เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 80 – 3 บอกให้โลกรู้ว่าข้ารักเจ้า

 

 

 

นางตอบอย่างฉะฉาน สีหน้าของกงอิ้นก็ดูเหมือนจะพอใจเช่นกัน…อืม ในที่สุดก็ทำให้นางสำรวมจิตใจ เรียนรู้งานเย็บปักถักร้อยได้แล้ว อืม เสื้อคลุมยาวชุดแรกที่นางทำน่าจะอัปลักษณ์ยิ่งนัก แต่ว่ายังคงต้องสวม เช่นนั้นยามกลางคืนสวมสักหน่อยก็ย่อมได้…  

 

 

สองคนต่างคิดคำนวณเรียบร้อย ก่อนจะรีบปรับเปลี่ยนสีหน้า  

 

 

“เรื่องนี้ติดค้างไว้ก่อน เอาอีกๆ” จิ่งเหิงปัวหมุนช้อนอย่างกระตือรือร้น  

 

 

บุรุษสองคนต่างเบิกตามองนาง สุราน้ำแข็งหลงซานก็เข้มข้นนัก คนธรรมดาดื่มครึ่งกาแหงนชมฟ้า ยามนี้สองคนต่างมึนเมาเล็กน้อยแล้ว เหตุใดสตรีนางนี้ยังกระปรี้กระเปร่าอยู่ นอกจากใบหน้าที่ขึ้นสีแดงเล็กน้อยแล้ว ก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง?  

 

 

ดื่มสุราพันถ้วยไม่เมามายที่แท้จริงหรือ?  

 

 

กงอิ้นเริ่มรู้สึกเสียใจที่เสนอให้ดื่มสุราแล้ว…  

 

 

“ไม่สิ” จิ่งเหิงปัวพลันตบศีรษะครั้งหนึ่ง กล่าวพรวดพราดว่า “ข้าเกือบลืมไปเลย เมื่อครู่ข้าเอ่ยว่าขอเพียงข้ารับคำท้าแล้ว ข้าจะขอให้พวกเจ้าต่างคนต่างทำเรื่องหนึ่งได้”  

 

 

ไม่ทันรอให้คนทั้งสองเห็นด้วย นางก็ชี้ไปยังเถี่ยซิงเจ๋ออย่างเปี่ยมด้วยพลัง กล่าวว่า “ข้าขอให้เจ้าหลบหลีกไปโดยพลัน!”  

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะฮ่าๆ เร่งรีบยกกาสุราขึ้นดื่มจนหมดในอึกเดียว ฉวยมือยึดสุราที่เตรียมไว้ด้านข้างเข้าไปในอ้อมแขนแล้วจึงลุกยืนขึ้น เอ่ยว่า “กระหม่อมรับราชโองการ!” แล้วหันกายเดินจากไป ด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ยิ่งนัก  

 

 

กงอิ้นเงยหน้าขึ้นกึ่งหนึ่ง มองดูเถี่ยซิงเจ๋อแล้วมองดูจิ่งเหิงปัวอีกครั้ง สายตาสลับซับซ้อนพอควร ไม่รู้ว่าเฝ้ารอคอยหรือกังวล  

 

 

เหล่าองครักษ์ที่อยู่ข้างหนึ่งก็เกร็งไหล่โดยพร้อมเพรียง ชำเลืองมองมาทางนี้อย่างเฝ้ารอคอยซ้ำยังตึงเครียด…ผู้ใดจะรู้ว่าราชินีที่มักจะกระทำสิ่งใดอย่างไร้เหตุผลจะทำสิ่งใดต่อไป? ยิ่งไม่รู้ว่าราชินีที่ดื่มสุราเข้าไปแล้วจะกระทำถึงระดับใด นางคงไม่กระทำ…เรื่องนั้นต่อหน้าต่อตาตอนกลางวันแสกๆ…กระมัง?  

 

 

“ซิงเจ๋อ” กงอิ้นพลันเอ่ยว่า “เรื่องนั้น ฝากด้วยนะ”  

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหันกายกลับมา ยิ้มแย้มแล้วโค้งคำนับ เอ่ยว่า “ไม่กล้ารับวาจาไหว้วานจากราชครู”  

 

 

กงอิ้นจ้องมองเขา เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “เจ้าอยู่ตี้เกอมานาน คุ้นเคยกับถนนหนทางสิ่งปลูกสร้างในตี้เกอ ราชินีประทับว่างอยู่ในวัง บางครั้งย่อมอยากเสด็จออกไปเปิดพระเนตรเปิดพระกรรณ เจ้าก็รู้ว่าข้ายุ่งยิ่งนัก หากเจ้ามีเวลาว่าง ตามเสด็จฝ่าบาทให้มากเถิด”  

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน…อะไรนะ? นี่นางหูเพี้ยนไปแล้วเหรอ?  

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อคล้ายชะงักงันไปเช่นกัน คิดไม่ถึงว่ากงอิ้นจะเอ่ยวาจาออกมาเช่นนี้ ทว่าไม่มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจอะไร ซ้ำยังขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยว่า “ฝ่าบาทเสด็จออกนอกวัง ความปลอดภัยสำคัญเพียงใด…”  

 

 

“ฉะนั้น” กงอิ้นขัดจังหวะวาจาของเขา เอ่ยว่า “หากพระนางเสด็จออกจากวัง ความปลอดภัยของพระนางคงต้องฝากเจ้าด้วยนะ!”  

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะเฝื่อนๆ เสียงหนึ่ง ลูบจมูก แล้วได้แต่โค้งคำนับอีกครั้ง เอ่ยว่า “ขอรับ”  

 

 

กงอิ้นมองเขาอีกปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้าเมาสุราเสียแล้ว สุรานี้ฤทธิ์เดชมากนัก เช่นนั้นคืนนี้เจ้าพักอยู่กับข้าที่นี่แล้วกัน”  

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อไม่บ่ายเบี่ยงเช่นกัน เขย่ากาสุราแล้วเอ่ยว่า “ย่อมได้ ข้าก็เริ่มรู้สึกว่าเดินไม่ไหวจริงๆ แล้ว…”  

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเงาด้านหลังของเขาที่จากไปแล้ว ดวงตาแข็งทื่อ กระซิบกระซาบว่า “วันนี้คนช่างหึงเปลี่ยนไปแฮะ…?”  

 

 

ข้างหลังมีเสียงถ้วยสุราวางลงดัง  กึก  เสียงหนึ่ง เสียงที่ฟังไม่ออกว่ากำลังดีใจหรือว่าโกรธเคืองของกงอิ้นเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงดื่มจนหมดสนุกแล้วหรือ? เช่นนั้นโปรดอภัยด้วยว่ากระหม่อมยังมีกิจธุระ ไม่อาจตามเสด็จได้แล้ว”  

 

 

“อ๊ะ อย่านะ! เจ้ายังติดค้างรับคำท้าข้าครั้งหนึ่ง!” พอจิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมามองก็เห็นเขาลุกขึ้นเตรียมจะจากไปของจริง เช่นนั้นจึงเร่งรีบกระโจนเข้าไป พุ่งไปบนแผ่นหลังของเขา แล้วกล่าวว่า “ข้าให้เจ้าแบกข้าเดินรอบจิ้งถิงหนึ่งรอบ!”  

 

 

ทั่วร่างของกงอิ้นแข็งทื่อ  

 

 

นางพุ่งขึ้นมาโดยไม่คาดคิดปานนั้น  

 

 

แทบจะในพริบตา เขารู้สึกถึงความอบอุ่นและความอ่อนนุ่มบนแผ่นหลัง รู้สึกถึงความปราดเปรียวและทะลักล้นของเรือนร่างของนาง รู้สึกถึงลมหายใจของนางที่เจือด้วยกลิ่นเหล้าหวานชื่นและกลิ่นหอมทรงเสน่ห์โดยกำเนิดของสตรี สะบัดผ่านหลังลำคอ ข้ามผ่านจอนผมข้างหู พลันก่อกวนฟ้าดินแดนมนุษย์แห่งนี้  

 

 

เรือนร่างของเขาโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ไม่กล้าขยับเขยื้อนอีกแล้ว  

 

 

พริบตาที่จิ่งเหิงปัวพุ่งเข้าไปนั้น องครักษ์ทั่วทั้งจิ้งถิงต่างกุมอาวุธโดยพลัน ทว่าครู่ต่อมาก็เร่งรีบคลายมือออก อยากจะหันหลังแต่ก็ไม่กล้าหันหลัง อยากจะขยับแต่ก็ไม่กล้าขยับ เมื่อมองเห็นท่าทางแปลกประหลาดนั้นของราชครูแล้ว อยากจะหัวเราะแต่ก็ยิ่งไม่กล้าหัวเราะ  

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีคนมองเห็นมากมายเพียงใด นางหรี่ดวงตาสองข้างลง สองมือโอบล้อมลำคอของเขาไว้ ใช้เสียงนาสิกพึมพำขึ้นว่า “เร็วหน่อย…เร็วหน่อย..หากยังไม่ไปอีก ข้าจะให้เจ้าแบกข้าเดินรอบตำหนักอวี้จ้าวรอบหนึ่ง…หรือไม่ก็แบกข้าเดินรอบตี้เกอรอบหนึ่ง…ให้เจ้าเหนื่อยตายไปเลย…”  

 

 

กงอิ้นแข็งทื่อไปชั่วครู่ ค่อยๆ ยืดร่างกายตนเองให้ตั้งตรง สองมือยื่นไปข้างหลังก่อนค่อยๆ จับข้อพับเข่าของนางไว้ จิ่งเหิงปัวใช้ใบหน้าพิงอยู่บนหลังของเขาอย่างสบายใจในทันที  

 

 

เขาสบกับสายตาที่เจือด้วยความกังวลของเหมิงหู่ ก่อนจะส่ายหน้าแผ่วเบา เหมิงหู่ทำสัญญาณมือเพียงครั้ง องครักษ์ของจิ้งถิงก็กระจัดกระจายหายไปโดยพลัน  

 

 

กงอิ้นแบกจิ่งเหิงปัวไว้อย่างไม่สะทกสะท้าน เดินเลียบเส้นทางน้อยที่ปูหินกรวดไปตลอดทาง จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกๆ อยู่บนหลังของเขา ร้องว่า “ก๊ากๆๆ ยามนั้นในป่าเจ้าบังคับให้ข้าแบกเจ้า ยามนี้สายลมสายน้ำผลัดพัดผลัดไหลในสามสิบปี ความแค้นครั้งนี้ของข้าได้ชำระแล้ว!”  

 

 

กงอิ้นหันข้างมองนางปราดหนึ่ง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย…ที่เอ่ยกันว่าเพียงมองตาก็เข้าใจเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่? สิ่งที่เขากำลังคิดถึงในยามนี้ก็คือภาพฉากยามที่นางแบกเขาในป่าลึกเช่นกัน  

 

 

แม้ยามนั้นถูกแบกไม่ได้สบายกาย ซ้ำยังต้องใช้ปราณแท้ประคับประคองนาง ทว่าถึงบัดนี้ย่อมควรจะกระทำคืนให้นางแล้ว  

 

 

พอศีรษะหันไป เฉียดผ่านเพียงครั้ง นางก็ก้มหน้าลงมาหวังเอ่ยวาจาพอดี พริบตานั้นสองริมฝีปากก็เฉียดผ่านกันปานฟ้าแลบ  

 

 

เขาถูกความอ่อนนุ่มที่แผ่ซ่านไอหนาวนั้นทำให้ตกใจจนสั่นสะท้าน ฝีเท้าหยุดลง  

 

 

ทว่านางไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย หัวเราะคิกๆ แผ่วเบาไม่หยุดหย่อน กลิ่นเหล้าเจือจางระหว่างลมหายใจและกลิ่นหอมลึกลับผสมผสานกลายเป็นกลิ่นอายน่าแปลกประหลาดอีกแบบหนึ่ง ทั้งลึกลับและเวียนวน ดั่งจะปลุกความปรารถนาที่ซุกซ่อนไว้ในเบื้องลึกจิตใจของทุกผู้คนให้ตื่นฟื้น  

 

 

คราวนี้เขาถึงเข้าใจในฉับพลันว่าแท้จริงแล้วนางยังคงมึนเมาอยู่บ้าง ด้วยเพราะยามก่อนหน้านี้ที่แอบดื่มเร็วเกินไป  

 

 

“อืมๆ กงอิ้น…บนกายเจ้าหอมจังเลย…” นางพึมพำ ริมฝีปากเฉียดผ่านลำคอของเขาโดยไม่ตั้งใจไม่หยุด พึมพำต่อไปว่า “ว่าแต่หนาวจังเลย…”  

 

 

เขาหยุดลงชั่วครู่ หันข้างเล็กน้อยเพื่อหลบหลีกริมฝีปากของนาง มิใช่ไม่อาลัยอาวรณ์กลิ่นหอมของนาง ทว่ากลัวตนเองต้านทานความยั่วเย้าเช่นนี้ไม่ไหว  

 

 

หากจงใจยั่วยวนยังพอต้านทานได้ แต่ไม่จงใจยั่วเย้านับว่าร้ายกาจเป็นที่สุด  

 

 

ยามที่เขาหยุดลง รอบกายก็เกิดหมอกควันเบาบาง ไอเหน็บหนาวหลายสายสลายไปโดยพลัน อุณหภูมิในร่างกายกลับคืนมาในทันที  

 

 

สิ่งนี้ทำให้สีหน้าเขาซีดขาวเล็กน้อย  

 

 

ความรู้สึกของนางคล้ายไม่ได้ลดน้อยลง รู้สึกถึงความอบอุ่นของเขาอย่างรวดเร็วยิ่ง ถูไถอย่างสบายกายไปพลาง กระซิบกระซาบไปพลางว่า “เจ้าเคลื่อนวรยุทธ์แล้วใช่หรือไม่? ไม่ต้องหรอก…เคยชินก็พอแล้ว ข้าเอ่ยว่าข้าจะมอบความอบอุ่นให้เจ้าเอง…ให้ข้ามอบความอบอุ่นแก่เจ้าก็พอแล้ว…”  

 

 

มุมปากเขากระหวัดเล็กน้อย  

 

 

ผู้ใดกันที่เอ่ยว่านางเจ้าชู้ปล่อยตน ยั่วเย้าโลกมนุษย์?  

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มองเห็นเพียงความละเอียดอ่อนและความเฉียบแหลมของนาง ดั่งคันฉ่องที่สาดแสงจำแนกผู้คนได้บานหนึ่ง ส่องสะท้อนหมื่นรูปลักษณ์ สาดส่องช่องว่างที่เงามืดกลบกลืนทุกชุ่นให้สว่างไสว  

 

 

ฝีก้าวเชื่องช้าเนิบนาบ เลียบตามเส้นทางหินกรวดสายน้อยของจิ้งถิง  

 

 

ผ่านหอหลานเซิ่ง ศาลาเฟยหลาน หอชุ่ยหวา ทะเลสาบเหยี่ยชุน…ยามนี้จิ้งถิงไร้สรรพเสียง เพียงประทับรอยเท้าของเขาไว้  

 

 

จิ่งเหิงปัวซบอยู่บนไหล่ของเขา รู้สึกว่าจิ้งถิงที่มองข้ามจากไหล่ของเขาในขณะนี้งดงามเป็นที่สุด นางประหลาดใจว่าแต่ก่อนทำไมตนเองถึงไม่ได้รู้สึกว่าจิ้งถิงงดงามปานนี้ ต้นไม้เขียวขจีใบไม้แดง ทะเลสาบสีเขียวครามสะพานสีขาว กำแพงขาวกระเบื้องคราม ราวระเบียงโค้งแดง สีสันแพรวพราวของทุกสิ่งเยือกแข็งท่ามกลางทิวทัศน์ท้องนภาสูงสีฟ้าสดใส กลายเป็นแผนภาพรุ่งเรืองของพระราชวังภาพหนึ่ง  

 

 

“ทางนั้นๆ!” นางพลันตื่นเต้นดีใจขึ้นมา เตะเท้าอยู่บนหลังของเขา  

 

 

ข้างหน้าคือทะเลสาบเหยี่ยชุน บนทะเลสาบมีสะพานโค้งเก้าช่อง รัศมีโค้งทะยานขึ้นไปเป็นผืนเดียว สะท้อนประสานดุจดวงจันทร์เก้าดวง  

 

 

ในเมื่อกงอิ้นแบกนางแล้ว ย่อมไม่หวังขัดขืนความนัยของนาง เขาก้าวขึ้นไปบนสะพานอย่างเชื่องช้า จิ่งเหิงปัวมองดูฝีเท้าที่ขึ้นสูงทีละก้าว คล้ายจะเดินไปยังกลางท้องฟ้าผืนหนึ่งข้างหน้านั้น ในอกพลันมีความกล้าหาญเพิ่มสูงขึ้น  

 

 

การรับคำท้าที่นางอยากได้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์!  

 

 

ชั่วชีวิตนี้ไอ้จอมซุ่มเงียบแบบกงอิ้นนั้นคงไม่กล้ารับคำท้าของนางแน่!  

 

 

แต่โอกาสแบบนี้จะมีได้สักกี่ครั้ง ในเมื่อนางอยากทำก็ต้องทำ อยากพูดก็ต้องกล้าพูด!  

 

 

กงอิ้นพลันหยุดลง ยามนี้ ทั้งสองคนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสะพาน  

 

 

สายลมรุนแรงในที่แห่งนี้พัดผมยาวของคนที้งสองจนยุ่งเหยิงเกี่ยวพันอยู่ด้วยกัน  

 

 

จิ่งเหิงปัวสะบัดผมยาวที่ถูกลมพัดขึ้นมาปรกใบหน้านางของกงอิ้นออกไป กางแขนสองข้างออก  

 

 

“ระวัง!” กงอิ้นพิงอยู่ข้างสะพาน คิดไม่ถึงว่านางจะพลันกางแขนออก เช่นนั้นจึงรีบเร่งเข้าไปประคอง  

 

 

“กงอิ้น! ข้าชอบเจ้า!”  

 

 

จิ่งเหิงปัวตะโกนลั่นออกมา เสียงนั้นแว่วไปทั่วทั้งจิ้งถิงในพริบตา  

 

 

พริบตาต่อมานั้นจิ้งถิงไร้ซึ่งสรรพเสียงโดยสิ้นเชิง  

 

 

สายลมดูคล้ายหยุดนิ่ง สายน้ำดูคล้ายเงียบสงบ คนยังคงยืนอยู่ที่เดิม เงยหน้ามองกันอย่างตะลึงงัน   

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 80 – 3 บอกให้โลกรู้ว่าข้ารักเจ้า

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี – ตอนที่ 80 – 3 บอกให้โลกรู้ว่าข้ารักเจ้า

 

 

 

นางตอบอย่างฉะฉาน สีหน้าของกงอิ้นก็ดูเหมือนจะพอใจเช่นกัน…อืม ในที่สุดก็ทำให้นางสำรวมจิตใจ เรียนรู้งานเย็บปักถักร้อยได้แล้ว อืม เสื้อคลุมยาวชุดแรกที่นางทำน่าจะอัปลักษณ์ยิ่งนัก แต่ว่ายังคงต้องสวม เช่นนั้นยามกลางคืนสวมสักหน่อยก็ย่อมได้…  

 

 

สองคนต่างคิดคำนวณเรียบร้อย ก่อนจะรีบปรับเปลี่ยนสีหน้า  

 

 

“เรื่องนี้ติดค้างไว้ก่อน เอาอีกๆ” จิ่งเหิงปัวหมุนช้อนอย่างกระตือรือร้น  

 

 

บุรุษสองคนต่างเบิกตามองนาง สุราน้ำแข็งหลงซานก็เข้มข้นนัก คนธรรมดาดื่มครึ่งกาแหงนชมฟ้า ยามนี้สองคนต่างมึนเมาเล็กน้อยแล้ว เหตุใดสตรีนางนี้ยังกระปรี้กระเปร่าอยู่ นอกจากใบหน้าที่ขึ้นสีแดงเล็กน้อยแล้ว ก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง?  

 

 

ดื่มสุราพันถ้วยไม่เมามายที่แท้จริงหรือ?  

 

 

กงอิ้นเริ่มรู้สึกเสียใจที่เสนอให้ดื่มสุราแล้ว…  

 

 

“ไม่สิ” จิ่งเหิงปัวพลันตบศีรษะครั้งหนึ่ง กล่าวพรวดพราดว่า “ข้าเกือบลืมไปเลย เมื่อครู่ข้าเอ่ยว่าขอเพียงข้ารับคำท้าแล้ว ข้าจะขอให้พวกเจ้าต่างคนต่างทำเรื่องหนึ่งได้”  

 

 

ไม่ทันรอให้คนทั้งสองเห็นด้วย นางก็ชี้ไปยังเถี่ยซิงเจ๋ออย่างเปี่ยมด้วยพลัง กล่าวว่า “ข้าขอให้เจ้าหลบหลีกไปโดยพลัน!”  

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะฮ่าๆ เร่งรีบยกกาสุราขึ้นดื่มจนหมดในอึกเดียว ฉวยมือยึดสุราที่เตรียมไว้ด้านข้างเข้าไปในอ้อมแขนแล้วจึงลุกยืนขึ้น เอ่ยว่า “กระหม่อมรับราชโองการ!” แล้วหันกายเดินจากไป ด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ยิ่งนัก  

 

 

กงอิ้นเงยหน้าขึ้นกึ่งหนึ่ง มองดูเถี่ยซิงเจ๋อแล้วมองดูจิ่งเหิงปัวอีกครั้ง สายตาสลับซับซ้อนพอควร ไม่รู้ว่าเฝ้ารอคอยหรือกังวล  

 

 

เหล่าองครักษ์ที่อยู่ข้างหนึ่งก็เกร็งไหล่โดยพร้อมเพรียง ชำเลืองมองมาทางนี้อย่างเฝ้ารอคอยซ้ำยังตึงเครียด…ผู้ใดจะรู้ว่าราชินีที่มักจะกระทำสิ่งใดอย่างไร้เหตุผลจะทำสิ่งใดต่อไป? ยิ่งไม่รู้ว่าราชินีที่ดื่มสุราเข้าไปแล้วจะกระทำถึงระดับใด นางคงไม่กระทำ…เรื่องนั้นต่อหน้าต่อตาตอนกลางวันแสกๆ…กระมัง?  

 

 

“ซิงเจ๋อ” กงอิ้นพลันเอ่ยว่า “เรื่องนั้น ฝากด้วยนะ”  

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหันกายกลับมา ยิ้มแย้มแล้วโค้งคำนับ เอ่ยว่า “ไม่กล้ารับวาจาไหว้วานจากราชครู”  

 

 

กงอิ้นจ้องมองเขา เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “เจ้าอยู่ตี้เกอมานาน คุ้นเคยกับถนนหนทางสิ่งปลูกสร้างในตี้เกอ ราชินีประทับว่างอยู่ในวัง บางครั้งย่อมอยากเสด็จออกไปเปิดพระเนตรเปิดพระกรรณ เจ้าก็รู้ว่าข้ายุ่งยิ่งนัก หากเจ้ามีเวลาว่าง ตามเสด็จฝ่าบาทให้มากเถิด”  

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน…อะไรนะ? นี่นางหูเพี้ยนไปแล้วเหรอ?  

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อคล้ายชะงักงันไปเช่นกัน คิดไม่ถึงว่ากงอิ้นจะเอ่ยวาจาออกมาเช่นนี้ ทว่าไม่มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจอะไร ซ้ำยังขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยว่า “ฝ่าบาทเสด็จออกนอกวัง ความปลอดภัยสำคัญเพียงใด…”  

 

 

“ฉะนั้น” กงอิ้นขัดจังหวะวาจาของเขา เอ่ยว่า “หากพระนางเสด็จออกจากวัง ความปลอดภัยของพระนางคงต้องฝากเจ้าด้วยนะ!”  

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะเฝื่อนๆ เสียงหนึ่ง ลูบจมูก แล้วได้แต่โค้งคำนับอีกครั้ง เอ่ยว่า “ขอรับ”  

 

 

กงอิ้นมองเขาอีกปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้าเมาสุราเสียแล้ว สุรานี้ฤทธิ์เดชมากนัก เช่นนั้นคืนนี้เจ้าพักอยู่กับข้าที่นี่แล้วกัน”  

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อไม่บ่ายเบี่ยงเช่นกัน เขย่ากาสุราแล้วเอ่ยว่า “ย่อมได้ ข้าก็เริ่มรู้สึกว่าเดินไม่ไหวจริงๆ แล้ว…”  

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเงาด้านหลังของเขาที่จากไปแล้ว ดวงตาแข็งทื่อ กระซิบกระซาบว่า “วันนี้คนช่างหึงเปลี่ยนไปแฮะ…?”  

 

 

ข้างหลังมีเสียงถ้วยสุราวางลงดัง  กึก  เสียงหนึ่ง เสียงที่ฟังไม่ออกว่ากำลังดีใจหรือว่าโกรธเคืองของกงอิ้นเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงดื่มจนหมดสนุกแล้วหรือ? เช่นนั้นโปรดอภัยด้วยว่ากระหม่อมยังมีกิจธุระ ไม่อาจตามเสด็จได้แล้ว”  

 

 

“อ๊ะ อย่านะ! เจ้ายังติดค้างรับคำท้าข้าครั้งหนึ่ง!” พอจิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมามองก็เห็นเขาลุกขึ้นเตรียมจะจากไปของจริง เช่นนั้นจึงเร่งรีบกระโจนเข้าไป พุ่งไปบนแผ่นหลังของเขา แล้วกล่าวว่า “ข้าให้เจ้าแบกข้าเดินรอบจิ้งถิงหนึ่งรอบ!”  

 

 

ทั่วร่างของกงอิ้นแข็งทื่อ  

 

 

นางพุ่งขึ้นมาโดยไม่คาดคิดปานนั้น  

 

 

แทบจะในพริบตา เขารู้สึกถึงความอบอุ่นและความอ่อนนุ่มบนแผ่นหลัง รู้สึกถึงความปราดเปรียวและทะลักล้นของเรือนร่างของนาง รู้สึกถึงลมหายใจของนางที่เจือด้วยกลิ่นเหล้าหวานชื่นและกลิ่นหอมทรงเสน่ห์โดยกำเนิดของสตรี สะบัดผ่านหลังลำคอ ข้ามผ่านจอนผมข้างหู พลันก่อกวนฟ้าดินแดนมนุษย์แห่งนี้  

 

 

เรือนร่างของเขาโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ไม่กล้าขยับเขยื้อนอีกแล้ว  

 

 

พริบตาที่จิ่งเหิงปัวพุ่งเข้าไปนั้น องครักษ์ทั่วทั้งจิ้งถิงต่างกุมอาวุธโดยพลัน ทว่าครู่ต่อมาก็เร่งรีบคลายมือออก อยากจะหันหลังแต่ก็ไม่กล้าหันหลัง อยากจะขยับแต่ก็ไม่กล้าขยับ เมื่อมองเห็นท่าทางแปลกประหลาดนั้นของราชครูแล้ว อยากจะหัวเราะแต่ก็ยิ่งไม่กล้าหัวเราะ  

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีคนมองเห็นมากมายเพียงใด นางหรี่ดวงตาสองข้างลง สองมือโอบล้อมลำคอของเขาไว้ ใช้เสียงนาสิกพึมพำขึ้นว่า “เร็วหน่อย…เร็วหน่อย..หากยังไม่ไปอีก ข้าจะให้เจ้าแบกข้าเดินรอบตำหนักอวี้จ้าวรอบหนึ่ง…หรือไม่ก็แบกข้าเดินรอบตี้เกอรอบหนึ่ง…ให้เจ้าเหนื่อยตายไปเลย…”  

 

 

กงอิ้นแข็งทื่อไปชั่วครู่ ค่อยๆ ยืดร่างกายตนเองให้ตั้งตรง สองมือยื่นไปข้างหลังก่อนค่อยๆ จับข้อพับเข่าของนางไว้ จิ่งเหิงปัวใช้ใบหน้าพิงอยู่บนหลังของเขาอย่างสบายใจในทันที  

 

 

เขาสบกับสายตาที่เจือด้วยความกังวลของเหมิงหู่ ก่อนจะส่ายหน้าแผ่วเบา เหมิงหู่ทำสัญญาณมือเพียงครั้ง องครักษ์ของจิ้งถิงก็กระจัดกระจายหายไปโดยพลัน  

 

 

กงอิ้นแบกจิ่งเหิงปัวไว้อย่างไม่สะทกสะท้าน เดินเลียบเส้นทางน้อยที่ปูหินกรวดไปตลอดทาง จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกๆ อยู่บนหลังของเขา ร้องว่า “ก๊ากๆๆ ยามนั้นในป่าเจ้าบังคับให้ข้าแบกเจ้า ยามนี้สายลมสายน้ำผลัดพัดผลัดไหลในสามสิบปี ความแค้นครั้งนี้ของข้าได้ชำระแล้ว!”  

 

 

กงอิ้นหันข้างมองนางปราดหนึ่ง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย…ที่เอ่ยกันว่าเพียงมองตาก็เข้าใจเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่? สิ่งที่เขากำลังคิดถึงในยามนี้ก็คือภาพฉากยามที่นางแบกเขาในป่าลึกเช่นกัน  

 

 

แม้ยามนั้นถูกแบกไม่ได้สบายกาย ซ้ำยังต้องใช้ปราณแท้ประคับประคองนาง ทว่าถึงบัดนี้ย่อมควรจะกระทำคืนให้นางแล้ว  

 

 

พอศีรษะหันไป เฉียดผ่านเพียงครั้ง นางก็ก้มหน้าลงมาหวังเอ่ยวาจาพอดี พริบตานั้นสองริมฝีปากก็เฉียดผ่านกันปานฟ้าแลบ  

 

 

เขาถูกความอ่อนนุ่มที่แผ่ซ่านไอหนาวนั้นทำให้ตกใจจนสั่นสะท้าน ฝีเท้าหยุดลง  

 

 

ทว่านางไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย หัวเราะคิกๆ แผ่วเบาไม่หยุดหย่อน กลิ่นเหล้าเจือจางระหว่างลมหายใจและกลิ่นหอมลึกลับผสมผสานกลายเป็นกลิ่นอายน่าแปลกประหลาดอีกแบบหนึ่ง ทั้งลึกลับและเวียนวน ดั่งจะปลุกความปรารถนาที่ซุกซ่อนไว้ในเบื้องลึกจิตใจของทุกผู้คนให้ตื่นฟื้น  

 

 

คราวนี้เขาถึงเข้าใจในฉับพลันว่าแท้จริงแล้วนางยังคงมึนเมาอยู่บ้าง ด้วยเพราะยามก่อนหน้านี้ที่แอบดื่มเร็วเกินไป  

 

 

“อืมๆ กงอิ้น…บนกายเจ้าหอมจังเลย…” นางพึมพำ ริมฝีปากเฉียดผ่านลำคอของเขาโดยไม่ตั้งใจไม่หยุด พึมพำต่อไปว่า “ว่าแต่หนาวจังเลย…”  

 

 

เขาหยุดลงชั่วครู่ หันข้างเล็กน้อยเพื่อหลบหลีกริมฝีปากของนาง มิใช่ไม่อาลัยอาวรณ์กลิ่นหอมของนาง ทว่ากลัวตนเองต้านทานความยั่วเย้าเช่นนี้ไม่ไหว  

 

 

หากจงใจยั่วยวนยังพอต้านทานได้ แต่ไม่จงใจยั่วเย้านับว่าร้ายกาจเป็นที่สุด  

 

 

ยามที่เขาหยุดลง รอบกายก็เกิดหมอกควันเบาบาง ไอเหน็บหนาวหลายสายสลายไปโดยพลัน อุณหภูมิในร่างกายกลับคืนมาในทันที  

 

 

สิ่งนี้ทำให้สีหน้าเขาซีดขาวเล็กน้อย  

 

 

ความรู้สึกของนางคล้ายไม่ได้ลดน้อยลง รู้สึกถึงความอบอุ่นของเขาอย่างรวดเร็วยิ่ง ถูไถอย่างสบายกายไปพลาง กระซิบกระซาบไปพลางว่า “เจ้าเคลื่อนวรยุทธ์แล้วใช่หรือไม่? ไม่ต้องหรอก…เคยชินก็พอแล้ว ข้าเอ่ยว่าข้าจะมอบความอบอุ่นให้เจ้าเอง…ให้ข้ามอบความอบอุ่นแก่เจ้าก็พอแล้ว…”  

 

 

มุมปากเขากระหวัดเล็กน้อย  

 

 

ผู้ใดกันที่เอ่ยว่านางเจ้าชู้ปล่อยตน ยั่วเย้าโลกมนุษย์?  

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มองเห็นเพียงความละเอียดอ่อนและความเฉียบแหลมของนาง ดั่งคันฉ่องที่สาดแสงจำแนกผู้คนได้บานหนึ่ง ส่องสะท้อนหมื่นรูปลักษณ์ สาดส่องช่องว่างที่เงามืดกลบกลืนทุกชุ่นให้สว่างไสว  

 

 

ฝีก้าวเชื่องช้าเนิบนาบ เลียบตามเส้นทางหินกรวดสายน้อยของจิ้งถิง  

 

 

ผ่านหอหลานเซิ่ง ศาลาเฟยหลาน หอชุ่ยหวา ทะเลสาบเหยี่ยชุน…ยามนี้จิ้งถิงไร้สรรพเสียง เพียงประทับรอยเท้าของเขาไว้  

 

 

จิ่งเหิงปัวซบอยู่บนไหล่ของเขา รู้สึกว่าจิ้งถิงที่มองข้ามจากไหล่ของเขาในขณะนี้งดงามเป็นที่สุด นางประหลาดใจว่าแต่ก่อนทำไมตนเองถึงไม่ได้รู้สึกว่าจิ้งถิงงดงามปานนี้ ต้นไม้เขียวขจีใบไม้แดง ทะเลสาบสีเขียวครามสะพานสีขาว กำแพงขาวกระเบื้องคราม ราวระเบียงโค้งแดง สีสันแพรวพราวของทุกสิ่งเยือกแข็งท่ามกลางทิวทัศน์ท้องนภาสูงสีฟ้าสดใส กลายเป็นแผนภาพรุ่งเรืองของพระราชวังภาพหนึ่ง  

 

 

“ทางนั้นๆ!” นางพลันตื่นเต้นดีใจขึ้นมา เตะเท้าอยู่บนหลังของเขา  

 

 

ข้างหน้าคือทะเลสาบเหยี่ยชุน บนทะเลสาบมีสะพานโค้งเก้าช่อง รัศมีโค้งทะยานขึ้นไปเป็นผืนเดียว สะท้อนประสานดุจดวงจันทร์เก้าดวง  

 

 

ในเมื่อกงอิ้นแบกนางแล้ว ย่อมไม่หวังขัดขืนความนัยของนาง เขาก้าวขึ้นไปบนสะพานอย่างเชื่องช้า จิ่งเหิงปัวมองดูฝีเท้าที่ขึ้นสูงทีละก้าว คล้ายจะเดินไปยังกลางท้องฟ้าผืนหนึ่งข้างหน้านั้น ในอกพลันมีความกล้าหาญเพิ่มสูงขึ้น  

 

 

การรับคำท้าที่นางอยากได้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์!  

 

 

ชั่วชีวิตนี้ไอ้จอมซุ่มเงียบแบบกงอิ้นนั้นคงไม่กล้ารับคำท้าของนางแน่!  

 

 

แต่โอกาสแบบนี้จะมีได้สักกี่ครั้ง ในเมื่อนางอยากทำก็ต้องทำ อยากพูดก็ต้องกล้าพูด!  

 

 

กงอิ้นพลันหยุดลง ยามนี้ ทั้งสองคนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสะพาน  

 

 

สายลมรุนแรงในที่แห่งนี้พัดผมยาวของคนที้งสองจนยุ่งเหยิงเกี่ยวพันอยู่ด้วยกัน  

 

 

จิ่งเหิงปัวสะบัดผมยาวที่ถูกลมพัดขึ้นมาปรกใบหน้านางของกงอิ้นออกไป กางแขนสองข้างออก  

 

 

“ระวัง!” กงอิ้นพิงอยู่ข้างสะพาน คิดไม่ถึงว่านางจะพลันกางแขนออก เช่นนั้นจึงรีบเร่งเข้าไปประคอง  

 

 

“กงอิ้น! ข้าชอบเจ้า!”  

 

 

จิ่งเหิงปัวตะโกนลั่นออกมา เสียงนั้นแว่วไปทั่วทั้งจิ้งถิงในพริบตา  

 

 

พริบตาต่อมานั้นจิ้งถิงไร้ซึ่งสรรพเสียงโดยสิ้นเชิง  

 

 

สายลมดูคล้ายหยุดนิ่ง สายน้ำดูคล้ายเงียบสงบ คนยังคงยืนอยู่ที่เดิม เงยหน้ามองกันอย่างตะลึงงัน   

Comment

Options

not work with dark mode
Reset