ส่วนกงอิ้นได้เฉียดผ่านใจกลางฝูงชน ยื่นมือเพียงครั้งคว้าคนผู้หนึ่งออกมา มือหนึ่งสกัดจุดเลือดลมของคนผู้นั้นปานฟ้าแลบ มืออีกข้างหนึ่งสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้ง ฝนพรำสีครามม่วงผืนนั้นพลันกลายเป็นช่อเดียว เหินว่อนสามจั้ง หายเข้าไปในพงหญ้าที่ซึ่งไม่ไกล ชั่วครู่นั้นหญ้าเขียวพลันเ**่ยวเฉา
จากนั้นเขาก็พุ่งเหินขึ้น หายเข้าไปในเกี้ยวอีกครั้ง เหวี่ยงคนผู้นั้นมาหน้าเกี้ยวดังพลั่ก
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เหมิงหู่ก็กะพริบกายกลับมา ในมือคว้าของสิ่งหนึ่งเอาไว้
การกระทำหลายครั้งรวดเร็วราบรื่น เพียงชั่วครู่นั้น กงอิ้นชูหนามสามเหลี่ยม ทำลายหนามสามเหลี่ยม ใช้หมอกพิษคุกคามชีวิตของทุกผู้คน แล้วพลันจับคนผู้หนึ่งออกมาจากท่ามกลางฝูงชน
ผู้อื่นเพียงแต่กะพริบตาไม่กี่ครั้ง เรื่องราวของเขาก็กระทำเสร็จสิ้นแล้ว
จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง แววตาฉายความงงงวย กงอิ้นลงมือทั้งรวดเร็วทั้งโหดเ**้ยมเหลือเกิน ความเร็วในการคิดของสมองมนุษย์ตามไม่ทันด้วยซ้ำ
เสียงพลั่กดังขึ้นเสียงหนึ่ง กงอิ้นกลับเกี้ยว สายลมรุนแรงหยุดนิ่ง ม่านสยายลงอีกครั้ง บดบังสายตาของนางไว้
จิ่งเหิงปัวร้อนใจจนแทบจะตะโกนก้อง
ชั่วพริบตานั้น คนอื่นยังคงตาพร่า นางมองเห็นใบหน้าของกงอิ้นอย่างแปลกประหลาด
คล้ายขาวซีดเล็กน้อย
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ตกลงจะให้นางมองเห็นให้ชัดเจนหรือไม่!
…
เงียบสงัดทั่วลานกว้าง
ทุกผู้คนมองดูเกี้ยวของกงอิ้นอย่างตื่นตะลึง…สงบเงียบเช่นเคย แม้แต่ตะขอทองคำที่เกี่ยวขึ้นก่อนหน้านี้ก็ได้วางลงแล้ว
ภายในเกี้ยวไม่มีสรรพเสียง เหมิงหู่มองดูม่านเกี้ยวอย่างกังวลเล็กน้อย ทว่าไม่ได้คิดจะเลิกม่านขึ้น
ความเงียบสงัดที่ทำให้คนหายใจลำบากเช่นนี้ดำรงต่อไปอีกชั่วครู่ ทุกคนถึงได้ยินเสียงของกงอิ้นอีกครั้ง
สงบเงียบ เย็นยะเยือก ทุกสิ่งเฉกเช่นปกติ
“จับกุมมือสังหารได้แล้ว” เขาเอ่ยว่า “ไม่เกี่ยวกับราชินี”
ทุกผู้คนอ้าปากกว้างอีกครั้ง…การกระทำกับการโต้ตอบของบางคน มักทำให้เจ้ารู้สึกว่าสติปัญญาของตนเองไม่เพียงพอ
กงอิ้นไม่เอ่ยวาจาแล้ว เหมิงหู่หิ้วคนที่อยู่บนพื้นผู้นั้นขึ้น นั่นคือคนที่แต่งกายเป็นทหารของสำนักตี้เกอ สีหน้าหวาดผวายังไม่เลือนหายไป
จ้าวซื่อจื๋อกุมท้ายทอยไว้ ลุกขึ้นมาจากบนพื้นอย่างมึนงงเวียนศีรษะ จับจ้องมองดูทหารนายนั้น
“คนผู้นี้คือมือสังหาร” เหมิงหู่เอ่ยว่า “เมื่อครู่ราชครูทำลายอาวุธ สร้างฝนพิษแผ่คลุมทางบุคคลน่าสงสัยทุกคน ทุกผู้คนต่างกำลังตื่นตะลึง ผู้ที่รู้สึกตนรวดเร็วมากที่สุดคิดหลบหนี มีเพียงคนผู้นี้ เขายื่นมือเข้าอ้อมแขนเพราะคิดจะใช้ยาถอนพิษ ด้วยเพราะเขารู้ว่ายามนั้นเขาอยู่ท่ามกลางฝูงชน ไม่ทันได้หลบหนีพ้นด้วยซ้ำ เขารู้ด้วยว่าพิษนี้ร้ายแรงยิ่งนัก สัมผัสเพียงเสี้ยวเดียวย่อมสิ้นชีพ ฉะนั้นยามหัวเลี้ยวหัวต่อความเป็นความตาย เขาจะคิดปกป้องตนเองอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง จึงคิดจะใช้ยาถอนพิษ”
เขายื่นมือสืบค้นในอ้อมแขนของคนผู้นั้น ค้นเจอขวดน้อยสีม่วงขวดหนึ่ง เทของเหลวภายในขวดลงบนบาดแผลของฮูหยินจ้าวเล็กน้อย มองดูโลหิตพิษที่ดำที่ยังคงไหลรินนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง
นั่นคือยาถอนพิษ
จ้าวซื่อจื๋อเงียบกริบเอ่ยไม่ออก
มีเพียงบนร่างกายของมือสังหารถึงจะมียาถอนพิษได้
“คนผู้นี้ แม้พวกเราไม่รู้ว่าเขาคือผู้ใด ทว่าชัดเจนยิ่งนัก เขาไม่อยู่ในลานบ้าน ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามราชินีโดยตลอด อาวุธลับที่ทำให้ฮูหยินจ้าวสิ้นชีพถูกยิงเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม”
จ้าวซื่อจื๋อมีสีหน้าเขียวคล้ำ
“ยังมีสิ่งนี้” เหมิงหู่ตบคานเกี้ยวของกงอิ้น คว้าเครื่องยิงโลหะขนาดเล็กเครื่องหนึ่งออกมาจากใต้คานแล้วเขย่าสิ่งของที่อยู่ในมือ
ในมือของเขาพลันปรากฏหนามสามเหลี่ยมอันหนึ่งเช่นกัน กุมไว้ในฝ่ามือ ดูท่าทางเหมือนอาวุธที่สังหารฮูหยินจ้าวสิ้นชีพนั้นทุกกระเบียดนิ้ว
“นี่คืออาวุธลับที่ยิงออกมาจากใต้คานเกี้ยวของราชครูเมื่อครู่ จุดมุ่งหมายเพื่อสังหารใต้เท้าจ้าวอีกคน” เหมิงหู่หัวเราะเยาะจ้าวซื่อจื๋อเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “ราชครูจงใจสนทนากับท่านในเกี้ยว ซ้ำยังจัดการให้ทุกผู้คนเดินผ่านหน้าเกี้ยวเขา จุดมุ่งหมายก็เพื่อมอบโอกาสให้มือสังหารลงมือ มือสังหารไม่ได้หักใจละทิ้งโอกาสนี้เช่นกัน เขาฉวยโอกาสเดินผ่านหน้าเกี้ยวยามมีคนมาก แอบนำกับดักนี้ปักไว้ใต้คานเกี้ยว หากราชครูสยายม่านเกี้ยวยกเกี้ยวขึ้น กับดักนี้จะถูกทำให้ทำงานแล้วยิงเข้าหน้าอกของใต้เท้าจ้าว เช่นนั้น เรื่องราวคงใหญ่โตแล้ว คงจะกลายเป็นราชินีทรงสังหารฮูหยินของใต้เท้าจ้าว ส่วนราชครูจะสังหารใต้เท้าจ้าวอีกคนเพื่อช่วยพระนางปิดบังความผิด พอถึงยามนั้นทั่วแว่นแคว้นโกรธแค้น เหล่าขุนนางเจ็บปวดผิดหวัง ราชครูกับราชินีคงจะลำบากเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นพอราชครูออกจากเกี้ยว จึงผลักใต้เท้าจ้าวออกไปก่อน ใต้เท้าจ้าว ท่านควรขอบคุณราชครูให้มากถึงจะถูก”
“เรื่องนี้…” จ้าวซื่อจื๋อกุมศีรษะ ดวงตามึนงงจนขดเป็นวงกลม เขาคล้ายล้มลงแรงทีเดียว ความคิดตามไม่ทันโดยสิ้นเชิง ทว่าได้แต่เอ่ยวาจาขอบคุณอย่างมึนงงไปก่อนว่า “ขอบคุณราชครูที่ช่วยชีวิต…”
“ราชครู!” ทว่ามีผู้อดจะคัดค้านไม่ได้ว่า “คนของสำนักตี้เกอเรารีบเร่งตามมาถึงหลังจากฮูหยินจ้าวถูกสังหาร! เป็นไปไม่ได้ที่คนของพวกเราจะสังหารฮูหยินจ้าว!”
เหมิงหู่หันหน้ากลับมามองดูม่านเกี้ยว เสียงของกงอิ้นแว่วมาจากภายในเกี้ยวว่า “สายตาบิดเบือน จะใช้ตรวจสอบผู้อื่นได้อย่างไร มองให้ชัดเจนว่านั่นคือคนของพวกเจ้าหรือไม่!”
ขุนนางของสำนักตี้เกอก้าวเข้าไปมองดูละเอียด เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เขาไม่ใช่คนของพวกเรา! เขาเพียงสวมเครื่องแบบของพวกเรา!”
“พากลับไปสอบสวนให้ละเอียด” กงอิ้นสั่ง
พวกเหมิงหู่รับคำสั่ง กำลังจะหิ้วมือสังหารนั้นขึ้นมัดอีกครั้งหนึ่ง พลันมีคนผู้หนึ่งตะโกนว่า “ระวังท่าทางของเขา!”
เหมิงหู่ตื่นตกใจ ก้มหน้ามองดู มือสังหารนั้นกำลังอาศัยจังหวะที่ถูกหิ้วขึ้น ใช้ส่วนศีรษะเข้าใกล้ไหล่ คิดจะไปเลียรูปสัตว์นูนชิ้นหนึ่งตรงชุดเกราะข้างไหล่ เหมิงหู่รีบเร่งตบศีรษะของเขาออกไป ดึงเกราะไหล่ชิ้นนั้นของเขาลงมา พบเจอยาเม็ดน้อยเม็ดหนึ่งภายในนั้นดังคาดการณ์
“ขอบคุณเฉินเถี่ยซื่อจื่อ” เหมิงหู่เอ่ยขอบคุณต่อคนผู้นั้นอย่างซาบซึ้งใจ เอ่ยสืบต่อว่า “หากไม่ได้เจ้าเตือนสติ มือสังหารคงจะใช้ยาพิษปลิดชีพตนเองแล้ว”
“สมุหราชองครักษ์เหมิงเกรงใจแล้ว นี่คือสิ่งที่ข้าควรกระทำ ข้าเห็นว่าคนผู้นี้โหดเ**้ยมทารุณ สายตาไม่แน่วแน่ คล้ายมีความคิดปลิดชีพตนเอง ฉะนั้นจึงจ้องอยู่โดยตลอด หากให้เขาปลิดชีพตนเองสิ้นชีพไร้ซึ่งหลักฐาน วันนี้ทุกคนคงยุ่งวุ่นวายเสียแรงเปล่ากันแล้ว” คนผู้นั้นเอ่ยตอบดังก้องฉะฉาน เสียงชัดเจน ท่าทางไม่อ่อนน้อมไม่ต่อต้าน น้ำเสียงสม่ำเสมอ พาให้คนฟังแล้วรู้สึกว่าเหมาะสมซ้ำยังเชื่อถือได้
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเสียงนี้ฟังดูคุ้นเคย คนนี้คงจะเป็นเฉินเถี่ยซื่อจื่อคนนั้น คนนั้นที่ก่อนหน้านี้ลงมือลากจ้าวซื่อจื๋อกลับไป นางไม่โทษที่เขาลงมือช่วยเหลือ อย่างไรเสียหากจับตัวจ้าวซื่อจื๋อไปได้จริง แล้วถูกเปิดเผยฐานะ ราชินีเช่นนางนี้ยิ่งยากจะลงจากเวที
คนนี้เป็นใครกัน?
ท่าทางที่กงอิ้นมีต่อซื่อจื่อผู้นี้คล้ายว่าไม่เลว ไม่นึกว่าจะเอ่ยขึ้นว่า “ซื่อจื่อไม่ได้ไปในวังระยะหนึ่งแล้ว หากมีเวลาว่างน่าจะเข้าวังให้มาก”
แม้ว่าน้ำเสียงเฉื่อยเนือย แต่ไม่ว่าอย่างไรนับเป็นการออกปากเชื้อเชิญก่อน จิ่งเหิงปัวส่งเสียงจิ๊จ๊ะคิดว่าอัศจรรย์
“ได้รับความกรุณารักใคร่จากราชครู ผู้ต่ำต้อยจะกล้าไม่น้อมรับคำเชิญหรือ?” คนผู้นั้นเอ่ยวาจาขอบคุณ ทั้งสนิทสนมทั้งมีระยะห่าง
กงอิ้นไม่เอ่ยอะไรอีก เหมิงหู่ร้องว่ายกเกี้ยวเสียงหนึ่ง คราวนี้เกี้ยวออกจากที่เดิมในที่สุด
ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา ในเมื่อเอ่ยว่ามือสังหารไม่ใช่ราชินี การปะทะกันทุกสิ่งก่อนหน้านี้ย่อมสูญสลาย
เหยียลี่ว์ฉีมิได้เอ่ยวาจาโดยตลอด และไม่ได้ก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีก รอยยิ้มข้างริมฝีปากผืนหนึ่งยิ่งลึกลับขึ้น คล้ายไม่โกรธเคืองที่เมื่อครู่ตนเองถูกสงสัยด้วยซ้ำ ท่าทางคล้ายกำลังชมเรื่องสนุกสนาน
เมื่อมองรถเกี้ยวของสองคนจากไป เขาก็พลันรีบร้อนขออำลา เดินรวดเร็วยิ่งนักประหนึ่งข้างหลังมีภูตผีไล่ตาม
เท้าที่ก้าวไปก่อนของเขาเพิ่งกลับสู่ในจวนตนเอง
จ้าวซื่อจื๋อที่มึนงงสะลึมสะลือเอามือกุมท้ายทอยไว้โดยตลอด ทว่าทั้งระงับความตื่นเต้นดีใจจนทั่วหน้าแดงก่ำไม่ไหว พลันกระซิบกระซาบเสียงหนึ่ง “ปวดหัวยิ่งนัก…” แล้วพลันล้มหงายท้องหัวทิ่มดังตึง
ในจวนตระกูลจ้าวเงียบสงัดชั่วครู่
จากนั้นก็มีเสียงอุทานอย่างตกตะลึงของผู้คนดังก้อง
“นายท่านสลบไปแล้ว!”
เหยียลี่ว์ฉีที่ปิดประตูข้างจวนแล้วหยุดฝีเท้าลง หันข้าง รอยยิ้มผืนนั้นตรงมุมปากยิ่งชัดเจนขึ้นแล้ว
…
พอเกี้ยวออกจากจวนตระกูลจ้าว ทหารคั่งหลงกับนายทหารพลทหารของสำนักตี้เกอต่างกลับสู่ตำแหน่งเดิม แผ่นเหล็กที่รัดอยู่บนท้องของจิ่งเหิงปัวส่งเสียงดังเพียะๆ สองเสียงแล้วหดกลับไป
จิ่งเหิงปัวโยนผ้าอุดปากทิ้ง ลุกขึ้นนั่ง กระทืบพื้นเกี้ยวในทันที
เกี้ยวหยุดลง จิ่งเหิงปัวมุดออกมาจากข้างในเกี้ยวอย่างร้อนอกร้อนใจ ไม่รอให้ราชองครักษ์ก้าวเข้ามาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ กะพริบวูบดังสวบพลันหายไปแล้ว
จากนั้นหัวไหล่คนแบกเกี้ยวของกงอิ้นก็จมดิ่งเล็กน้อย
ภายในเกี้ยว เสียงของกงอิ้นแว่วมา คล้ายมีความไม่ชัดเจนเพียงเล็กน้อย เอ่ยว่า “เคลื่อนต่อไป”