ฝูงชนขยับเบียดเสียด ระหว่างเส้นแบ่งเขตแดน การประจันหน้าของขุนนางกับราษฎรยังดำเนินต่อไป
จิ่งเหิงปัวถูกปกป้องอยู่ภายในสุดของฝูงชน ไม่ได้รีบร้อนพูดจาเช่นกัน แต่จู่ๆ นางก็เข้าใจอะไรขึ้นมาได้กะทันหัน
เรื่องบางเรื่องไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ต้องเหลือเวลาให้เขาได้เลือกสรรบ้าง
สมุหพระกลาโหมชราแห่งเผ่าฝูสุ่ยใช้สายตามองใคร่ครวญ
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจิ่งเหิงปัวเสี่ยงชีวิตช่วยเขา และไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของราชินีเลย ทว่าฐานะของเขาทำให้เขาลำบากใจ
เมื่อมองเห็นชนชั้นขุนนางขับไล่ราชินีด้วยตาของตนเอง ส่วนยามนี้เขาเป็นตัวแทนเผ่าฝูสุ่ย หากเปล่งเสียงออกมา นั่นก็ย่อมเท่ากับว่าเผ่าฝูสุ่ยอยู่ข้างเดียวกันกับราชินี เขารู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติและตำแหน่งที่จะกระทำการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบลึกซึ้งเช่นนี้แทนเผ่าฝูสุ่ย
“ผู้ชราเฉิง” ฉวีถีพลันเอ่ยอยู่ข้างกายเขาอย่างเชื่องช้าว่า “นึกถึงยามนั้น ผู้ชราเฉิงไม่เพียงมีเสียงเล่าลือในสนามรบว่าหนึ่งทหารเฝ้าด่าน ซ้ำยังมีเรื่องอัศจรรย์ในราชสำนักว่าขุนนางอ่อนแอโจมตีขุนนางผู้มีอำนาจ ผู้ชราคิดว่าแม้ประการแรกน่าอัศจรรย์ ทว่าเป็นเพียงภาระหน้าที่ปกป้องแว่นแคว้นของขุนพล ประการหลังถึงทำให้ผู้ชราเฉิงกลายเป็นเสาหลักของขุนนางชั้นผู้ใหญ่แห่งเผ่าฝูสุ่ย ความหยิ่งในศักดิ์ศรียึดมั่นในคุณธรรมที่แท้จริงดำรงอยู่…ไม่เกรงกลัวมหาอำนาจ เพียงรักษาเจตนารมณ์ดั้งเดิม”
“ความลำบากสามสิบปีพัดพา ดวงดาราสามสิบปีอับแสง” เขาถอนใจยืดยาว เอ่ยว่า “หรือว่าความสะดวกสบายและความร่ำรวยเปี่ยมยศศักดิ์ไร้ที่สิ้นสุดแห่งตี้เกอ ทำให้แสงรุ้งแห่งปณิธานของคนผู้หนึ่งเสื่อมสลายไปจนสิ้นได้จริง?”
ใบหน้าชราของสมุหพระกลาโหมเฉิงแดงก่ำ
“ทุกท่าน!” เขาพลันเอ่ยเสียงดังว่า “เงียบหน่อย! เงียบหน่อย!”
อย่างไรเสีย ยามนั้นเจ้าผู้ชราก็เคยคำรามทั่วสนามรบ เสียงร้องก้องกังวาน จิ่งเหิงปัวตกใจจนสั่นสะท้าน คลื่นเสียงทั่วทิศถูกสยบลงจนเงียบสงัดในชั่วพริบตา
“พวกเจ้าเข้าใจผิดกันหมดแล้ว” สมุหพระกลาโหมเฉิงเอ่ยวาจาตรงไปตรงมาว่า “เมื่อครู่นี้มีมือสังหารตั้งใจที่จะฉวยโอกาสยามชุลมุนลอบสังหารเหล่าผู้ชรา โชคดีที่องค์ราชินีเสด็จมาช่วยผู้ชราไว้ได้ทันเวลา” เขาชี้แขนที่ยังคงมีโลหิตไหลรินของจิ่งเหิงปัว แล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงขัดขวางการลอบทำร้ายของมือสังหารแทนกระหม่อมครั้งหนึ่ง กระหม่อมยังไม่ได้ขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงช่วยชีวิตไว้เลยพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเอ่ยจบแล้วประสานมือคารวะครั้งหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวหัวเราะเสียงสูง กล่าวขึ้นในทันทีว่า “ท่านสมุหพระกลาโหมไม่ต้องมากพิธี ท่านเป็นขุนนางคนสำคัญของแคว้น การช่วยท่านเป็นเรื่องที่เจิ้นสมควรกระทำ”
ฝูงชนที่สับสนวุ่นวายเงียบสงบลงโดยพลัน เหล่าขุนนางตระกูลผู้ดีต่างมองหน้ากันไปมา สีหน้าเก้อเขิน เหล่าราษฎรตื่นเต้นจนสงบลง หลังจากเงียบงันไปชั่วครู่จึงระเบิดเสียงร้องยินดีออกมาระลอกหนึ่ง
“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”
“ฝ่าบาททรงมีพระเมตตากรุณา!”
ทั้งยังมีคนหัวเราะเยาะเสียงสูงสั่งสอนขุนนางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามว่า “เบิกตาสุนัขให้กว้าง มองให้แจ่มแจ้ง อย่าได้หน้ามืดตาลายแยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้!”
“พวกเขาจะรู้จักผิดชอบชั่วดีอะไรกัน? ชั่วชีวิตนี้สิ่งเดียวที่พวกเขาแยกแยะได้อย่างชัดเจนก็คือทรัพย์สินเงินทอง!”
เหล่าขุนนางกระดากอายร่นถอย จิ่งเหิงปัวมองดูแล้วยิ้มเยาะเล็กน้อย โบกมือให้ราษฎรข้างนอก แล้วร้องเสียงดังว่า “ขอบใจผู้เฒ่าผู้แก่ คงไม่มีเรื่องใดแล้ว แยกย้ายกันไป แยกย้ายกันไปเถิด”
“ฝ่าบาท หากขุนนางสารเลวเหล่านี้กลั่นแกล้งพระองค์อีก พระองค์ทรงตะโกนออกมา พวกเราจะรีบมาในทันที!”
“ฝ่าบาท หากทรงมีเวลาว่างก็เสด็จมาเสวยแป้งทอดน้ำมันที่แผงของกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท ของว่างตรงถนนหลิงอร่อยเป็นที่สุด เสวยพระกระยาหารในวังจนหน่ายแล้ว หากทรงมีเวลาว่างไม่สู้มาลิ้มลองรสชาติพื้นเมืองของเรา!”
“ได้เลยๆ!” จิ่งเหิงปัวยินดีทำตามน้ำ ใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน
ราษฎรต่างทยอยแยกย้ายกันออกไป จิ่งเหิงปัวมองเจ้าขุนมูลนายเหล่านั้นด้วยหางตา แล้วกล่าวว่า “อะไรหรือ จะรอให้เจิ้นเชิญพวกเจ้าทานข้าวหรือ?”
เหล่าเจ้าขุนมูลนายใบหน้าแดงก่ำ แสดงความเคารพแล้วจากไปอย่างเงียบกริบ ปากประตูร้านวาดภาพเหมือนที่เมื่อครู่ยังเบียดเสียดแน่นขนัดก็ได้สงบเงียบลงมาในที่สุด จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้วมองดูผู้คนหลั่งไหลออกไป คิดอยู่ว่าคงหามือสังหารไม่เจออีกแล้ว
นางนึกถึงเหตุการณ์จวนตระกูลจ้าวเมื่อคราวก่อน เป็นสถานการณ์แบบเดียวกัน แต่ครั้งก่อนจวนตระกูลจ้าวมีขอบเขต มีจำนวนคนแน่นอน สุดท้ายแล้วมือสังหารถูกกงอิ้นจับกุมออกมาได้ ไม่ว่าอย่างไรสถานการณ์แบบในวันนี้คงควานหามือสังหารออกมาไม่ได้แล้ว
นี่ก็เป็นความบังเอิญ หรือว่ามีคนตั้งตนเป็นศัตรูกับนางมาโดยตลอด?
อวี่ชุนกับเถี่ยซิงเจ๋อที่อยู่ข้างหลังต่างถอนหายใจยืดยาว เอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท นับว่าพระองค์ทรงสงบสุขชั่วชีวิตแล้ว”
สีหน้าของอวี่ชุนอัปลักษณ์เหลือเกิน เขาพบแล้วว่าองค์ราชินีนางนี้มีดวงชะตาแห่งอุบัติเหตุ ทุกครั้งพอก้าวออกจากเรือนจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ ซ้ำแต่ละครั้งยังสั่นสะท้านมากยิ่งขึ้น วันนี้เกือบจะกลายเป็นการปะทะกันครั้งใหญ่ของขุนนางกับราษฎรครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของตี้เกอ
อวี่ชุนรู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนภาระหน้าที่กับเหมิงหู่สักหน่อย เปลี่ยนคนมาคุ้มกันราชินี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้ยังใช้ชีวิตนี้ไม่จบสิ้นก็อาจจะตกใจจนถุงน้ำดีแตกตายได้
เถี่ยซิงเจ๋อกลับเอ่ยว่า “บาดแผลของฝ่าบาทต้องเร่งรีบจัดการ”
อวี่ชุนเปล่งเสียงเพียงครั้งหวังเชิญหมอ แต่จิ่งเหิงปัวกลับกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ยามที่ข้าเดินทางมาก็เห็นโรงหมอแห่งหนึ่งมีคนไม่น้อย ฝีมือการรักษาโรคของหมอผู้นั้นน่าจะไม่เลว ไม่สู้ไปพันแผลที่นั่นสักหน่อย?”
“เชิญมาย่อมได้” อวี่ชุนไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เอ่ยว่า “เหตุใดต้องรบกวนพระองค์ยกขบวนเสด็จอย่างยิ่งใหญ่ไปด้วยพระองค์เอง”
“หากหมอถูกลากมาที่นี่แล้วคนที่คอยตรวจโรคเล่าจะทำอย่างไร?” จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาวใส่เขาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “จะเยี่ยมเยียนราษฎร”
เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “พันแผลเสร็จแล้ว ยังไปลิ้มลองของว่าง เดินตลาดได้ด้วย”
“ผู้รู้ใจข้านั้นคือเถี่ยซิงเจ๋อ!” จิ่งเหิงปัวชื่นชมยกใหญ่
อวี่ชุนได้แต่ทําหน้าบึ้งตึงขับรถม้าส่งนางไปโรงหมอ เขาขับรถไปพลางตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะลาออกจากงานบ้าบอที่ถูกสั่งให้ไปทำนี้
รถม้าแล่นไปได้ไม่ไกลนัก ก็หยุดลงตรงโรงหมอแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างถนน จิ่งเหิงปัวสวมหมวกม่านให้ดี ก่อนจะเข้าไปนั่งลงเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เมื่อก้นยังไม่ทันได้นั่งให้มั่นคง ก็พลันมีคนชี้มาที่นางพลางกรีดร้องว่า “องค์ราชินี! เมื่อครู่ข้าเห็นฝ่าบาททรงฉลองพระองค์ชุดนี้!”
“ฝ่าบาทเสด็จมารักษาแผลแล้ว!”
เสียงหนึ่งก่อเกิดความอึกทึกวุ่นวาย คนที่รอตรวจโรคทยอยลุกขึ้นหวังถอยให้นางเข้าไปก่อน
หมอที่อยู่ข้างในชะโงกหน้าออกมาหลายครั้ง ผู้ชราที่กำลังถูกจับชีพจรอยู่ก็พลันลุกขึ้นยืนเสีย แล้วเอ่ยว่า “โรคเก่าแก่ของตาเฒ่านี้ไม่เป็นไร อย่างไรเสียรักษาบาดแผลให้องค์ราชินีก่อนสำคัญกว่า”
ฝูงชนก้าวถอยออกไปเป็นแถวเดียว หมอยืนประสานมือคารวะลึกล้ำให้จิ่งเหิงปัวอยู่หลังโต๊ะ เอ่ยว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาทเสด็จมาพาให้โรงหมอต่ำต้อยสว่างไสว ทูลเชิญฝ่าบาทประทับนั่งข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” พลางสั่งให้คนปิดม่าน วางม้านั่ง จากนั้นก็มีเสียงที่สั่งให้ไปหายารักษาแผลภายนอกที่ดีที่สุดไม่หยุด ลูกศิษย์น้อยกลุ่มหนึ่งมีสีหน้าเบิกบานท่วมท้น เดินเหินหน้าตู้ยาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
จิ่งเหิงปัวถอดหมวกม่านลง นางไร้กะจิตกะใจที่จะป่าวประกาศ เดิมทีอยากใช้โอกาสนี้มองดูชีวิตราษฎร ค้นหาความรู้สึกในการดำรงชีวิต แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับน้ำใจไมตรีแบบนี้
เบื้องหน้าคือใบหน้าที่ยิ้มแย้มจริงใจมากมาย ผลิแย้มรอยยิ้มมาทางนางประหนึ่งดอกทานตะวัน ฝูงชนแบ่งแยกเป็นสองฝั่งในทันที ร่นถอยเปิดเส้นทางให้นางเดินไปข้างหน้า หมอรอคอยอยู่หลังโต๊ะอย่างกระตือรือร้น ร้องอย่างต่อเนื่องว่าต้องนำโสมร้อยปีที่ดีที่สุดออกมา
นางเหม่อลอยเล็กน้อย นึกถึงพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จขึ้นมากะทันหัน ฝูงชนแบ่งเป็นสองแถวเช่นกัน เป็นเส้นทางสายหนึ่งซึ่งตนเองเดินเหินผู้เดียวเช่นกัน แต่ตอนนั้นรอบกายคือแววตาสอบสวนเย็นชาระมัดระวัง ข้างหน้าคือขุนนางอาวุโสนับไม่ถ้วนที่รอคอยกลั่นแกล้ง นางเหงื่อไหลชุ่มโชกอยู่บนเส้นทางสายนั้น จากนั้นก็ถูกขุนนางน้อยยศต่ำต้อยคนหนึ่งตำหนิติเตียน
ในโลกนี้สิ่งที่ยากจะซื้อก็คือใจคน
ราษฎรคือฝูงชนที่ซื่อสัตย์จิตใจดีงามที่สุดบนโลกนี้ ดิ้นรนอย่างยากลำบากเพื่อการอยู่รอดชั่วชีวิต ด้วยเพราะสายลมดุจคมมีด น้ำค้างดุจคมกระบี่คอยจู่โจม การรับรู้สัมผัสเจตนาดีจึงละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง บุญคุณเล็กน้อยของผู้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าย่อมทำให้พวกเขาซาบซึ้งใจจริงจัง สาบานว่าแม้ตายจะต้องปกป้อง
ส่วนขุนนางตระกูลผู้ดีที่ได้รับหลายสิ่งหลายอย่างเหล่านั้นค่อยๆ สูญสิ้นความรู้สึกพึงพอใจและมโนธรรมระหว่างการสะสมทรัพย์สินและยศศักดิ์เรื่อยไป ผลประโยชน์ส่วนตัวสูงสุด หุบเขาแห่งความโลภยากจะเติมเต็ม
นางคล้ายเข้าใจอะไรขึ้นมาทันที เช่นนั้นจึงผลิแย้มรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริง สายตาเคลือบแสงธารแวววาว
ห้องโถงใหญ่ที่สับสนอลหม่านพลันเงียบสงัด ทุกคนจ้องมองรอยยิ้มงดงามและบริสุทธิ์นั้นด้วยความรู้สึกหวั่นไหว รู้สึกเพียงจิตใจได้ชำระล้าง ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล
ย่อมมีคนส่วนหนึ่งที่ระแวงสงสัย เบื้องหน้ารอยยิ้มสว่างไสวเช่นนี้ ดูรู้สึกคล้ายถูกแสงรุ่งโรจน์แห่งอุปนิสัยสาดส่อง มองเห็นความเห็นแก่ตัวที่อยู่เบื้องลึกภายในจิตใจ
อวี่ชุนยืนกอดอกอยู่ปากประตู เดิมทีเขาก็ระมัดระวังอย่างยิ่ง ยามนี้ก็ผ่อนคลายอย่างยิ่ง ครุ่นคิดว่าแท้จริงแล้วหน้าที่นี้ยังพอไหว มีเกียรติมีศักดิ์ศรีนัก หรือจะไม่เปลี่ยนแล้วดี?
เถี่ยซิงเจ๋อเงยหน้ามองดูจิ่งเหิงปัว ในแววตาดูคล้ายมีแสงรุ่งโรจน์เปล่งประกายระยิบระยับ
จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มพยักหน้า ห้ามอวี่ชุนที่หวังจะเข้ามาปกป้องนางไว้ แล้วเดินเข้าไปกลางฝูงชนอย่างสงบนิ่ง
นางจะไม่ปฏิเสธเจตนาดีของคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล