก เอ่ยว่า “หยุดนะ!”

 

“กงอิ้น!” นางหันหน้ากลับมา ดวงตาแดงก่ำ ร้องขึ้นว่า “พวกเขากำลังใส่ร้ายข้า! สมุหพระกลาโหมเฉิงตายไม่ได้! มีคนลอบทำร้ายข้ามาโดยตลอด!”

 

“หากเจ้าพุ่งออกไปคงถูกเหล่าองครักษ์เผ่าฝูสุ่ยที่โกรธแค้นฉีกทึ้งโดยพลัน” กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ในเผ่าฝูสุ่ยสมุหพระกลาโหมเฉิงมีบารมีสูงส่งยิ่งนัก พวกเขาต้องแก้แค้นให้สมุหพระกลาโหมเป็นแน่ ส่วนคนของหกแคว้นแปดชนเผ่าต่อให้ลงมือทำร้ายเจ้า ย่อมคิดหาหนทางหนีกลับเผ่าเดิมของตนเองได้โดยพลัน ราชสำนักไม่อาจเริ่มสงครามกับชนเผ่าใดชนเผ่าหนึ่งในแปดชนเผ่ายามหกแคว้นขวางกั้น เจ้าจะสิ้นชีพอย่างไร้ค่ายิ่งนัก!”

 

“ข้าอธิบายได้! หากมือสังหารเป็นข้า แล้วเหตุใดตอนนั้นข้าต้องช่วยเขาด้วย!” จิ่งเหิงปัวชี้ไปข้างหน้า ร้องว่า “พวกเขาไม่มีสมอง ข้าจะตบพวกเขาให้ได้สติ!”

 

กงอิ้นจ้องมองนางอยู่ ในดวงเนตรของเขาสาดสะท้อนเงาโลหิต

 

“ในเมื่อกล้ามาตำหนักอวี้จ้าว แสดงว่าย่อมเตรียมพร้อมมาตั้งนานแล้ว…” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็สูดหายใจ ชี้ไปบนกำแพงวังเอ่ยว่า “ขึ้นไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

 

จิ่งเหิงปัวมองดูประตูวังที่ถูกเฝ้ายามอย่างแน่นหนา รู้ว่าตอนนี้กงอิ้นคงไม่ยอมให้นางออกจากประตูแน่ นางแหงนหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หันกายเพียงครั้ง ก่อนขึ้นสู่กำแพงพระราชวังอย่างเงียบเชียบ

 

บนสันกำแพงแขวนตะเกียงไว้หลายดวง สาดส่องรัศมีมัวสลัวกลุ่มหนึ่ง พอนางปรากฏบนกำแพงวัง จัตุรัสใต้กำแพงพลันเกิดเสียงสับสนอลหม่าน

 

“ราชินีมาแล้ว!”

 

“นางนั่นล่ะ! ราชินีนั่นล่ะ!”

 

“นางนั่นล่ะที่ทำร้ายสมุหพระกลาโหมจนสิ้นชีพ!”

 

มือของจิ่งเหิงปัวค้ำยันกำแพงวังที่เย็นยะเยือก แม้น้ำค้างแข็งในซอกหินแผ่ซ่านไอหนาว ทว่าฝ่ามือร้อนผ่าวเหลือเกิน แต่ไม่ว่าความเย็นหรือความร้อน ขณะนี้นางก็ไม่รู้สึกถึงอะไรเลยสักอย่าง

 

นางมองเห็นเพียงดวงตาโกรธแค้นแต่ละคู่จากทั้งทหารและราษฎรข้างล่าง ราษฎรที่ภูมิลำเนาเดิมอยู่เผ่าฝูสุ่ยในนครตี้เกอมีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ยามนั้นสมุหพระกลาโหมชรามีบุญคุณที่ช่วยชีวิตราษฎรไว้ ยิ่งกว่านั้นเขาเคยเดินทางมายังตี้เกอยามเผ่าฝูสุ่ยประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ ให้ตี้เกอรับราษฎรลี้ภัยกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งไว้ สำหรับราษฎรเผ่าฝูสุ่ยในตี้เกอแล้ว เขาคือผู้มีพระคุณ เขาคือเทพยดา

 

แม้ห่างจากกำแพงวังสามจั้ง นางก็ยังรู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นโชติช่วงปานนั้น ดั่งคล้ายผุดเผยเปลวไฟลุกโชนหลายจั้งกลบกลืนนางไว้

 

“ปลิดชีพขอขมา! ปลิดชีพขอขมา!” เบื้องล่างมีเสียงสับสนอลหม่านหอบม้วนเพียงครั้งดั่งกระแสน้ำ

 

จิ่งเหิงปัวหลับตาลง

 

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งนั้น เสียงของนางก็ดังก้องกระหึ่มว่า “หุบปาก!”

 

กงอิ้นที่อยู่ข้างกายสะบัดแขนเสื้อ คลื่นอากาศหอบหนึ่งพัดผ่านลงจากยอดกำแพง คนที่อยู่แถวแรกพลันถูกลมแรงประชิดใกล้ กลั้นหายใจก้าวถอยหลัง คนที่อยู่ข้างหลังถูกชนเข้าจึงเงียบเสียงโดยสำนึก ฝูงชนแต่ละชั้นค่อยๆ สงบเงียบคุจคลื่นทะเลที่ลดลงเชื่องช้า

 

“ข้าไม่ได้สังหารสมุหพระกลาโหมเฉิง” จิ่งเหิงปัวกล่าวประโยคแรกอย่างตรงไปตรงมาแล้วกล่าวต่อไปว่า “ที่ตรอกซีเกอมีคนมากมายที่เห็นว่าข้าช่วยสมุหพระกลาโหมเฉิงไว้ ซ้ำตนเองยังได้รับบาดเจ็บด้วยเพราะเหตุนี้ พวกเจ้าที่ไม่ไปหามือสังหารคนนั้น ทว่ามายังตำหนักอวี้จ้าวเพื่อบีบบังคับให้ราชินีสละราชย์ เหตุผลของพวกเจ้าก็อยู่ที่ใด?”

 

ฝูงชนแยกจากกัน ผู้สวมอาภรณ์ไว้ทุกข์หลายคนเดินออกมา ยกแคร่หามขึ้น บนแคร่หามนั้นคือศพของสมุหพระกลาโหมเฉิง มองออกได้อย่างรำไรว่าสีหน้าของเขาดำคล้ำ ร่างกายแข็งทื่อ

 

ข้างแคร่หามคือผู้ชราคนหนึ่ง เอ่ยเสียงหนักแน่นว่า “กระหม่อมเป็นชาวตี้เกอนามว่าเจียงเย่ว์ไป่ เป็นหมอมาห้าสิบปี ราษฎรส่วนใหญ่ในตี้เกอต่างรู้จักกระหม่อม รู้ว่าชั่วชีวิตนี้กระหม่อมไม่เคยโป้ปดมดเท็จเสแสร้งแกล้งทำ”

 

ทุกผู้คนต่างพยักหน้า กงอิ้นเอ่ยอยู่ข้างกายจิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “หมอเลื่องชื่ออันดับหนึ่งแห่งตี้เกอ อุปนิสัยซื่อตรง รักษาโรคภัยช่วยเหลือผู้คน ชั่วชีวิตนี้ช่วยให้คนรอดชีวิตนับมิถ้วน ไม่เคยเก็บค่ารักษาจากราษฎรยากจน”

 

ในใจจิ่งเหิงปัวรู้สึกหนักหน่วง

 

แม้แต่กงอิ้นก็ยังรู้ชื่อเสียงของคนคนนี้ เห็นได้ถึงความน่าเชื่อถือของเขา

 

“กระหม่อมเพียงเอ่ยว่าตนเองรู้” เจียงเย่ว์ไป่เอ่ยอย่างสงบเงียบว่า “หน้าอกของสมุหพระกลาโหมมีแผลที่ถูกแทงเล็กน้อย ทว่าไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต สิ่งที่ทำให้เขาสิ้นชีพ…” เขาชูหลังมือของสมุหพระกลาโหมเฉิงที่อยู่ข้างกายขึ้น เอ่ยสืบต่อว่า “คือรอยขีดข่วนรอยนี้” เขาเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อว่า “รอยขีดข่วนมีพิษร้ายแรง ออกฤทธิ์หลังจากหนึ่งชั่วยาม ไร้หนทางรักษา”

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นบาดแผลบนมือของสมุหพระกลาโหมเฉิงได้ไม่ชัดเจน แต่รู้ว่ามีบาดแผลแน่นอน

 

นางยกมือขึ้นอย่างมึนงง คราวนี้ถึงได้มองเห็นว่าในเล็บมือทั้งสองข้างของตนยังมีเศษผิวหนังและรอยเลือดหลงเหลืออยู่เล็กน้อย นางจำได้ว่าตอนที่ตนเองพุ่งเข้าไปในฝูงชนแล้วลากสมุหพระกลาโหมเฉิงออกมา นางคว้ามือของเขาไว้อย่างรุนแรงจริงๆ เล็บตนเองทั้งยาวทั้งแข็ง อาจจะขีดข่วนเขาจนเป็นรอยด้วยความวิตกกังวลก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

 

ในใจของนางสับสนวุ่นวาย…เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน?

 

เจียงเย่ว์ไป่เอ่ยจบแล้วก็ไม่ปริปากอีก เพียงก้าวถอยหลังไป ผู้อ่อนวัยคนหนึ่งที่ยืนข้างศพเอ่ยอย่างโศกเศร้าว่า “ท่านแม่เสียไปเนิ่นนานแล้ว หลายปีมานี้ท่านพ่อไม่ได้สมรสใหม่ ซ้ำยังไม่มีอนุภรรยาข้างกาย รอยขีดข่วนนี้ นอกจากองค์ราชินีแล้ว ไม่มีผู้อื่นอีก!”

 

“หากข้าอยากสังหารสมุหพระกลาโหมเฉิง ข้าไม่ช่วยเขาในตรอกซีเกอก็ย่อมได้!” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “จะต้องสิ้นเปลืองเวลากระทำเรื่องราวนี้ด้วยเพราะเหตุใดกัน!”

 

“ด้วยเพราะว่าเจ้าจะหลอกลวงทุกคน!” คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งพลันพุ่งเข้ามา คนที่นำหน้าผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “เจ้าช่วยสมุหพระกลาโหมเฉิงต่อหน้าราษฎรตี้เกอเพื่อใช้ข้ออ้างนี้พ้นผิดยามสังหารเขา!”

 

ภายใต้แสงไฟสาดส่อง คนผู้นั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น สีหน้าขาวซีด เป็นจ้าวซื่อจื๋อที่โผล่พรวดออกมา!

 

ข้างหลังเขาคือขุนนางฝ่ายบุ๋นกลุ่มใหญ่ที่เห็นเขาเป็นกังหันบอกทิศทางลม เห็นเขาเป็นอาจารย์!

 

“เหลวไหล! เหตุใดข้าต้องสังหารเขา!”

 

“ด้วยเพราะสมุหพระกลาโหมเฉิงคัดค้านข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า!” เสียงอีกเสียงหนึ่งขานรับอย่างเย็นชาว่า “วันนั้นพวกเราผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าถูกโจมตีที่ปากทางภูเขาตี้เกอ เคยถูกบังคับให้ลงนามข้อตกลงฉบับหนึ่งกับผู้ลักพาตัว หนึ่งในข้อตกลงของเผ่าฝูสุ่ยนั้นคือภายภาคหน้าต้องยกผลผลิตส่วนหนึ่งของบึงโคลนฝูสุ่ยให้ในนามของราชินี ยามนั้นผู้ลงนามข้อตกลงคือเจ้ากรมโยธาของเผ่าฝูสุ่ย ทว่าหลังจากสมุหพระกลาโหมเฉิงพบเข้าได้ยืนหยัดไม่เห็นด้วย พอเจ้ารู้เรื่องเข้าจึงเกลียดชังด้วยเพราะเขาขัดขวาง ตั้งใจจัดเตรียมแผนการนามว่าภาพเหมือนหลอกล่อให้เขามาวาดภาพเหมือน แล้วจัดหามือสังหารมาลอบสังหารเขา จากนั้นแสร้งทำเป็นว่าตนเองเข้าช่วยเหลือโดยไม่คำนึงถึงอันตราย ฉกฉวยความน่าเชื่อถือของเขาและความเคารพรักจากราษฎร สุดท้ายจึงแอบวางยาพิษไว้ในเล็บเพื่อสังหารเขา!”

 

ผู้มาถึงมีน้ำเสียงกังวาน เรือนร่างโค้งเว้างดงามวิจิตรภายใต้แสงไฟ เฟยหลัวนั่นเอง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset