ความสนใจของกงอิ้นตั้งแต่เริ่มต้นจนจบอยู่บนสมุดพับทั้งสิ้น ไม่อยู่ภายนอกเลย องครักษ์นายนั้นเขย่งปลายเท้าขึ้น ยื่นลำคอมองกงอิ้นเขียนพู่กันอย่างระมัดระวัง สายตาไม่ได้ทอดลงบนสมุดพับเลยแม้แต่น้อย ทว่าเวียนวนบนข้อนิ้วขาวราวหิมะดั่งหยกแกะสลักของกงอิ้นอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังมองดูเล็บประหนึ่งเปลือกน้ำแข็งของเขาหลายครั้ง
ลมหายใจของเขาค่อยๆ ถี่กระชั้น พยายามกลั้นไว้จนบิดฝ่ามือโดยสำนึก จิกฝ่ามือไว้ขยับเขยื้อนร่างกายเล็กๆ น้อยๆ จ้องมองเงาด้านหลังของกงอิ้น ฝีเท้าเคลื่อนย้ายไปข้างหน้าทีละเล็ก ทีละน้อย
“น่ามองหรือ?” กงอิ้นเอ่ยขึ้นโดยพลัน
เขาเงยหน้าอย่างชะงักงัน
ฟิ้ว! เสียงหนึ่งดังขึ้น สมุดพับที่วางอยู่เต็มโต๊ะพลันลอยขึ้นเหินว่อนอย่างมั่วซั่วดังพึ่บพั่บระลอกหนึ่ง ปกอัดแข็งสีแดงเหลือบทองซัดสาดวนเวียนสลับซับซ้อนไปมากลางอากาศดุจดั่งค่ายกลขนาดใหญ่ ปิดตายเส้นทางทั้งหมดของเขา
‘องครักษ์’ หัวเราะฮ่าๆ ไม่ได้ตึงเครียดด้วยซ้ำ เอ่ยเสียงดังว่า “ปิดบังเจ้าไม่ได้จริงๆ ด้วย!” เรือนร่างหันอย่างแปลกประหลาดครั้งหนึ่ง หลุดพ้นจากค่ายกลสมุดพับมืดฟ้ามัวดินมาถึงข้างหลังกงอิ้นแล้ว ห้านิ้วเปล่งประกายดุจตะขอเกี่ยวคว้าไปทางไหล่ของกงอิ้น ร้องว่า “เช่นนั้นจงไปด้วยกันกับข้าเถิด!”
แครก เสียงหนึ่งดังขึ้นแหลมคม นิ้วมือของเขาไถลผ่านบนแผ่นน้ำแข็งผืนหนึ่ง เศษน้ำแข็งนับไม่ถ้วนกระเซ็นออกมา เงาหิมะกะพริบวูบ กงอิ้นมาถึงข้างหลังเขาแล้ว เท้าหนึ่งถีบเข้ากลางหลังของเขาดัง พลั่ก! ร่างของเขากระแทกล้มลงบนโต๊ะ พู่กันแท่งหมึกจานฝนหมึกร่วงหล่นทั่วพื้นดังปึงปัง
“โหดร้ายยิ่งนัก!” เขาหัวเราะลั่นเช่นเคย ก่อนที่เท้าที่สองของกงอิ้นจะถีบเข้ามา เรือนร่างลื่นไถลไปข้างหน้าออกไปจากข้างหน้าโต๊ะปานอสรพิษ เท้าหนึ่งนั้นของกงอิ้นคล้ายไม่มีผลกระทบต่อเขาแม้แต่เศษเสี้ยว รวดเร็วเสียจนไร้หนทางมองเห็นชัดเจน
พลั่ก! เงาหิมะทั่วท้องฟ้าแตกร้าวดังกึกก้องเสียงหนึ่ง โซ่หิมะที่กงอิ้นลงมือกระแทกลงบนโต๊ะและพื้นอย่างรุนแรง ฟาดจนเกิดร่องที่เต็มไปด้วยผลึกน้ำแข็งขนาดเกือบฉื่อบนพื้นศิลาขาวแข็งแกร่งทั้งอย่างนั้น!
หากตำแหน่งนั้นยังมีคนอยู่ ยามนี้คงแหลกละเอียดไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูกแล้ว!
คนผู้นั้นไถลออกไปปานสายฟ้าแลบ หันศีรษะกลับมากลางอากาศ ในสายตาฉายแววตกตะลึง เอ่ยอย่างตกใจว่า “นางไม่ได้หลอกข้า เจ้ามัน…”
นิ้วมือของกงอิ้นยกขึ้นเพียงครั้ง สายโซ่เงาหิมะเปล่งเสียงคำรามขึ้นมา ชำระล้างลมโซ่แสงหิมะทั่วห้อง คนผู้นั้นไหนเลยจะทันได้เอ่ยวาจา เรือนร่างบิดพลิ้วหลบหนีไปข้างนอกสุดชีวิต ปลายนิ้วของกงอิ้นดีดเพียงครั้ง ปลายโซ่ก็พลันยืดออกสามฉื่อ เสียง เพียะ! ดังขึ้น ความเร็วประหนึ่งเทพของเจ้าผู้นั้นยังไม่อาจหลบหนีได้โดยสิ้นเชิง แผ่นหลังพลันมีก้อนเนื้อชุ่มโลหิตใหญ่เท่านิ้วมือก้อนหนึ่งกระเด็นออกมา!
เจ้าผู้นั้นกรีดร้องออกมาเสียงหนึ่ง ทุ่มกำลังพุ่งเข้าไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง วิชาตัวเบาของเขาไร้สิ่งเทียบเทียม ระหว่างกะพริบวูบเพียงครั้งก็มองด้วยสายตาเกือบจะหนีพ้น บนไม้วงกบประตูพลันมีเจ้าตัวขนฟูฟ่องตัวหนึ่งร่วงลงมา
เจ้าผู้นั้นมองเห็นเพียงดวงตากลมโตสีม่วงคล้ำขนาดมหึมาคู่หนึ่งค่อยๆ กะพริบครั้งแล้วครั้งเล่าเบื้องหน้าตนเอง
จากนั้นเขาก็พบอย่างขวัญเสียว่าความเร็วของตนเองเชื่องช้าลงมาโดยพลัน!
ธรณีประตูอยู่เพียงแค่เอื้อม ทว่าเสมือนไกลสุดขอบฟ้า
ฟิ้ว! สายลมรุนแรงคำรามอยู่ข้างหลัง จินตนาการได้ถึงความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่และความไม่ปราณีเลยแม้แต่น้อยของผู้ลงมือ
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ในใจ ก่อนหลับตาลง ไม่กล้านึกถึงทิวทัศน์น่าสยดสยองจากซากศพซากกระดูกของตนเองแหลกเป็นสองท่อนหลังครู่หนึ่งนี้
วิธีสิ้นชีพเช่นนี้…นับว่ายอมสิ้นใจใต้เงื้อมมือโฉมสะคราญ แม้เป็นวิญญาณย่อมได้อิสระหรือไม่?
หากรู้เช่นนี้แต่แรกเชื่อนางน่าจะดีกว่า…
ความคิดกะพริบวูบผันผ่าน ไอหนาวแช่แข็งร่างกาย ความรู้สึกเชื่องช้าของเขาพลันอืดอาด รู้สึกตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เหตุใดเสียงลมจึงหยุดลงโดยพลัน?
ทว่าไอสังหารคุกคามที่แหลมคมหนาวสะท้านเพียงพอจะแทงทะลุวิญญาณแบบนั้นข้างหลังยังดำรงอยู่
ของเย็นเยือกสิ่งหนึ่งยื่นเข้าสู่ลำคอของเขา จากนั้นก็พลิกร่างของเขาครั้งหนึ่งอย่างแผ่วเบาเชื่องช้า ดุดันและเยือกเย็น
ปราดแรกเขามองเห็นโซ่หิมะรูปแบบพิเศษเปล่งประกายแสงเงินระยิบระยับชี้มายังคอหอยของเขา
ปราดที่สองมองเห็นมือกุมโซ่ที่ไร้ซึ่งสีโลหิต ทว่าพาให้คนรู้สึกหนักหน่วงเป็นพิเศษ
มองตามแขนเสื้อขึ้นไปตลอดทาง สุดท้ายเผชิญกับนัยน์ตาคู่หนึ่งซึ่งเงียบสงบแลเหน็บหนาวดุจภูเขาหิมะพันปีหมื่นปี
ภูเขาหิมะพันหมื่นปีน้ำแข็งหิมะไม่ละลาย ท้องนภาพันหมื่นปีบริสุทธิ์ดุจชำระล้าง สระสวรรค์พันหมื่นปีกระจ่างแจ้งดุจหยก แสงรุ่งโรจน์ผ่องอำไพที่สายลมพันหมื่นปีพัดพาให้สูญสลายมิได้
เอ่ยกันว่าผิวกายขาวเสียยิ่งกว่าหิมะ ดวงพักตร์ดุจภาพวาด เบื้องหน้ารูปลักษณ์สะกดผู้คนเช่นนี้ ดั่งคล้ายรังเกียจแม้มีไอควันไฟเพียงน้อยเพิ่มเข้ามา
เทียนชี่สูดหายใจอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน
“เดิมทีนึกว่าภาพนั้นประณีตเหลือล้นแล้ว ทว่าแท้จริงแล้วเพียงหนึ่งในสิบ” เขากระซิบกระซาบว่า “ยามเช้าเห็นโฉมงาม ยามเย็นยอมสิ้นใจ!”
กงอิ้นดูคล้ายไม่ได้ยินวาจาที่มีกลิ่นอายผิดปกติชัดแจ้งนี้
เขามีรูปโฉมโดดเด่นตั้งแต่เด็ก กระแสนิยมของราษฎรต้าฮวงประหลาดมากหลายเช่นกัน คนแบบใดล้วนเคยได้พบเจอ วาจาแปลกประหลาดแบบใดล้วนเคยได้ฟัง คนเบื้องหน้าผู้นี้ทำให้เขาหยุดมือได้ย่อมมิใช่ด้วยเพราะพฤติกรรมพิเศษ
“เอ่ยนาม”
“เทียนชี่”
“คนที่ใด”
“แคว้นซัง”
“อาจารย์”
“ไม่มีอาจารย์ ได้วิชาอัศจรรย์จากป่าเขา”
ถามได้เมินเฉยตอบได้ซื่อตรง เบื้องหน้าความแข็งแกร่งไม่มีส่วนเหลือให้ปลิ้นปล้อน
“เคยเห็นภาพเหมือนข้า?”
“เรื่องถูกต้องที่สุดในชีวิตนี้ของข้า คือการที่รีบเร่งตามมาพบเจ้าของหลังจากได้เห็นภาพเหมือนเจ้า”
“หากสิ้นชีพเจ้าคงไม่คิดเช่นนี้แล้ว”
“ข้ายอมรับ ข้าอวดดีแล้ว” เทียนชี่ถอนหายใจ เอ่ยว่า “ทว่าข้าคิดว่าข้าคงไม่เปลี่ยนแปลงความคิด”
“คล้ายหลงระเริงทว่าระมัดระวัง คล้ายเสียสติทว่าฉลาดปราดเปรื่อง อุปนิสัยแปลกประหลาดและดื้อรั้น ซ้ำยังเชี่ยวชาญการหลบซ่อนเรือนร่าง เชี่ยวชาญวิชาตัวเบาก้าวอากาศ เชี่ยวชาญการรับมือสถานการณ์ยามคับขัน เชี่ยวชาญวรยุทธ์จากภายใน” น้ำเสียงของกงอิ้นคล้ายกำลังวิจารณ์เนื้อหมูติดมันที่พอเหมาะพอดีชิ้นหนึ่ง
“ไม่ถึงสามท่วงท่า เจ้ายังสรุปออกมาได้มากมายเพียงนี้” เทียนชี่มองดูรอบด้าน เอ่ยว่า “ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงเช่นนี้ด้วยเรือนร่างสวมอาภรณ์ขาวได้ มหาราชครูมีชื่อเสียงสมดังคำร่ำลือ” เขามองดูกงอิ้นด้วยแววตาเลื่อมใสศรัทธาท่วมท้น เอ่ยว่า “เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าหน้าตาของเจ้ายังด้อยกว่าความสามารถของเจ้าอยู่บ้าง ไม่เข้าใจโดยแท้ว่าเหตุใดโลกภายนอกไม่ล่วงรู้”
“รู้ว่าข้าคือผู้ใด คงน่าจะเคยได้ยินว่าข้ามิใช่ผู้มีเมตตาปราณี” กงอิ้นแลคล้ายไม่ได้ยินวาจาประโยคสุดท้ายของเขา
สีหน้าของเทียนชี่เปลี่ยนแปลงไปจนแปลกประหลาดยิ่งนัก
“เจ้าจะทำอะไร?”
กงอิ้นดีดนิ้วมือเพียงครั้ง ยาสีขาวหิมะเม็ดหนึ่งพุ่งออกมา คางของเทียนชี่เจ็บปวดระลอกหนึ่ง จำใจอ้าปากขึ้น
ยาเม็ดเข้าสู่ท้อง ความเยือกเย็นลอยล่องขึ้นมา เขาเหน็บหนาวร่างกายสั่นเทิ้ม
กงอิ้นชักสายโซ่คืน ก่อนกลับไปนั่งลงบนที่นั่ง เงาร่างสีขาวสงบนิ่งเงียบเชียบบนเก้าอี้ของเขา ท่าทางเลือนรางแลอ่อนแรงเล็กน้อยภายในห้องอึมครึม
“หากไม่อยากตาย จงไปปกป้องคนผู้หนึ่ง” เขาเอ่ย
สีหน้าของเทียนชี่แปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น
“พอเจ้าแน่ใจในอุปนิสัยและวรยุทธ์ของข้าก็กระทำการตัดสินใจครั้งนี้กระมัง” เขาเอ่ยว่า “เพราะเหตุใด?”
“อันตรายอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นตลอดกาล ทว่าจำเป็นต้องกระทำการตระเตรียมให้พร้อมเพื่อสิ่งนี้” นิ่งเงียบชั่วครู่ น้ำเสียงเขาเฉื่อยเนือย
“ไปเถิด ทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งหมดของเจ้า ชั่วชีวิตของเจ้า”
…
เทียนชี่กระโจนผ่านสันกำแพงเพียงครั้ง ไม่สะเทือนถึงดอกไม้ใบหญ้า
เขารู้ว่าครู่หนึ่งนี้แววตาขององครักษ์นับไม่ถ้วนในจิ้งถิงแผ่คลุมตนเองอยู่ หากเขามีความเคลื่อนไหวผิดปกติแม้เพียงน้อยคงสิ้นชีพอย่างน่าเวทนายิ่งนัก
ในใจเขาไร้ซึ่งความหวาดกลัว ทว่ามีอารมณ์แปลกประหลาดวูบไหว
ยามข้ามผ่านกำแพงสูง เขาหันหน้ากลับมามองจิ้งถิงปราดหนึ่ง มองเห็นเงาขาวเงาหนึ่งยืนนิ่งเงียบเชียบผ่านด้วยเงาเขียวชั้นแล้วชั้นเล่ารำไร
เขาอดจะนึกถึงเงาร่างสีแดงที่วูบไหวดุจเพลิง พร้อมเสียงหัวเราะอย่างเกียจคร้านในลานบ้านอีกแห่งหนึ่งขึ้นมาไม่ได้
หัวใจสองดวงรวมเป็นหนึ่ง วันนี้ได้พบเห็นในที่สุด
เขาโลดแล่นกลางสายลม หลงเหลือไว้เพียงวาจาทอดถอนใจแผ่วเบาประโยคต่อมา
“หลังจากวันนี้…”
“…ข้าก็เชื่อในความรักอีกครั้งแล้ว”