เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 84 – 2 เชื่อในความรักอีกครั้ง

ความวุ่นวายเริ่มจากปากตรอกข้างหน้า ผู้คนพากันเบียดเสียดแน่นขนัดอยู่ทางนั้น คนครึ่งใหญ่มามุงดูเรื่องสนุกสนาน พลันมีคนกรีดร้องขึ้นว่า “งู! งู!” จากนั้นจึงมีคนกระโดดวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ฝูงชนวุ่นวายขึ้นมาในฉับพลัน  

 

 

พอภายนอกวุ่นวาย คนที่อยู่ภายในไม่รู้สถานการณ์แน่ชัดย่อมพลอยวุ่นวายตามไปด้วย ทันใดนั้นก็มีคนมุดเข้ามาข้างใน มีคนเบียดออกไปข้างนอก ศีรษะคนขยับเบียดกันดุจคลื่นทะเลอันมืดมิด คลื่นแต่ละระลอกกระเพื่อมจนตาแก่หลายคนที่กำลังจะออกไปจากใจกลางฝูงชนโซซัดโซเซ  

 

 

จิ่งเหิงปัวพบในทันทีว่าภายในคลื่นทะเลศีรษะมนุษย์นั้นมีคนกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งย้อนทวนขึ้นมา! ก่อนจะพุ่งตรงไปยังตาแก่สามคนที่อยู่ใจกลางฝูงชน!  

 

 

“ระวัง!”  

 

 

เสียงวาจายังไม่ทันสิ้น เงาร่างของนางก็หายไปจากที่เดิมแล้ว ยามกะพริบกายอีกครั้งก็ได้พุ่งเข้ามาข้างหน้าสมุหพระกลาโหมชราแห่งเผ่าฝูสุ่ย คว้ามือของเขาไว้แล้วลากเขาอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง  

 

 

ฉึก!  เสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา หยาดโลหิตกลุ่มหนึ่งสาดกระเซ็นดุจปะการังภายใต้แสงอาทิตย์  

 

 

“โอ๊ย! แม่งเอ้ย เจ็บโว้ย!” เสียงร้องเจ็บปวดที่ไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย มีแค่จิ่งเหิงปัวเท่านั้นที่ร้องออกมาได้  

 

 

ฝูงชนต่างเงียบงัน มองไปทางจิ่งเหิงปัวโดยพร้อมเพรียง ไม่รู้ว่าตั้งแต่ยามใดที่นางมาถึงใจกลางฝูงชนแล้ว ยืนอยู่หน้าเจ้าผู้ชราสองสามคนนั้น ยามนี้แขนกำลังสั่นเทิ้ม เสื้อผ้าบนแขนฉีกขาดหมดแล้ว ผุดเผยให้เห็นบาดแผลสีแดงเข้มผืนหนึ่ง  

 

 

สมุหพระกลาโหมชราแห่งเผ่าฝูสุ่ยที่อยู่ข้างกายนาง สีหน้าไม่ได้ย่ำแย่เช่นนาง เขากำลังขมวดคิ้วจ้องมองนางเล็กน้อย เสื้อช่วงหน้าอกของผู้ชราฉีกขาดเล็กน้อยด้วยเช่นกัน มีรอยโลหิตรอยหนึ่งซึมออกมารำไร ทว่าไม่ได้ไหลรินมากเท่าจิ่งเหิงปัวเลย  

 

 

ยามเกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน คนจำนวนมากไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนมากกว่านั้นเบียดเข้ามาหวังจะมองให้ชัดเจน จิ่งเหิงปัวกุมแขนไว้ เขย่งปลายเท้าขึ้นมาเหลียวมองรอบด้าน ก่อนจะมองเห็นว่าคล้ายมีคนเบียดออกไปอย่างรวดเร็ว นางอยากจะไล่ตามไปแต่ถูกฝูงชนเบียดไว้หลายชั้น อดจะทั้งเจ็บปวดทั้งวุ่นวายใจไม่ได้ จึงยื่นขาถีบอย่างต่อเนื่องแล้วร้องว่า “ถอยไป! ถอยไป! แม่งเอ๊ย พวกเจ้าเบียดกันขนาดนี้แล้วข้าจะหามือสังหารได้อย่างไร!”  

 

 

“เจ้าทำอะไร!” องครักษ์จากจวนสมุหพระกลาโหมที่ถูกเบียดเสียดไปอยู่ข้างหนึ่ง ไม่ได้มองเห็นสถานการณ์เมื่อครู่จนชัดเจน ยามนี้ต่างเบียดเข้ามา มองเห็นบาดแผลตรงเสื้อบริเวณหน้าอกของผู้ชราในปราดเดียวก็ตกอกตกใจในฉับพลัน หันกายคว้าจิ่งเหิงปัวเอาไว้แล้วร้องว่า “เจ้าพุ่งเข้ามาทำร้ายคนใช่หรือไม่! เป็นเจ้าใช่หรือไม่!”  

 

 

ลูกหลานตระกูลผู้ดีที่ไม่เข้าใจสถานการณ์บางส่วน ก่อนหน้านี้ไม่พอใจก็ยังไม่ยอมร่นถอย ยามนี้เห็นว่าเกิดสถานการณ์ร้ายแรงขึ้นแล้ว ต่างเร่งรีบเบียดเสียดเข้ามาภายใน ร้องว่า “ฆ่าคนแล้ว! เถ้าแก่เนี้ยร้านวาดภาพเหมือนฆ่าคนแล้ว!”  

 

 

“ถอยไป! อย่าเสียมารยาท!” อวี่ชุนกับเถี่ยซิงเจ๋อรีบเร่งแหวกฝูงชนมาถึงแล้วเช่นกัน  

 

 

คนที่ล้อมอยู่รอบนอกมากยิ่งขึ้นกลับเริ่มฮือฮาขึ้นมาว่า “ราชินี! ราชินี!”  

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักงัน  

 

 

พอหันหน้ากลับมาถึงได้พบว่าตอนที่ตนเองพุ่งเข้ามานั้น หมวกม่านได้ร่วงหล่นลงแล้ว  

 

 

ส่วนยามนี้ราษฎรที่รุมล้อมมองดูเรื่องสนุกสนานอยู่รอบนอกก็มีจำนวนมากยิ่งขึ้น ที่นี่อยู่ใกล้ตรอกหลิวหลี ราษฎรจำนวนมากเคยเห็นนางจากเหตุการณ์ตรอกหลิวหลีครั้งก่อน นางงดงามเพริศแพร้วโดยกำเนิด เป็นจุดดึงดูดฝูงชนเสมอ พอเงยหน้าขึ้นคนส่วนใหญ่ก็จำได้หมดแล้ว  

 

 

“ราชินี! ราชินี!” ราษฎรยิ่งพุ่งเข้ามามากยิ่งขึ้น กวัดแกว่งแขนอย่างตื่นเต้นดีใจ  

 

 

เหล่าขุนนางตระกูลผู้ดีที่ล้อมอยู่ภายในต่างชะงักงัน ทยอยหันนางมองนาง มีคนจำนางได้แล้ว ทว่าส่วนใหญ่ไร้ซึ่งสีหน้าตื่นเต้นยินดีเฉกเช่นราษฎร มีคนที่ขมวดคิ้ว มีคนที่ทำสีหน้าไร้ความสุข ผุดเผยเจตนาร้ายออกมารำไร ยิ่งไปกว่านั้นก็มีผู้แอบประชิดใกล้นางอย่างเงียบเชียบ  

 

 

อวี่ชุนกับเถี่ยซิงเจ๋อเห็นสภาพการณ์ผิดปกติ จึงยืนปกป้องข้างกายนางทั้งซ้ายทั้งขวา  

 

 

เหล่าราษฎรมีความรู้สึกว่องไว เมื่อพบเจอเจตนาร้ายแปลกประหลาดของเหล่าขุนนางเช่นกันก็โกรธแค้นมากยิ่งขึ้น คนกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามา เสียงร้องตะโกนโหวกเหวกดังก้องทั่วทั้งตรอกซีเกอ  

 

 

“ถอยไป! ถอยไป!”  

 

 

“พวกเจ้ามาเบียดเสียดอยู่เบื้องหน้าราชินีทำอะไรกัน!”  

 

 

“พวกเจ้าจะทำอะไรราชินี? มีพวกเราอยู่ด้วย พวกเราไม่ยอม!”  

 

 

“พวกเราไม่ยอม!”  

 

 

เหล่าขุนนางพบว่ามีคนมากยิ่งขึ้น ตนเองยังถูกเบียดอยู่ภายใน สีหน้าบนใบหน้าอดจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฝูงชนชั้นภายในเริ่มหดกายก้าวถอยหลัง องครักษ์ของทุกจวนได้ยินข่าวต่างก็กรูกันมายืนขวางเป็นแถวหนึ่งอยู่เบื้องหน้าเจ้านาย กลายเป็นการเผชิญหน้ากับฝูงราษฎรประหนึ่งกั้นด้วยเส้นแบ่งเขตแดน  

 

 

ยามนี้ฝูงชนมีสภาพการณ์แปลกประหลาด ภายในสุดคือจิ่งเหิงปัวและขุนนางชราไม่กี่คน จากนั้นคือขุนนางตระกูลผู้ดีที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง ถัดมาคือราษฎรที่กรูเข้ามาจากนอกตรอก ราษฎรกำลังฮึกเหิม ขุนนางกำลังนิ่งเงียบ จิ่งเหิงปัวกำลังครุ่นคิด  

 

 

ขณะนี้นางรู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่ง  

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่นางอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายบางอย่าง เผชิญหน้ากับขุนนางและราษฎรทั้งสองชนชั้น ซ้ำยังมองเห็นท่าทางแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวที่ขุนนางและราษฎรมีต่อตนเองในขณะเดียวกัน  

 

 

ดุจดั่งเดินเหินระหว่างขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ นางอยู่ตรงกลางที่ซึ่งสั่นสะท้าน  

 

 

สภาพการณ์แบบนี้เป็นเรื่องดีหรือเป็นเรื่องร้ายกันแน่? การสนับสนุนอย่างยิ่งของราษฎรกับการหลีกเลี่ยงขับไล่ของขุนนาง หากดุเดือดรุนแรงถึงระดับใดระดับหนึ่ง แล้วผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?  

 

 

นางหันหน้ามองดูสมุหพระกลาโหมชราแห่งเผ่าฝูสุ่ยด้วยสายตาสงสัย  

 

 

เหตุใดยังไม่ยืนยันความบริสุทธิ์อีก?  

 

 

หรือว่าจะมองดูเหตุการณ์ปะทะกันนองเลือดลุกลามเป็นวงกว้างจริงหรือ?  

 

 

…  

 

 

“ร้านวาดภาพเหมือนของฝ่าบาทเริ่มกิจการวันนี้ขอรับ” เหมิงหู่กำลังรายงานต่อกงอิ้น  

 

 

กงอิ้นอ่านสมุดพับอยู่หน้าโต๊ะ เพียงพยักหน้าลงแสดงว่ารับรู้ เจ้าหมาโง่ที่อยู่ข้างกายเขากำลังกินข้าวคั่ว ส่วนเฟยเฟยกำลังช่วยเขาพลิกสมุดพับอย่างกระตือรือร้น  

 

 

จิ่งเหิงปัวกระตือรือร้นได้ชั่วครู่ชั่วคราว มักรังเกียจว่าเจ้าหมาโง่เสียงดังเกินไป ซ้ำยังรังเกียจว่าเฟยเฟยชอบหลอกลวงเกินไป อีกทั้งรังเกียจว่าพอสองตัวอยู่รวมกันแล้วทะเลาะวิวาทจนมีขนสัตว์และขนนกติดอยู่บนร่างนางบ่อยครั้ง ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของนาง ฉะนั้นเวลาออกไปข้างนอกจะไม่ยอมพาพวกมันไปด้วยเลย ช่วงเวลานี้เจ้าสองตัวมักรู้สึกว่าเงียบเหงา แม้ทะเลาะวิวาทกันเสมอยังรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก ฉะนั้นจึงรวมกลุ่มกันแอบเข้ามาก่อกวนทางจิ้งถิงนี้ เจ้าหมาโง่ชื่นชอบข้าวคั่วของทางนี้ แต่เฟยเฟยชื่นชอบห้องหนังสือ ระเบียง แม้กระทั่งวังบรรทมของกงอิ้น…สถานที่ที่มีเขาอยู่ มันรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแผ่ซ่านไอหนาวที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกประหลาดทั้งผ่อนคลายแบบหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้มันอาลัยอาวรณ์ไม่ยอมจากไป แน่นอนว่าวังบรรทมของกงอิ้นจะไม่อนุญาตให้มันเข้าไป แต่เฟยเฟยเองก็ไม่สนใจ มันห้อยร่างนอนหลับอยู่บนประตูวังบรรทม เฝ้าประตูให้มหาเทพกงก็ได้เช่นกัน  

 

 

หากจิ่งเหิงปัวรู้เข้าคงต้องจิกนิ้วมือด่าทออยู่เนิ่นนาน…หากเปรียบเทียบกับกงอิ้นแล้ว นางอยากให้เฟยเฟยหลับตรงปากประตูของนาง แต่สัตว์ประหลาดน้อยตัวนี้ไม่ยอมนอนหลับตรงนั้นเลยสักครั้ง!  

 

 

กงอิ้นไร้ซึ่งการตอบสนองต่อการมาถึงของสองตัวนี้ ดั่งคล้ายไม่ได้มองเห็น พวกมันเอาใจเขาย่อมยอมรับ โบกพัดพลิกหน้าหนังสือดั่งอ้อยเข้าปากช้าง แม้ว่าโบกพัดขนนกร่วง เปิดหนังสือโชยกลิ่นสาบ เขาคล้ายกับไม่ได้มองเห็นไม่ได้กลิ่นอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

ไร้ซึ่งการตอบสนองย่อมเป็นการตอบสนองที่ดีที่สุด สองตัวรู้สถานการณ์ยิ่งนัก…อยู่กับกงอิ้นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยทะเลาะวิวาทกัน  

 

 

“ฝ่าบาทยั่วน้ำลายเหล่าขุนนางตรอกซีเกอได้มากล้น เช้าวันแรกก็มีคนเข้าแถวแล้ว ทว่าฝ่าบาทตรัสว่าวาดเพียงสามภาพ ข้าน้อยยังกังวลอยู่บ้างว่าเมื่อมีคนมากเหลือเกิน พอความต้องการไม่ได้รับการเติมเต็มจะเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมาขอรับ”  

 

 

กงอิ้นกระดิกนิ้วมือ เฟยเฟยเปิดไปเล่มหนึ่งโดยพลัน  

 

 

“มิใช่ว่านางหวังจะก่อเรื่องหรือ” เขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือย  

 

 

เหมิงหู่ได้ฟังแล้วไม่เข้าใจ ทว่าผู้เฉลียวฉลาดไม่ถามให้มากความ รายงานต่อไปว่า “ผู้มาวาดภาพเหมือนที่ฝ่าบาททรงเลือกคือ…”  

 

 

“เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยกับข้าแล้ว”  

 

 

เหมิงหู่หุบปาก กะพริบตาปริบๆ มองดูเจ้านายผู้มีความฉลาดเฉลียวลึกล้ำกว่าทะเลของตนเอง  

 

 

กงอิ้นหลุบตาลง ยามแรกหลังจากรู้การจัดเตรียมและกฎเกณฑ์ของนางก็เข้าใจว่าร้านวาดภาพเหมือนนี้ไม่ได้วางแผนจะค้าขายระยะยาว นางคงจะหวังอาศัยเรื่องนี้ส่งสัญญาณบางอย่าง  

 

 

เช่นนั้นก็ให้นางได้กระทำ  

 

 

ส่วนผลลัพธ์เป็นอย่างไรไม่สำคัญ  

 

 

หากยามแรกเริ่มก็กังวลความปลอดภัยของนาง มัดมือมัดเท้าของนางไว้ เช่นนั้นหงส์อ่อนแอย่อมบินขึ้นท้องฟ้าอีกครั้งมิได้เสียแล้ว  

 

 

พอถึงยามนั้นเมื่อฝูงสัตว์รายล้อม ผู้ใดจะปกป้องนาง?  

 

 

“คนมากมายเหลือเกิน” เหมิงหู่กังวล เอ่ยว่า “เหล่าเจ้าขุนมูลนายที่ยามปกติสูงส่งเหนือผู้อื่นพวกนั้นถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ ย่อมต้องโทษราชินีอีกครั้งขอรับ”  

 

 

“หากไม่ถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้แล้วพวกเขาจะชื่นชอบนางหรือ? ขอเพียงนางไม่ยอมเชื่อฟังอย่างว่านอนสอนง่าย กระทำอย่างไรพวกเขาล้วนไม่ชื่นชอบ เช่นนั้นยังไม่สู้กระทำสิ่งที่ตนเองอยากกระทำ” กงอิ้นเอ่ยว่า “เรื่องนี้นางมองเห็นได้ชัดเจนกว่าพวกเจ้า”  

 

 

“เกรงว่าพวกเขาคนมากยิ่งแข็งแกร่ง…องครักษ์ทุกจวนมากมายขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอวี่ชุนจะรับมือไหว…”  

 

 

“นางมีราษฎร” กงอิ้นบอกใบ้ให้เฟยเฟยพลิกหน้าหนังสืออย่างไม่สะทกสะท้าน เอ่ยว่า “หลังจากวันนี้ นางคงจะมองเห็นเจตนาร้ายของผู้อื่นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และมองเห็นได้ชัดเจนว่าที่พึ่งพิงแท้จริงของตนเองอยู่ฝั่งใด”  

 

 

เหมิงหู่ตระเตรียมถอยออกไป ในเมื่อเจ้านายรู้ทุกอย่าง เขาย่อมไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงให้มากมาย  

 

 

“ภาพเหมือนนั้นของข้า นางปลดลงมาหรือยัง” กงอิ้นถามโดยพลัน  

 

 

“ฝ่าบาทได้ให้…” เหมิงหู่กำลังจะเอ่ยตอบ พลันรู้สึกว่าข้างนอกคล้ายมีลมพัดผ่าน ในเวลาเดียวกันกงอิ้นพลันเบนศีรษะ  

 

 

เฟยเฟยหยุดกรงเล็บ ดวงตากลมโตกะพริบเชื่องช้า กระโจนออกไปอย่างแผ่วเบา  

 

 

เจ้าหมาโง่ยังยืนกินข้าวคั่วอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว  

 

 

“รู้แล้ว” ยามกงอิ้นหันหน้ากลับมาอีกครั้งสีหน้าก็เฉกเช่นปกติ เอ่ยขึ้นว่า “ออกไปเถิด เริ่มหนาวขึ้นมาแล้ว ปิดหน้าต่างแทนข้าด้วย”  

 

 

เหมิงหู่กะพริบตาอย่างเข้าใจชัดแจ้ง ปิดหน้าต่างลง  

 

 

แกรก  เสียงหนึ่งดังขึ้น กิ่งดอกไม้ข้างนอกสั่นไหวเล็กน้อย  

 

 

เฟยเฟยกระโจนกลับมาอย่างแผ่วเบา กะพริบตาให้กงอิ้นแล้วนั่งอยู่บนไม้วงกบประตู  

 

 

กงอิ้นก้มหน้าอ่านสมุดพับต่อไป สั่งว่า “จุดตะเกียง”  

 

 

นอกประตูมีคนขานรับเสียงหนึ่ง ชั่วครู่ องครักษ์นายหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ในมือมีตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่ง แสงตะเกียงเหลืองสลัวส่องสะท้อนใบหน้าของเขาจนเลือนรางมัวสลัว  

 

 

กงอิ้นไม่ได้เงยหน้าขึ้น ตั้งใจอ่านสมุดพับต่อไป ภายใต้แสงสว่างเหลืองอ่อน อาภรณ์ดุจหิมะผมดำขลับดุจแพรต่วน ขนตาแผ่ยาวดกดำดุจขนนก  

 

 

ฝีเท้าขององครักษ์เชื่องช้ายิ่งนัก ดั่งกำลังกลั้นหายใจ  

 

 

“มีไอควัน วางให้ไกลหน่อย” กงอิ้นสั่งตามอำเภอใจ ไม่ได้มองเขาแม้แต่ปราดเดียว  

 

 

องครักษ์ขานรับออกมาเสียงหนึ่ง วางตะเกียงไว้บนเสาแขวนตะเกียงที่อยู่ฝั่งหนึ่งแล้วย้ายเสาแขวนตะเกียงไปไกลหน่อยอย่างกระตือรือร้นยิ่งนัก หลังจากย้ายเสร็จแล้วก็ฉวยโอกาสยืนอยู่ข้างกายกงอิ้น คล้ายกำลังเก็บใบไม้แห้งใบหนึ่งบนพื้นซึ่งถูกลมพัดเข้ามาขึ้นอย่างยุ่งวุ่นวายยิ่งนัก  

 

 

ยามเขาเก็บใบไม้ แววตาทอดลงใต้โต๊ะ มองจากขาของกงอิ้นขึ้นไปสู่เอวขึ้นไปสู่ต้นคอ จากนั้นก็หยุดลงเล็กน้อยตรงเค้าโครงด้านข้างของเขาที่ถูกเส้นผมยาวบดบังไว้ครึ่งหนึ่งแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน  

 

 

“เจ้าบังแสงข้าแล้ว” กงอิ้นพลันเอ่ยว่า “ยืนห่างหน่อย”  

 

 

เขารีบเร่งขานรับเสียงหนึ่ง ขึ้นไปยืนข้างหน้าอยู่ชั่วครู่ คราวนี้ใกล้กงอิ้นยิ่งกว่าเดิม อยู่ทางด้านหลังข้างหนึ่งของเขา  

 

 

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 84 – 2 เชื่อในความรักอีกครั้ง

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 84 – 2 เชื่อในความรักอีกครั้ง

ความวุ่นวายเริ่มจากปากตรอกข้างหน้า ผู้คนพากันเบียดเสียดแน่นขนัดอยู่ทางนั้น คนครึ่งใหญ่มามุงดูเรื่องสนุกสนาน พลันมีคนกรีดร้องขึ้นว่า “งู! งู!” จากนั้นจึงมีคนกระโดดวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ฝูงชนวุ่นวายขึ้นมาในฉับพลัน  

 

 

พอภายนอกวุ่นวาย คนที่อยู่ภายในไม่รู้สถานการณ์แน่ชัดย่อมพลอยวุ่นวายตามไปด้วย ทันใดนั้นก็มีคนมุดเข้ามาข้างใน มีคนเบียดออกไปข้างนอก ศีรษะคนขยับเบียดกันดุจคลื่นทะเลอันมืดมิด คลื่นแต่ละระลอกกระเพื่อมจนตาแก่หลายคนที่กำลังจะออกไปจากใจกลางฝูงชนโซซัดโซเซ  

 

 

จิ่งเหิงปัวพบในทันทีว่าภายในคลื่นทะเลศีรษะมนุษย์นั้นมีคนกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งย้อนทวนขึ้นมา! ก่อนจะพุ่งตรงไปยังตาแก่สามคนที่อยู่ใจกลางฝูงชน!  

 

 

“ระวัง!”  

 

 

เสียงวาจายังไม่ทันสิ้น เงาร่างของนางก็หายไปจากที่เดิมแล้ว ยามกะพริบกายอีกครั้งก็ได้พุ่งเข้ามาข้างหน้าสมุหพระกลาโหมชราแห่งเผ่าฝูสุ่ย คว้ามือของเขาไว้แล้วลากเขาอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง  

 

 

ฉึก!  เสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา หยาดโลหิตกลุ่มหนึ่งสาดกระเซ็นดุจปะการังภายใต้แสงอาทิตย์  

 

 

“โอ๊ย! แม่งเอ้ย เจ็บโว้ย!” เสียงร้องเจ็บปวดที่ไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย มีแค่จิ่งเหิงปัวเท่านั้นที่ร้องออกมาได้  

 

 

ฝูงชนต่างเงียบงัน มองไปทางจิ่งเหิงปัวโดยพร้อมเพรียง ไม่รู้ว่าตั้งแต่ยามใดที่นางมาถึงใจกลางฝูงชนแล้ว ยืนอยู่หน้าเจ้าผู้ชราสองสามคนนั้น ยามนี้แขนกำลังสั่นเทิ้ม เสื้อผ้าบนแขนฉีกขาดหมดแล้ว ผุดเผยให้เห็นบาดแผลสีแดงเข้มผืนหนึ่ง  

 

 

สมุหพระกลาโหมชราแห่งเผ่าฝูสุ่ยที่อยู่ข้างกายนาง สีหน้าไม่ได้ย่ำแย่เช่นนาง เขากำลังขมวดคิ้วจ้องมองนางเล็กน้อย เสื้อช่วงหน้าอกของผู้ชราฉีกขาดเล็กน้อยด้วยเช่นกัน มีรอยโลหิตรอยหนึ่งซึมออกมารำไร ทว่าไม่ได้ไหลรินมากเท่าจิ่งเหิงปัวเลย  

 

 

ยามเกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน คนจำนวนมากไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนมากกว่านั้นเบียดเข้ามาหวังจะมองให้ชัดเจน จิ่งเหิงปัวกุมแขนไว้ เขย่งปลายเท้าขึ้นมาเหลียวมองรอบด้าน ก่อนจะมองเห็นว่าคล้ายมีคนเบียดออกไปอย่างรวดเร็ว นางอยากจะไล่ตามไปแต่ถูกฝูงชนเบียดไว้หลายชั้น อดจะทั้งเจ็บปวดทั้งวุ่นวายใจไม่ได้ จึงยื่นขาถีบอย่างต่อเนื่องแล้วร้องว่า “ถอยไป! ถอยไป! แม่งเอ๊ย พวกเจ้าเบียดกันขนาดนี้แล้วข้าจะหามือสังหารได้อย่างไร!”  

 

 

“เจ้าทำอะไร!” องครักษ์จากจวนสมุหพระกลาโหมที่ถูกเบียดเสียดไปอยู่ข้างหนึ่ง ไม่ได้มองเห็นสถานการณ์เมื่อครู่จนชัดเจน ยามนี้ต่างเบียดเข้ามา มองเห็นบาดแผลตรงเสื้อบริเวณหน้าอกของผู้ชราในปราดเดียวก็ตกอกตกใจในฉับพลัน หันกายคว้าจิ่งเหิงปัวเอาไว้แล้วร้องว่า “เจ้าพุ่งเข้ามาทำร้ายคนใช่หรือไม่! เป็นเจ้าใช่หรือไม่!”  

 

 

ลูกหลานตระกูลผู้ดีที่ไม่เข้าใจสถานการณ์บางส่วน ก่อนหน้านี้ไม่พอใจก็ยังไม่ยอมร่นถอย ยามนี้เห็นว่าเกิดสถานการณ์ร้ายแรงขึ้นแล้ว ต่างเร่งรีบเบียดเสียดเข้ามาภายใน ร้องว่า “ฆ่าคนแล้ว! เถ้าแก่เนี้ยร้านวาดภาพเหมือนฆ่าคนแล้ว!”  

 

 

“ถอยไป! อย่าเสียมารยาท!” อวี่ชุนกับเถี่ยซิงเจ๋อรีบเร่งแหวกฝูงชนมาถึงแล้วเช่นกัน  

 

 

คนที่ล้อมอยู่รอบนอกมากยิ่งขึ้นกลับเริ่มฮือฮาขึ้นมาว่า “ราชินี! ราชินี!”  

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักงัน  

 

 

พอหันหน้ากลับมาถึงได้พบว่าตอนที่ตนเองพุ่งเข้ามานั้น หมวกม่านได้ร่วงหล่นลงแล้ว  

 

 

ส่วนยามนี้ราษฎรที่รุมล้อมมองดูเรื่องสนุกสนานอยู่รอบนอกก็มีจำนวนมากยิ่งขึ้น ที่นี่อยู่ใกล้ตรอกหลิวหลี ราษฎรจำนวนมากเคยเห็นนางจากเหตุการณ์ตรอกหลิวหลีครั้งก่อน นางงดงามเพริศแพร้วโดยกำเนิด เป็นจุดดึงดูดฝูงชนเสมอ พอเงยหน้าขึ้นคนส่วนใหญ่ก็จำได้หมดแล้ว  

 

 

“ราชินี! ราชินี!” ราษฎรยิ่งพุ่งเข้ามามากยิ่งขึ้น กวัดแกว่งแขนอย่างตื่นเต้นดีใจ  

 

 

เหล่าขุนนางตระกูลผู้ดีที่ล้อมอยู่ภายในต่างชะงักงัน ทยอยหันนางมองนาง มีคนจำนางได้แล้ว ทว่าส่วนใหญ่ไร้ซึ่งสีหน้าตื่นเต้นยินดีเฉกเช่นราษฎร มีคนที่ขมวดคิ้ว มีคนที่ทำสีหน้าไร้ความสุข ผุดเผยเจตนาร้ายออกมารำไร ยิ่งไปกว่านั้นก็มีผู้แอบประชิดใกล้นางอย่างเงียบเชียบ  

 

 

อวี่ชุนกับเถี่ยซิงเจ๋อเห็นสภาพการณ์ผิดปกติ จึงยืนปกป้องข้างกายนางทั้งซ้ายทั้งขวา  

 

 

เหล่าราษฎรมีความรู้สึกว่องไว เมื่อพบเจอเจตนาร้ายแปลกประหลาดของเหล่าขุนนางเช่นกันก็โกรธแค้นมากยิ่งขึ้น คนกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามา เสียงร้องตะโกนโหวกเหวกดังก้องทั่วทั้งตรอกซีเกอ  

 

 

“ถอยไป! ถอยไป!”  

 

 

“พวกเจ้ามาเบียดเสียดอยู่เบื้องหน้าราชินีทำอะไรกัน!”  

 

 

“พวกเจ้าจะทำอะไรราชินี? มีพวกเราอยู่ด้วย พวกเราไม่ยอม!”  

 

 

“พวกเราไม่ยอม!”  

 

 

เหล่าขุนนางพบว่ามีคนมากยิ่งขึ้น ตนเองยังถูกเบียดอยู่ภายใน สีหน้าบนใบหน้าอดจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฝูงชนชั้นภายในเริ่มหดกายก้าวถอยหลัง องครักษ์ของทุกจวนได้ยินข่าวต่างก็กรูกันมายืนขวางเป็นแถวหนึ่งอยู่เบื้องหน้าเจ้านาย กลายเป็นการเผชิญหน้ากับฝูงราษฎรประหนึ่งกั้นด้วยเส้นแบ่งเขตแดน  

 

 

ยามนี้ฝูงชนมีสภาพการณ์แปลกประหลาด ภายในสุดคือจิ่งเหิงปัวและขุนนางชราไม่กี่คน จากนั้นคือขุนนางตระกูลผู้ดีที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง ถัดมาคือราษฎรที่กรูเข้ามาจากนอกตรอก ราษฎรกำลังฮึกเหิม ขุนนางกำลังนิ่งเงียบ จิ่งเหิงปัวกำลังครุ่นคิด  

 

 

ขณะนี้นางรู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่ง  

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่นางอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายบางอย่าง เผชิญหน้ากับขุนนางและราษฎรทั้งสองชนชั้น ซ้ำยังมองเห็นท่าทางแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวที่ขุนนางและราษฎรมีต่อตนเองในขณะเดียวกัน  

 

 

ดุจดั่งเดินเหินระหว่างขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ นางอยู่ตรงกลางที่ซึ่งสั่นสะท้าน  

 

 

สภาพการณ์แบบนี้เป็นเรื่องดีหรือเป็นเรื่องร้ายกันแน่? การสนับสนุนอย่างยิ่งของราษฎรกับการหลีกเลี่ยงขับไล่ของขุนนาง หากดุเดือดรุนแรงถึงระดับใดระดับหนึ่ง แล้วผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?  

 

 

นางหันหน้ามองดูสมุหพระกลาโหมชราแห่งเผ่าฝูสุ่ยด้วยสายตาสงสัย  

 

 

เหตุใดยังไม่ยืนยันความบริสุทธิ์อีก?  

 

 

หรือว่าจะมองดูเหตุการณ์ปะทะกันนองเลือดลุกลามเป็นวงกว้างจริงหรือ?  

 

 

…  

 

 

“ร้านวาดภาพเหมือนของฝ่าบาทเริ่มกิจการวันนี้ขอรับ” เหมิงหู่กำลังรายงานต่อกงอิ้น  

 

 

กงอิ้นอ่านสมุดพับอยู่หน้าโต๊ะ เพียงพยักหน้าลงแสดงว่ารับรู้ เจ้าหมาโง่ที่อยู่ข้างกายเขากำลังกินข้าวคั่ว ส่วนเฟยเฟยกำลังช่วยเขาพลิกสมุดพับอย่างกระตือรือร้น  

 

 

จิ่งเหิงปัวกระตือรือร้นได้ชั่วครู่ชั่วคราว มักรังเกียจว่าเจ้าหมาโง่เสียงดังเกินไป ซ้ำยังรังเกียจว่าเฟยเฟยชอบหลอกลวงเกินไป อีกทั้งรังเกียจว่าพอสองตัวอยู่รวมกันแล้วทะเลาะวิวาทจนมีขนสัตว์และขนนกติดอยู่บนร่างนางบ่อยครั้ง ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของนาง ฉะนั้นเวลาออกไปข้างนอกจะไม่ยอมพาพวกมันไปด้วยเลย ช่วงเวลานี้เจ้าสองตัวมักรู้สึกว่าเงียบเหงา แม้ทะเลาะวิวาทกันเสมอยังรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก ฉะนั้นจึงรวมกลุ่มกันแอบเข้ามาก่อกวนทางจิ้งถิงนี้ เจ้าหมาโง่ชื่นชอบข้าวคั่วของทางนี้ แต่เฟยเฟยชื่นชอบห้องหนังสือ ระเบียง แม้กระทั่งวังบรรทมของกงอิ้น…สถานที่ที่มีเขาอยู่ มันรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแผ่ซ่านไอหนาวที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกประหลาดทั้งผ่อนคลายแบบหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้มันอาลัยอาวรณ์ไม่ยอมจากไป แน่นอนว่าวังบรรทมของกงอิ้นจะไม่อนุญาตให้มันเข้าไป แต่เฟยเฟยเองก็ไม่สนใจ มันห้อยร่างนอนหลับอยู่บนประตูวังบรรทม เฝ้าประตูให้มหาเทพกงก็ได้เช่นกัน  

 

 

หากจิ่งเหิงปัวรู้เข้าคงต้องจิกนิ้วมือด่าทออยู่เนิ่นนาน…หากเปรียบเทียบกับกงอิ้นแล้ว นางอยากให้เฟยเฟยหลับตรงปากประตูของนาง แต่สัตว์ประหลาดน้อยตัวนี้ไม่ยอมนอนหลับตรงนั้นเลยสักครั้ง!  

 

 

กงอิ้นไร้ซึ่งการตอบสนองต่อการมาถึงของสองตัวนี้ ดั่งคล้ายไม่ได้มองเห็น พวกมันเอาใจเขาย่อมยอมรับ โบกพัดพลิกหน้าหนังสือดั่งอ้อยเข้าปากช้าง แม้ว่าโบกพัดขนนกร่วง เปิดหนังสือโชยกลิ่นสาบ เขาคล้ายกับไม่ได้มองเห็นไม่ได้กลิ่นอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

ไร้ซึ่งการตอบสนองย่อมเป็นการตอบสนองที่ดีที่สุด สองตัวรู้สถานการณ์ยิ่งนัก…อยู่กับกงอิ้นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยทะเลาะวิวาทกัน  

 

 

“ฝ่าบาทยั่วน้ำลายเหล่าขุนนางตรอกซีเกอได้มากล้น เช้าวันแรกก็มีคนเข้าแถวแล้ว ทว่าฝ่าบาทตรัสว่าวาดเพียงสามภาพ ข้าน้อยยังกังวลอยู่บ้างว่าเมื่อมีคนมากเหลือเกิน พอความต้องการไม่ได้รับการเติมเต็มจะเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมาขอรับ”  

 

 

กงอิ้นกระดิกนิ้วมือ เฟยเฟยเปิดไปเล่มหนึ่งโดยพลัน  

 

 

“มิใช่ว่านางหวังจะก่อเรื่องหรือ” เขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือย  

 

 

เหมิงหู่ได้ฟังแล้วไม่เข้าใจ ทว่าผู้เฉลียวฉลาดไม่ถามให้มากความ รายงานต่อไปว่า “ผู้มาวาดภาพเหมือนที่ฝ่าบาททรงเลือกคือ…”  

 

 

“เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยกับข้าแล้ว”  

 

 

เหมิงหู่หุบปาก กะพริบตาปริบๆ มองดูเจ้านายผู้มีความฉลาดเฉลียวลึกล้ำกว่าทะเลของตนเอง  

 

 

กงอิ้นหลุบตาลง ยามแรกหลังจากรู้การจัดเตรียมและกฎเกณฑ์ของนางก็เข้าใจว่าร้านวาดภาพเหมือนนี้ไม่ได้วางแผนจะค้าขายระยะยาว นางคงจะหวังอาศัยเรื่องนี้ส่งสัญญาณบางอย่าง  

 

 

เช่นนั้นก็ให้นางได้กระทำ  

 

 

ส่วนผลลัพธ์เป็นอย่างไรไม่สำคัญ  

 

 

หากยามแรกเริ่มก็กังวลความปลอดภัยของนาง มัดมือมัดเท้าของนางไว้ เช่นนั้นหงส์อ่อนแอย่อมบินขึ้นท้องฟ้าอีกครั้งมิได้เสียแล้ว  

 

 

พอถึงยามนั้นเมื่อฝูงสัตว์รายล้อม ผู้ใดจะปกป้องนาง?  

 

 

“คนมากมายเหลือเกิน” เหมิงหู่กังวล เอ่ยว่า “เหล่าเจ้าขุนมูลนายที่ยามปกติสูงส่งเหนือผู้อื่นพวกนั้นถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ ย่อมต้องโทษราชินีอีกครั้งขอรับ”  

 

 

“หากไม่ถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้แล้วพวกเขาจะชื่นชอบนางหรือ? ขอเพียงนางไม่ยอมเชื่อฟังอย่างว่านอนสอนง่าย กระทำอย่างไรพวกเขาล้วนไม่ชื่นชอบ เช่นนั้นยังไม่สู้กระทำสิ่งที่ตนเองอยากกระทำ” กงอิ้นเอ่ยว่า “เรื่องนี้นางมองเห็นได้ชัดเจนกว่าพวกเจ้า”  

 

 

“เกรงว่าพวกเขาคนมากยิ่งแข็งแกร่ง…องครักษ์ทุกจวนมากมายขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอวี่ชุนจะรับมือไหว…”  

 

 

“นางมีราษฎร” กงอิ้นบอกใบ้ให้เฟยเฟยพลิกหน้าหนังสืออย่างไม่สะทกสะท้าน เอ่ยว่า “หลังจากวันนี้ นางคงจะมองเห็นเจตนาร้ายของผู้อื่นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และมองเห็นได้ชัดเจนว่าที่พึ่งพิงแท้จริงของตนเองอยู่ฝั่งใด”  

 

 

เหมิงหู่ตระเตรียมถอยออกไป ในเมื่อเจ้านายรู้ทุกอย่าง เขาย่อมไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงให้มากมาย  

 

 

“ภาพเหมือนนั้นของข้า นางปลดลงมาหรือยัง” กงอิ้นถามโดยพลัน  

 

 

“ฝ่าบาทได้ให้…” เหมิงหู่กำลังจะเอ่ยตอบ พลันรู้สึกว่าข้างนอกคล้ายมีลมพัดผ่าน ในเวลาเดียวกันกงอิ้นพลันเบนศีรษะ  

 

 

เฟยเฟยหยุดกรงเล็บ ดวงตากลมโตกะพริบเชื่องช้า กระโจนออกไปอย่างแผ่วเบา  

 

 

เจ้าหมาโง่ยังยืนกินข้าวคั่วอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว  

 

 

“รู้แล้ว” ยามกงอิ้นหันหน้ากลับมาอีกครั้งสีหน้าก็เฉกเช่นปกติ เอ่ยขึ้นว่า “ออกไปเถิด เริ่มหนาวขึ้นมาแล้ว ปิดหน้าต่างแทนข้าด้วย”  

 

 

เหมิงหู่กะพริบตาอย่างเข้าใจชัดแจ้ง ปิดหน้าต่างลง  

 

 

แกรก  เสียงหนึ่งดังขึ้น กิ่งดอกไม้ข้างนอกสั่นไหวเล็กน้อย  

 

 

เฟยเฟยกระโจนกลับมาอย่างแผ่วเบา กะพริบตาให้กงอิ้นแล้วนั่งอยู่บนไม้วงกบประตู  

 

 

กงอิ้นก้มหน้าอ่านสมุดพับต่อไป สั่งว่า “จุดตะเกียง”  

 

 

นอกประตูมีคนขานรับเสียงหนึ่ง ชั่วครู่ องครักษ์นายหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ในมือมีตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่ง แสงตะเกียงเหลืองสลัวส่องสะท้อนใบหน้าของเขาจนเลือนรางมัวสลัว  

 

 

กงอิ้นไม่ได้เงยหน้าขึ้น ตั้งใจอ่านสมุดพับต่อไป ภายใต้แสงสว่างเหลืองอ่อน อาภรณ์ดุจหิมะผมดำขลับดุจแพรต่วน ขนตาแผ่ยาวดกดำดุจขนนก  

 

 

ฝีเท้าขององครักษ์เชื่องช้ายิ่งนัก ดั่งกำลังกลั้นหายใจ  

 

 

“มีไอควัน วางให้ไกลหน่อย” กงอิ้นสั่งตามอำเภอใจ ไม่ได้มองเขาแม้แต่ปราดเดียว  

 

 

องครักษ์ขานรับออกมาเสียงหนึ่ง วางตะเกียงไว้บนเสาแขวนตะเกียงที่อยู่ฝั่งหนึ่งแล้วย้ายเสาแขวนตะเกียงไปไกลหน่อยอย่างกระตือรือร้นยิ่งนัก หลังจากย้ายเสร็จแล้วก็ฉวยโอกาสยืนอยู่ข้างกายกงอิ้น คล้ายกำลังเก็บใบไม้แห้งใบหนึ่งบนพื้นซึ่งถูกลมพัดเข้ามาขึ้นอย่างยุ่งวุ่นวายยิ่งนัก  

 

 

ยามเขาเก็บใบไม้ แววตาทอดลงใต้โต๊ะ มองจากขาของกงอิ้นขึ้นไปสู่เอวขึ้นไปสู่ต้นคอ จากนั้นก็หยุดลงเล็กน้อยตรงเค้าโครงด้านข้างของเขาที่ถูกเส้นผมยาวบดบังไว้ครึ่งหนึ่งแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน  

 

 

“เจ้าบังแสงข้าแล้ว” กงอิ้นพลันเอ่ยว่า “ยืนห่างหน่อย”  

 

 

เขารีบเร่งขานรับเสียงหนึ่ง ขึ้นไปยืนข้างหน้าอยู่ชั่วครู่ คราวนี้ใกล้กงอิ้นยิ่งกว่าเดิม อยู่ทางด้านหลังข้างหนึ่งของเขา  

 

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset