ตลอดทางจิ่งเหิงปัวพบเจอสาวใช้หน้าตางดงามอย่างต่อเนื่อง พอทุกคนเห็นนางก็ต่างผุดเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา แต่ไม่มีใครกล้าถามและไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ต่างถอยห่างไปข้างหนึ่งแล้วแสดงความเคารพ ตอนที่จิ่งเหิงปัวเดินผ่านอยากจะฟังสักหน่อยว่าพวกนางจะแอบกระซิบกระซาบกันหรือเปล่า แต่กลับไม่มีเสียงเลย นางชำเลืองตามองเหยียลี่ว์ฉีแวบหนึ่ง ในใจคิดว่าเจ้าคนนี้มีสีหน้าท่าทางเจ้าชู้ แต่ควบคุมภายในจวนอย่างเข้มงวดยิ่ง สาวใช้หน้าตางดงามหลายกลุ่มหลายก้อนเหล่านี้ เกรงว่าคงจะให้คนอื่นมองเห็นแล้วเข้าใจผิดเท่านั้น
หน้าหอหลังเล็กมีทะเลสาบขนาดกลางแห่งหนึ่ง พืชพรรณหินผาคล้ายไม่ได้ผ่านการตั้งใจตัดแต่งให้เรียบร้อย แลดูมีความงามตามธรรมชาติ
หอหลังเล็กได้ชื่อเรียบง่ายว่า ‘เติงเกา’
เหยียลี่ว์ฉีพานางขึ้นไปข้างบน เอ่ยว่า “พาเจ้ามามองดูทิวทัศน์ทั่วตี้เกอเสียก่อน ให้รู้จักจวนของเหล่าขุนนางใหญ่สักหน่อย คราวหลังจะได้ไม่เดินหลงทางอีก แน่นอนว่า…” เขายิ้มแย้ม เอ่ยสืบต่อว่า “วันนี้หลงทางได้ดียิ่งนัก”
“ข้ารู้สึกว่าไม่ดี” นางถลึงตาใส่เขา กล่าวว่า “เจ้าอืดอาดยืดยาด พาให้เรื่องของข้าชักช้าไปด้วย!”
“อย่ารีบร้อน” เขาเหยียดริมฝีปากบาง เอ่ยขึ้นว่า “ประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปจวนเสนาบดีกองขุนนาง”
“เช่นนั้นเจ้าขึ้นหอมาทำอะไรกัน? จะกระโดดจากบนหอไปยังจวนเสนาบดีกองขุนนางหรือ” นางถลึงตาใส่เจ้าคนไว้ใจไม่ได้คนนี้ เดิมทีนึกว่าคำพูดท่อนหนึ่งนี้จะโจมตีเขาหรือเกลี้ยกล่อมให้เขาปล่อยตนเองไปได้ กลับคิดไม่ถึงว่าเจ้าคนนี้บางครั้งก็ยังเซ้าซี้เสียยิ่งกว่ากงอิ้น
สองคนไปถึงจุดสูงของหอ เผชิญหน้ากับตรอกซีเกอที่อยู่ข้างล่างพอดี คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงได้พบว่าเหยียลี่ว์ฉีเอ่ยไว้ไม่ผิด หอแห่งนี้ของเขามีทัศนวิสัยยอดเยี่ยม เมื่อมองจากข้างบนลงไปข้างล่างก็เห็นตี้เกอได้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นบริเวณโดยรอบมีบ้านเรือนตั้งเรียงรายเบียดเสียดกัน ทอดยาวเหยียดได้อย่างชัดเจนยิ่ง สัตว์นั่งยอง[1]บนชายคาเก่าแก่สีเขียวเทา กระเบื้องเคลือบสีแดงสดเปล่งประกายแสงอาทิตย์ผืนใหญ่ผืนโต ดั่งทะเลสาบสีแดงก่ำผืนหนึ่ง
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือนางพบว่าตำแหน่งด้านนี้ ทะเลสาบที่ใกล้กันแคบอย่างยิ่ง ผิวทะเลสาบครึ่งใหญ่ประชิดข้างจวน ด้วยเพราะเป็นทะเลสาบ ไร้หนทางขวางกั้นด้วยกำแพงล้อมรอบ ทว่ามีต้นซาน[2]ซึ่งเป็นพืชน้ำแถวใหญ่แถวหนึ่งขึ้นอยู่หนาแน่นขัดขวางทั้งเรือทั้งคน
หรือกล่าวได้ว่าเดิมทีที่นี่ก็เป็นทะเลสาบแห่งหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าด้วยเพราะเหตุใดถึงถูกจวนเสนาบดีกองขุนนางกับจวนราชครูฝ่ายซ้ายครอบครองพื้นที่ไปครึ่งหนึ่ง น้ำคุณภาพดีเช่นนี้ในต้าฮวงมีไม่มาก ทั้งสองตระกูลต่างเสียดายไม่อยากละทิ้งจึงเลือกสร้างจวนล้อมรอบน้ำ ครอบคลุมน่านน้ำในจวนของตนเอง สุดท้ายปลูกต้นซานน้ำแถวหนึ่งขวางไว้
ต้นซานน้ำสีเหลืองทองสะท้อนอยู่ในน้ำ เงาทะเลสาบอุดมสมบูรณ์ซ้ำยังมีลำดับชั้นด้วยเหตุนี้ ชั้นหนึ่งสีทองชั้นหนึ่งสีเขียว ประดับด้วยใบไม้สีทองเล็กๆ น้อยๆ งดงามจนสว่างพร่างพราย
แม้แต่จิ่งเหิงปัวยังถูกดึงดูด เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสองตระกูลนี้ถึงร่วมใช้ทะเลสาบแห่งเดียวกัน
“เมื่อครู่เจ้าเอ่ยถูกต้องแล้ว” เสียงของเหยียลี่ว์ฉีพลันดังขึ้นข้างหูนาง ใกล้ยิ่งนัก ลมหายใจแผ่วเบาเป่ารดใบหูของนางจนคันยุบยิบ เอ่ยว่า “ข้าคิดจะกระโดดลงไป…เจ้าอย่าลืมไปตามหาข้าข้างล่างนะ ภรรยาน้อยของข้า…”
“หา?” จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้รู้สึกตัว
เสียง ฟิ้ว! ดังขึ้น เหยียลี่ว์ฉีกระโจนครั้งหนึ่ง ท่วงท่าวาดเป็นรัศมีโค้งราบรื่นกลางอากาศ จิ่งเหิงปัวมองตามรัศมีโค้งสายนั้นอย่างปากอ้าตาค้าง สายตามองดูเขาข้ามผ่านผิวทะเลสาบเล็กแคบผืนนั้นของตนเอง ข้ามผ่านต้นซานน้ำสูงตระหง่านแถวนั้น ร่วงสู่ทะเลสาบจวนเสนากองขุนนางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดังตู้ม!
แทบจะโดยพลัน เสียงจากข้างล่างฝั่งตรงข้ามตะโกนแว่วออกมา
“ท่านราชครูฝ่ายซ้ายฝึกวรยุทธ์ไม่ระวังกระโดดข้ามมาอีกแล้ว!” ฟังแล้วคล้ายเป็นเสียงสตรี ฟังดูตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง ฟังดูแล้ว คล้ายว่าที่เหยียลี่ว์ฉีกระโดดน้ำข้ามเขตแดนแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก
จิ่งเหิงปัวเช็ดใบหน้าอย่างงงงวยครั้งหนึ่ง
“แบบนี้ก็ได้เหรอ?”
…
ภายในห้องเงียบสงบ เงาคนชุดขาวนั่งขัดสมาธิอยู่อย่างเงียบเชียบ ภายในตำหนักใหญ่ทั้งหลังมีไอควันสีขาวจางลอยวนเวียน ทว่าไม่ได้ผ่อนคลายเป็นระเบียบเฉกเช่นยามปกติ แลดูทั้งจมทั้งลอยไม่แน่นอน เจือด้วยความกระสับกระส่ายเล็กน้อย
ในความเงียบสงัดผืนหนึ่ง เรือนร่างของคนชุดขาวโน้มไปข้างหน้าในทันใด เสียงพรวดเสียงหนึ่งดังแผ่วเบา บนพื้นศิลาขาวกระเซ็นด้วยรอยแดงฉานเล็กน้อย เศร้าสลดงดงามดุจดอกเหมยโรยรา
เขาโค้งเรือนร่างเล็กน้อยคล้ายกำลังมองโลหิตที่ตนเองกระอักออกมา คล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องในใจ ซ้ำยังคล้ายถูกความจริงบางเรื่องทำให้ตื่นตะลึง
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาเปล่งเสียงทอดถอนใจแผ่วเบาออกมาเสียงหนึ่ง
“สุดท้ายแล้วยังคง…สยบไว้ไม่ได้สินะ…”
นิ้วมือค้ำเลียบไปตามเตียง เขาค่อยๆ นั่งตัวตรง หลังมือรวมทั้งเล็บมือต่างเป็นสีขาวราวหิมะไร้สีโลหิต เพียงพลันปรากฏรอยแดงจางหลายรอยใต้พื้นเล็บมือขาวประหนึ่งเปลือกน้ำแข็ง
ไอควันข้างบนตำหนักใหญ่ลอยวนเวียนยิ่งรวดเร็วขึ้น
เขาก้มหน้าเล็กน้อย ลักษณะท่าทางอ่อนแออย่างหาได้ยาก
ด้ายทองข้างกายพลันกระตุกเล็กน้อย เขายกมือกดเพียงครั้ง ประตูตำหนักใหญ่ข้างหน้าค่อยๆ ปรากฏช่องว่างช่องหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าของผู้รายงาน
นี่คือการดำเนินการปรับปรุงหลังเกิดเรื่องคราวก่อน เพื่อสะดวกต่อการควบคุมสถานการณ์ข้างนอก
“ราชครู ขุนนางหญิงกองพิธีการซย่าจื่อหรุ่ยถูกจับตัวไปจวนเสนาบดีกองขุนนางขอรับ”
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย โบกมืออย่างอ่อนเพลีย เอ่ยว่า “ถือจดหมายของข้าไปรับตัวนาง”
“ขอรับ”
มือที่โบกอยู่กลางอากาศของเขาพลันหยุดชะงัก เอ่ยว่า “ขุนนางหญิงซย่าอยู่กับราชินีหรือ”
“ขอรับ”
เขาลุกขึ้นโดยพลัน
“เตรียมรถม้าไปจวนเสนาบดีกองขุนนาง!”
…
จิ่งเหิงปัวยืนงงงวยอยู่บนหอไประลอกหนึ่ง พอหันกลับมาพบว่าข้างหลังมีห้องรับรอง ภายในห้องมีเสื้อผ้าหลากหลายแบบ ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าของเหยียลี่ว์ฉี ยังมีเสื้อผ้าผู้หญิงบางส่วน ส่วนมากเป็นเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่มีหญิงวัยกลางคนมีอายุนางหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังนางแล้ว ใช้สายตาสอบสวนพินิจนางครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “แม่นาง ราชครูสั่งให้บ่าวมาปรนนิบัติแม่นาง ประเดี๋ยวเชิญแม่นางตามบ่าวไปจวนเสนาบดีกองขุนนาง ไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดขอให้แม่นางทำตาม โปรดให้ความร่วมมือด้วย”
จิ่งเหิงปัวพยักหน้า ไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อยว่าเหยียลี่ว์ฉีจัดหาคนคนหนึ่งมาช่วยดูแลตนเองตั้งแต่เมื่อไร นักการเมืองที่มีสถานภาพแบบนี้ หากไม่มีลูกน้องที่ทั้งลึกลับทั้งเชี่ยวชาญทุกเรื่องสักหลายคน นับเป็นความผิดต่อตระกูลของพวกเขาโดยแท้
“เชิญแม่นางเปลี่ยนอาภรณ์”
จิ่งเหิงปัวเลือกชุดจากกองเสื้อผ้าใหม่ที่ยกมาให้มาเปลี่ยนตามใจชอบชุดหนึ่ง หญิงวัยกลางคนเกล้าทรงผมของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วให้นางอย่างคล่องแคล่วยิ่งนัก จิ่งเหิงปัวเพิ่งพบในภายหลังว่า…หา? พี่ต้องแสดงเป็นเมียน้อยของเหยียลี่ว์ฉีไปรับคนที่ข้างจวนจริงหรือ?
แม้ว่าจะไม่เต็มใจอยู่บ้าง แต่เมื่อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ยังรู้สึกว่าวิธีนี้เป็นวิธีการที่ดีวิธีหนึ่ง เข้าจวนเสนากองขุนนางไปรับคนได้อย่างสง่าผ่าเผย เมื่อหาจื่อหรุ่ยจนเจอแล้วพานางไปอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง หลีกเลี่ยงการปะทะกันกับเสนากองขุนนาง นางก็ไม่กลัวต้องปะทะกับเสนากองขุนนาง แต่ก็ไม่อยากปะทะกับลูกน้องคนสำคัญของกงอิ้นในเวลานี้อีก เช่นนั้นจะสร้างภาระให้เขามากยิ่งขึ้น
เสื้อผ้าสั้นไปหน่อย อีกทั้งบริเวณหน้าอกก็คับอยู่บ้าง นางเปรียบเทียบสัดส่วนนี้ คิดขึ้นมาทันทีว่าเสื้อผ้าตัวนี้คงไม่ใช่ตัดตามสัดส่วนของเฟยหลัวหรอกกระมัง?
จิ๊จ๊ะ อกเล็กขนาดนี้เชียว
นางหัวเราะอย่างเปี่ยมด้วยเจตนาร้าย
หญิงวัยกลางคนหยิบอาภรณ์ของเหยียลี่ว์ฉีมาชุดหนึ่ง วางไว้บนถาดรองแล้วส่งให้นาง
จิ่งเหิงปัวไม่รับ กลับถามว่า “เหตุใดต้องให้ข้าถือ?”
“สถานะยามนี้ของท่านคืออนุภรรยาคนใหม่ของราชครู ในเวลาเช่นนี้ควรเป็นยามที่ท่านแสดงน้ำใจไมตรี ท่านถือไว้ด้วยตนเองถึงยิ่งสอดคล้องกับสติปัญญาและสถานภาพของท่าน”
“ข้ารู้สึกว่าอนุภรรยาต่ำต้อยไปหน่อย” ราชินีแซ่จิ่งหยุมหยิมจุกจิกกับสถานภาพ
“ราชครูยังไม่ได้สมรส เรื่องนี้ต่างรับรู้ทั่วทั้งตี้เกอ แน่นอนว่าหากท่านยินยอมเปิดเผยตนว่าเป็นภรรยาหลวงของราชครูย่อมได้เช่นกัน บ่าวคิดว่าราชครูต้องเต็มใจอย่างยิ่งเป็นแน่ ดูท่าทางขั้นตอนต่อไปบ่าวคงต้องตระเตรียมสามหนังสือหกพิธีการ[3]ให้ราชครูแล้ว”
จิ่งเหิงปัวได้แต่รับถาดรองมาอย่างว่าง่าย แอบโกรธเคืองว่าลูกน้องของเหยียลี่ว์ฉีไม่ใช่คนดีทั้งนั้นจริงๆ
นางตั้งใจเดินอย่างเชื่องช้าก้าวหนึ่ง พลิกเสื้อผ้าของเหยียลี่ว์ฉีไปมา ใช้มือลูบฝุ่นจนทั่วเมื่อเดินผ่านกำแพงแห่งหนึ่งแล้วใช้ชุดชั้นในอ่อนนุ่มของเขาเช็ดมือ ซ้ำยังพลิกกางเกงขาสั้นมาอยู่ข้างบนสุด วางไว้อย่างเปิดเผย
หญิงวัยกลางคนมองเห็นแล้วไม่ได้ใส่ใจ อย่างไรเสียขอเพียงนางเจตนาดี เจ้านายคงไม่ว่ากระไร
มีสาวใช้อีกสองคนตามมาจากตรงข้างหอ สาวใช้สองคนนี้หน้าตาธรรมดา นิ่งเงียบยิ่งนัก แตกต่างจากสาวใช้งดงามรูปร่างผอมบางอิ่มเอิบเหล่านั้น ดูท่าทางน่าจะเป็นพวกองรักษ์ลับ
…
เงาคนหลายสายบนกำแพงรั้วที่ห่างออกไปลุกขึ้นมานั่ง
“ไปเล่นสนุกที่จวนข้างๆ กัน!”
…
[1] สัตว์นั่งยอง (蹲兽) เป็นตุ๊กตาตกแต่งบนหลังคาพระราชวังสมัยโบราณ ทุกมุมปลายหลังคาบนครอบสันจะประดับไปด้วยตุ๊กตาสัตว์เหล่านี้ ตุ๊กตาสัตว์เหล่านี้มีความสัมพันธ์กับระดับของพระราชวังนั้น
[2] ต้นซาน ต้นไม้ในตระกูลต้นสน ผลิใบเขียวชอุ่มตลอดปี ลำต้นสูงตรง ออกกิ่งก้านเป็นทรงกรวย
[3] สามหนังสือหกพิธีการ พิธีมงคลสมรสแบบจีนโบราณ สามหนังสือที่กล่าวถึงนั้น ได้แก่ หนังสือหมั้นหมาย หนังสือแสดงสินสอดและหนังสือรับตัวเจ้าสาว ส่วนหกพิธีการเป็นขั้นตอนการปฏิบัติที่เริ่มตั้งแต่การหมั้นกระทั่งถึงพิธีแต่งงาน ได้แก่ สู่ขอ ขอวันเดือนปีเกิด เสี่ยงทาย มอบสินสอด ขอฤกษ์และรับเจ้าสาว