กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 360 เจ้าเป็นใคร? (1)

นิ้วมือสั่นไหวเล็กน้อย เสี้ยววินาทีหนึ่ง หัวใจของนางที่เย็นชาตายด้านมาหลายเดือนพลันเปิดออกเล็กน้อย ความอบอุ่นแทรกซึมเข้าสู่ส่วนลึกของหัวใจอย่างเงียบงัน สายตาของนางที่มองตามเงาร่างของหยางเซียวซึ่งกำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นหลายส่วน โดยที่นางเองก็ไม่รู้ตัว
จุดสีแดงบนภาพที่แสดงถึงตำแหน่งกลไกถูกเปิดออกทีละจุดๆ ผิวทะเลสาบกลับไม่เปลี่ยนแปลง เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หยางเซียวว่ายกลับมา เพิ่งจะเงยหน้าขึ้นจากน้ำ มือเรียวบางดั่งหยกสลักข้างหนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้า หยางเซียวเงยหน้ามองนางอย่างอึ้งงัน ถึงขั้นทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
“มัวอึ้งอันใดอยู่ รีบขึ้นมาเร็วเข้า” ซูหลีเร่งเร้าเสียงเบา
หยางเซียวแย้มยิ้ม กุมมือนางแน่น ซูหลีออกแรงเล็กน้อย ร่างกายของเขาก็โผล่พ้นผิวน้ำ
น้ำทะเลสาบหนาวเย็นจับใจ มือของเขากลับร้อนรุ่ม กุมมือนางไว้แน่น สิบนิ้วเกาะเกี่ยวกัน ให้ความรู้สึกเหมือนมือของคนผู้นั้นที่อยู่ในความทรงจำยิ่งนัก ทั้งอบอุ่น ทรงพลัง และมักทำให้นางอุ่นใจได้เสมอ…หัวใจของนางพลันบีบรัด นางรีบเก็บงำความคิด หมายจะสลัดมือเขาออก
สายตาของหยางเซียวไหวระริก เขากุมมือนางแน่นกว่าเดิม
“ท่านจะทำอะไร?” นางขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขากล่าวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “หายากนักที่เจ้าจะเป็นฝ่ายยื่นมือมาให้ข้าก่อน ข้าจะปล่อยมือเจ้าง่ายๆ ได้เช่นไร?”
ภายใต้แสงจันทร์ รอยยิ้มของเขาสว่างสดใส แฝงไว้ด้วยความบริสุทธิ์และจริงใจ
ไม่เหลือเค้าความขี้เล่นซุกซน หยางเซียวที่อบอุ่นเช่นในตอนนี้ ทำให้หัวใจของซูหลีสั่นไหวเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม เขากุมมือนางไว้อย่างนั้น เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมปล่อย
ด้านหลังคล้ายมีลมหนาวพัดผ่าน ทั้งสองพลันระแวดระวัง เมื่อหันกลับไป กลับค้นพบว่าเซี่ยฝูอันมาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ สายตาของเขากวาดมองผ่านมือของทั้งสองที่กุมกันแน่น
“ดึกมากแล้ว เหตุใดผู้ดูแลเซี่ยจึงไม่นอน กลับมาอยู่ที่นี่ได้?” สายตาของหยางเซียวเย็นเยียบทันใด
“กระหม่อมเป็นโรคนอนไม่หลับ ยามกลางคืนมักหลับยาก เมื่อครู่นอนไม่หลับจึงออกมาเดินเล่น บังเอิญเห็นคนเดินมาทางนี้ ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด จึงได้เดินตามมาดูพ่ะย่ะค่ะ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นท่านธิดาเทพกับองค์ชายสี่…”
“เอาเถิด ในเมื่อมาแล้ว ก็เฝ้าอยู่หน้าประตู อย่าให้ผู้ใดเข้าใกล้ที่นี่ มิเช่นนั้นเจ้าต้องรับผิดชอบ!” หยางเซียวกล่าวอย่างเกียจคร้าน ทว่าแววตักเตือนในน้ำเสียงกลับชัดเจน
ซูหลีประหลาดใจเล็กน้อย สาเหตุที่หยางเซียวเลือกมาที่นี่ในตอนกลางคืน ต้องเป็นเพราะไม่อยากให้ผู้ใดรู้ว่าที่นี่มีกลไกอยู่แล้ว ในเมื่อเรื่องนี้ถูกเก็บเป็นความลับขนาดนี้ แต่เหตุใดเขากลับดูไม่กังวลที่เซี่ยฝูอันปรากฏตัวที่นี่เลยเล่า?
นึกย้อนถึงเรื่องที่หยางเซียวเข้ามาในลัทธิครั้งนี้ นอกจากทูตทั้งสี่และสองผู้อาวุโสแล้ว เขาก็ไม่เคยปิดบังตัวตนของตนเองต่อเซี่ยฝูอันเลย หรือว่า…เซี่ยฝูอันก็เป็นคนของฮ่องเต้เช่นกัน?
“ขอแหวนให้ข้ายืมใช้สักครู่” นางกำลังจมอยู่กับความคิดของตนเอง หยางเซียวก็ถอดแหวนหยกขาวจากนิ้วมือนาง แล้วเดินไปจนถึงสุดทางเดิน จากนั้นก้มลงใส่แหวนลงในรูกลมเล็กๆ
เสียงครืดคราดดังมาจากใต้น้ำ ศาลากลางน้ำอันประณีตงดงามที่ปิดสนิททุกด้านค่อยๆ โผล่พ้นเหนือผิวน้ำ มองแวบแรก กลับดูไม่ออกว่าทำจากวัสดุใด ถึงแม้ศาลาปิดแน่น แต่ผนังทั้งสี่ด้านและหลังคาของศาลาล้วนมีแสงส่องเข้าถึง เปล่งรัศมีแสงสีขาวนวลภายใต้ดวงจันทร์
แหวนหยกขาววงนี้กลับเป็นกุญแจสำคัญที่ใช้ในการไขกลไกลับ!
หยางเซียวไม่ลังเลอีก จูงมือนางแล้วพาร่างทะยานขึ้นไปบนศาลากลางน้ำ เขาใส่แหวนลงไปในรูกลมข้างประตู ซูหลีพบว่าข้างรูกลมยังมีรูกลมอีกรูหนึ่ง คล้ายจะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย นางพลันสะดุดใจ นั่นใช่จุดไขกลไกสำหรับแหวนอีกวงหรือไม่?
เสียงแกร๊กดังขึ้นเบาๆ ด้านล่างมีกลไกถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ผนังหยกสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นมา แสงจันทร์ส่องทะลุลงมาจากหลังคา ส่องลงบนผนังหยกแผ่นนั้นพอดี ผ่านไปไม่นาน บนผนังหยกเรียบลื่น ก็พลันมีอักษรสีเขียวสดใสตัวเล็กๆ ผุดขึ้นมาหลายบรรทัด!
“เป็นกลไกที่งดงามดังคาด!” หยางเซียวอุทานไม่ขาดปาก ตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก “เป็นอย่างไรบ้าง อาหลีน้อย?”
ซูหลีเองก็พยักหน้า แล้วกล่าวอย่างยอมรับ “งดงามมากจริงๆ เทียบกับกลไกในเส้นทางลับของเฉินเหมิน งดงามกว่าอย่างไร้ที่ติ” นางเดินเข้าไปใกล้ผนังหยก ลูบไล้และสังเกตอย่างละเอียด อักษรที่ปรากฏบนผนังหยกกลับเป็นวิธีผสมผสานวิชา‘ขี่วายุ’ และ ‘เมฆาลอย’ ให้เป็นหนึ่งเดียว!
ซูหลีพลันยินดี บรรจงอ่านอักษรบนผนังอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ที่แท้หากต้องการหลอมรวมวิชาขี่วายุและเมฆาลอย ก็จำต้องอาศัยคืนพระจันทร์เต็มดวง ปรับลมปราณต่อหน้าผนังหยก จนกว่าจะเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง และระหว่างเคลื่อนลมปราณก็จำต้องมีคนที่มีกำลังภายในสูงส่งคอยคุ้มกัน เพื่อป้องกันธาตุไฟเข้าแทรกจนลมปราณแตกซ่าน
“เริ่มกันเถิด” หยางเซียวเก็บงำรอยยิ้ม แล้วนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น ซูหลีเองก็นั่งลงตรงหน้าเขาตามที่อักษรบนผนังบอก แล้วค่อยๆ หลับตาลง
พวกเขาสองคนยกฝ่ามือทั้งสี่ข้างประกบกัน ซูหลีลองขับเคลื่อนลมปราณและพลังภายในตามวิธีที่อ่านจากผนังหยก นางรู้สึกได้ถึงสายลมเย็นที่พัดผ่านแผ่นหลัง จุดหลิงไถ[1]พลันปลอดโปร่ง ราวกับมีพลังงานลึกลับขุมหนึ่งเข้าสู่ร่างกาย ลมปราณไหลเวียนรอบกาย นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังงานสองขุมในร่างกายกำลังปะทะกันเบาๆ ไม่ได้รุนแรงเช่นครั้งก่อนๆ นางลอบดีใจ ดูท่า หากฝึกเคลื่อนลมปราณอย่างราบรื่นเช่นนี้ไปอีกไม่กี่สัปดาห์ นางก็คงก้าวผ่านก้าวแรกได้สำเร็จ
ตอนแรกทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่จู่ๆ ไม่รู้เพราะเหตุใด กำลังภายในสองขุมที่เดิมสงบนิ่งพลันป่วนพล่านอย่างรุนแรง นางตกตะลึง พยายามเพ่งสมาธิ แต่กลับยากจะสงบลงได้
หยางเซียวสัมผัสได้ทันทีว่าสถานการณ์ไม่ปกติ รีบเคลื่อนย้ายลมปราณเข้าไปในตัวซูหลี พยายามควบคุมลมปราณอันปั่นป่วนของนางอย่างสุดกำลัง ทว่ากลับถูกพลังงานภายในอันรุนแรงของนางสะท้อนกลับจนล้มหงายหลัง
ซูหลีหน้ามืด เลือดลมป่วนพล่านอย่างไม่อาจควบคุม นางอ้าปากกระอักเลือดออกมา ร่างกายล้มนอนอย่างอ่อนแรงทันที
สถานการณ์พลิกผันกะทันหัน หยางเซียวแตกตื่น รีบพุ่งเข้าไปประคองนาง หยดเลือดที่นางกระอักออกมาบนพื้นแดงสดสะดุดตา เสียดแทงหัวใจของเขาจนรู้สึกแน่นหน้าอก
“อาหลี เจ้าเป็นอะไรไป? ได้ยินข้าหรือไม่?” เขาขานเรียกด้วยความร้อนใจ
เงาสีดำสายหนึ่งพุ่งทะยานเข้ามาดั่งธนูแหลม หยางเซียวไม่ทันเห็นว่าเขาลงมือเช่นไร เซี่ยฝูอันก็รีบสกัดจุดลมปราณบนร่างกายซูหลีอย่างรวดเร็วแล้ว
เบื้องหน้าสายตาของซูหลีมืดสลัว จุกแน่นหน้าอกและเจ็บปวดจนพูดไม่ออก นางลืมตาเล็กน้อย ท่ามกลางครรลองสายตาอันพร่าเลือน ใบหน้าของเซี่ยฝูอันลอยไหวเหมือนดังระลอกน้ำ มีเพียงนัยน์ตาร้อนรนดั่งเปลวไฟของเขาที่เปล่งประกายบีบคั้นผู้คน
ดวงตาของเขา ช่างเหมือน…คนผู้นั้นเหลือเกิน!
ครั้นเห็นซูหลีไม่ตอบสนอง หยางเซียวรีบถามอย่างร้อนใจ “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซี่ยฝูอันเองก็สูญเสียความสุขุมเยือกเย็นในยามปกติไปเช่นกัน เขาถามเสียงเครียด “ตอนนี้รู้สึกเช่นไรบ้าง?”
ทั้งสองคนถามขึ้นพร้อมกัน ต่างก็อดอึ้งงันไม่ได้ หยางเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย แววสงสัยพาดผ่านดวงตา
“ไม่ ไม่เป็นไร…ส่งข้ากลับตำหนักก่อน” ซูหลีพยายามอย่างมากที่จะกล่าวประโยคนี้ออกไป เหงื่อเย็นไหลอาบเส้นผมตรงขมับทั้งสองข้าง นางกัดฟันอดทน สติสัมปชัญญะกลับค่อยๆ เลือนหาย
หยางเซียวหมายจะยื่นมือไปโอบเอวนาง นึกไม่ถึงเซี่ยฝูอันกลับเร็วกว่า เขาดึงร่างซูหลีเข้าไปในอ้อมแขน ช้อนตัวอุ้มนางขึ้น แล้วกล่าวเสียงเข้ม “ท่านธิดาเทพบาดเจ็บไม่น้อย มิอาจเสียเวลา กระหม่อมจะส่งนางกลับตำหนักเซิ่งซินทันที รบกวนองค์ชายสี่ล่วงหน้าไปเชิญทูตวิญญาณมาด้วย” เอ่ยจบ เขาก็สาวเท้ายาวๆ เดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก
วาจานั้นกล่าวอย่างเกรงใจ แต่น้ำเสียงของเขากลับปิดบังความเผด็จการและความแข็งกร้าวเอาไว้ไม่อยู่ หยางเซียวขมวดคิ้ว มือที่เอื้อมออกไปค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ บนทางเดินเบื้องหน้า เงาร่างของเซี่ยฝูอันหายลับเข้าไปในทางเลี้ยวแล้ว
…………………………………………………

[1] จุดหลิงไถ จุดกึ่งกลางกระดูกสันหลัง

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset