“เกาะศักดิ์สิทธิ์! เหตุใดสหายจึงถามเช่นนี้?” หานลี่ใจเต้น แต่สีหน้ากลับไม่เผยความผิดปกติอันใดออกมาขณะย้อนถาม
“สหายไม่อยากบอกก็ช่างเถิด ทว่าข้ามีเรื่องอยากคุยกับสหาย ไม่ทราบว่าคืนนี้สนใจมารวมตัวกันที่ตำหนักหมื่นวิญญาณหรือไม่?” บรรพชนตระกูลหล่งดูเหมือนจะหัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วถามย้อนกลับอีกครั้ง?
“ตำหนักหมื่นวิญญาณ!” หานลี่ได้ฟังก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในหัวมีความคิดไหลไปมาอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เรียกว่าตำหนักหมื่นวิญญาณก็คือตำหนักที่สร้างขึ้นบนกำแพงหุบเขา
อาวุโสผู้ดูแลตระกูลต่างๆ ที่มาถึงหุบเขาก่อน ก็พากันปรึกษาพิธีการกันในตำหนักใหญ่ ยามนี้คาดไม่ถึงว่าบรรพชนตระกูลหล่งจะเป็นฝ่ายเชิญเขาให้ไปที่ตำหนักด้วยตนเอง ดูแล้วเรื่องที่จะพูดคุยคงไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ๆ
“พี่หล่งเปิดเผยเนื้อหาให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ ผู้แซ่หานจะได้ตัดสินใจ เช่นนี้เป็นอย่างไร?” หานลี่กลับไม่ปฏิเสธ แต่ต้องตอบอย่างระมัดระวัง
“แม้ว่าจะไม่อาจพูดเนื้อหามากนัก แต่ผู้แซ่หล่งก็บอกสหายได้ว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องราวหลังจากเคราะห์มารปะทุ และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นประโยชน์ต่อพี่หานเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งเกี่ยวข้องกับโอกาสที่พวกเราจะบรรลุระดับมหายาน?” หลังจากที่บรรพชนตระกูลหล่งเงียบขรึมแล้วถึงได้เอ่ยอย่างเยือกเย็นออกมา
“ระดับมหายาน!” แม้ว่าหานลี่จะเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ได้ยินคำนี้ก็อดที่จะหางตากระตุกถี่ๆ ไม่ได้
“ใช่แล้ว ตาเฒ่านัดสหายคนอื่นๆ ให้มาแล้ว ในเมื่อสหายฝึกฝนร่างแยกที่สองได้และยังมีเทวรูปร่างทอง แน่นอนว่าย่อมมีคุณสมบัติในการเข้าร่วม” อาวุโสตระกูลหล่งพลันเอ่ยขึ้น
“เยี่ยม ในเมื่อพี่หล่งกล่าวเช่นนี้ อีกเดี๋ยวก็ไปรวมตัวที่ตำหนักเถิด” หานลี่กดความตกตะลึงเอาไว้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ในที่สุดถึงได้ตัดสินใจตอบกลับ
“หึๆ สหายกระทำเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องที่ชาญฉลาดนัก เนื้อหาที่พวกเราพูดคุยกันจะต้องทำให้สหายสนใจได้แน่” บรรพชนตระกูหล่งดูเหมือนจะพึงพอใจกับคำตอบหานลี่เป็นอย่างมาก หลังจากหัวเราะน้อยๆ ออกมา ก็ไม่ได้ถ่ายทอดเสียงมาอีก
พิธีจิตวิญญาณเที่ยงแท้หลังจากนี้ก็ง่ายดายขึ้นมาแล้ว
หลังจากที่อาวุโสประจำตระกูลเหล่านี้แบ่งทรัพยากรและผลประโยชน์กันแล้ว ก็จัดพิธีการตามปกติอีกครั้ง พิธีจึงเสร็จสิ้นลง
เซียนเสี่ยวเฟิงหาที่ลับตาเพื่อมอบตำราของโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้และของอื่นๆ ที่ตกลงไว้ในตอนแรกให้เขาอย่างง่ายดาย
และยิ่งไปกว่านั้นผู้ดูแลตระกูลกู่ผู้นี้ ก็อดไม่ไหวเรียนเชิญหานลี่เข้าร่วมตระกูลกู่อีกครั้ง และบอกอย่างเปิดเผยว่าหากหานลี่ตกลง ไม่เพียงจะปฏิบัติต่อเขาเช่นอาวุโสระดับสูงของตระกูลกู่ และยิ่งไปกว่านั้นหานลี่จะอยู่ใต้อาณัติของคนเพียงคนเดียวแต่อยู่เหนืออาณัติคนอีกหมื่นคนในตระกูลกู่อย่างแน่นอน
หานลี่ได้ยินคำนี้ ก็ฉีกยิ้มแล้วปฏิเสธไปอีกครั้ง
นี่จึงทำให้เซียนเสี่ยวเฟิงผิดหวัง และทำได้เพียงถอยให้โดยการเชิญหานลี่มาเยี่ยมเยียนตระกูลกู่บ้างหากมีโอกาส แสดงเจตนาว่าอยากมีความสัมพันธ์อันดีกับหานลี่
ด้วยเหตุนี้หานลี่ย่อมพยักหน้าตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
ดังนั้นเวลาต่อจากนี้ตระกูลเหล่านี้จึงเริ่มออกจากหุบเขาหมื่นวิญญาณ แล้วกลับไปทางเดิม
และตระกูลส่วนใหญ่กลับเตรียมจะพักอยู่ที่หุบเขาหมื่นวิญญาณอีกสองสามวัน เพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรและประสบการณ์ในการฝึกบำเพ็ญเพียรให้กันและกัน ก็นับว่าไม่ทำให้ศิษย์ธรรมดาๆ ในตระกูลต่างๆ เสียประโยชน์
ตระกูลกู่ก็ไม่ได้จากไปทันทีเช่นกัน แต่พักอยู่ในสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่งในหุบเขาชั่วคราว
หานลี่ก็พักอยู่ในหอคอยเล็กๆ แห่งหนึ่งเพียงลำพังเช่นกัน
แต่คืนนั้นเขากลับออกจากหอคอยอย่างเงียบเชียบ บินไปอีกด้านของตำหนักหมื่นวิญญาณ
เมื่อเขาเข้าประชิดตำหนัก คาดไม่ถึงว่าตรงทางเข้าจะมีคนยืนอยู่ก่อนแล้ว ราวกับว่ากำลังรอคอยเขา
หานลี่มองเห็นโฉมหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ก็อดที่จะแววตาเปล่งประกายไม่ได้
คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นอาวุโสฮุยของตระกูลหล่ง
“สหายหานเป็นคนรักษาสัญญาดังคาด พี่หล่งและสหายคนอื่นๆ มารออยู่แล้ว” บุรุษสวมชุดสีดำไม่มีสีหน้าไม่เป็นมิตรเหมือนตอนแรก กลับคารวะหานลี่ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“อันใดพี่หล่งนัดผู้อื่นไว้หรือ หรือว่า…” หานลี่ใจเต้น เอ่ยถามอย่างมีความคิดในใจ
“ฮ่าๆ พี่หานเป็นผู้ที่ชาญฉลาดจริงๆ ไม่ต้องให้ข้าพูดอันใดให้มากความ เชิญเถิด!” บุรุษชุดดำหัวเราะหึๆ แล้วเบี่ยงกายส่งสัญญาณมือเป็นการเชิญ
“เช่นนั้นก็รบกวนสหายให้นำทางแล้ว!” หานลี่พยักหน้า แล้วเอ่ยโดยไม่มีสีหน้าประหลาดใจใดๆ อีก
ส่วนอาวุโสแซ่ฮุยก็ไม่ได้สนใจท่าทางเย็นชาของหานลี่ ทั้งสองเดินเข้าไปในตำหนักตามลำดับ
ทั้งตำหนักเงียบสงบเป็นพิเศษ เดิมที่ควรจะมีผู้คุ้มกันก็ไม่มี เห็นได้ชัดว่าถูกไล่ให้ออกไปจากที่นี่ก่อนแล้ว
หานลี่ที่มีบุรุษชุดดำนำทาง เข้าไปในตำหนักลับด้านข้าง
ตรงนั้นมีคนสามคนกำลังนั่งล้อมโต๊ะหินขนาดยักษ์อยู่
เมื่อเห็นหานลี่และพวกทั้งสองเดินเข้ามาก็กวาดสายตามองมา
หานลี่พิจารณาเล็กน้อยรูม่านตาอดที่จะหดเล็กลงไม่ได้
ในบรรดาทั้งสามคนบรรพชนตระกูลหล่งที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกนั้นไม่ต้องพูดถึง คนที่เหลืออีกสองคนคือหญิงสาวสวมชุดขนนกของตระกูลเยี่ย รวมทั้งบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงสวมมงกุฎสีเงินของตระกูลหลินผู้นั้น
ประกอบกับหานลี่และผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ฮุย ที่นี่พลันมีผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพละกำลังระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางขึ้นไปรวมตัวกันอยู่ห้าคน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
หญิงสาวสวมชุดขนนกเห็นหานลี่ แววตาก็เปล่งประกาย พลางหัวเราะคิกคัก
ส่วนบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงพลันมองมาอย่างราบเรียบแวบหนึ่ง หานลี่พลันชักสายตากลับมาทันที ดูไม่ออกว่ามีทัศนคติอย่างไรกับหานลี่
กลับเป็นบรรพชนตระกูลหล่งที่เห็นหานลี่เข้ามา ใบหน้าเผยสีรอยยิ้มออกมา และเอ่ยเรียกทักทาย
“สหายหานมาแล้ว เชิญนั่งเถิด”
หานลี่ได้ยินพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา เดินมาอยู่อีกด้านของโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน แล้วนั่งลงด้วยสีหน้าราบเรียบ
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ฮุยอยู่ข้างกายของบรรพชนตระกูลหล่งด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“ตัวประหลาดเฒ่าหล่ง ครั้งนี้เจ้านัดพวกเรามาตั้งหลายคน เกิดอันใดขึ้นกันแน่ พูดมาตรงๆ เถิด!” บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงของตระกูลหลินกลับเอ่ยปาก ดูเหมือนว่าจะมีท่าทางหมดความอดทน
“หึๆ สหายหลินอย่างรีบร้อน ข้าจะแนะนำให้ฟังทีละคน จากนั้นตาเฒ่าจะอธิบายทุกอย่างให้ฟัง” บรรพชนตระกูลหล่งกลับหัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“อันใด ยังมีคนไม่มาหรือ? พี่หล่ง ครั้งนี้เจ้านัดมากี่คนกันแน่ คงไม่ใช่พี่น้องตระกูลเฟิงหรอกนะ” หญิงสาวสวมชุดขนนกกะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“แม้ว่าพี่น้องตระกูลเฟิงจะร่วมมือกัน อิทธิฤทธิ์จะไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นกลาง แต่เคล็ดวิชาพวกเขาร่วมมือกันนั้นมีข้อจำกัดมากเกินไป และยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังมีมากเกินไม่ได้ ตาเฒ่าจึงไม่ได้นัดพวกเขาสองคนมา ส่วนคนที่ข้าจะแนะนำกลับมาถึงตั้งนานแล้ว สหายเชียนชิวเจ้าเองก็ออกมาพบทุกท่านเถิด” บรรพชนตระกูลหล่งสั่นศีรษะ แต่จากนั้นก็หันหน้าไปยังมุมหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะไร้ผู้คน
ประโยคนี้ย่อมทำให้หานลี่และพวกตกตะลึง แล้วมองไปพร้อมกัน
เห็นเพียงมุมหนึ่งที่มืดสลัวของตำหนักข้าง มีกลิ่นอายที่อ่อนแอเป็นอย่างยิ่งแผ่ออกมา จากนั้นรัศมีลำแสงสีเหลืองพลันเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีกระจกสัมฤทธิ์สีเหลืองปรากฏขึ้นกลางอากาศ
จากนั้นกระจกพลันรางเลือนเปลี่ยนรูปไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นหญิงสาวสวมชุดสีเหลืองคนหนึ่ง
หานลี่เห็นสตรีผู้นี้ รูม่านตาพลันอดที่จะหดเล็กลงไม่ได้
“สตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าวิญญาณ! สหายหล่ง เจ้ามีเจตนาใด?” บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงเห็นหญิงสาวก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ยืนขึ้นจากที่นั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หญิงสาวสวมชุดสีเหลืองผู้นี้คือสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอาวุธวิญญาณที่เคยปรากฏตัวในงานประมูลหมื่นสมบัติ
ส่วนอาวุโสของตระกูลหลินผู้นี้เห็นได้ชัดว่าได้เข้าร่วมงานประมูลครั้งนั้น ถึงได้มองปราดเดียวก็รู้จักสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิว
“สหายไม่ต้องกังวล สตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ ก็เพราะเรื่องของพวกเรา หากสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ลงมือ เรื่องนี้ก็ไม่อาจพัฒนาต่อได้” บรรพชนตระกูลหล่งกลับเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
แต่สีหน้าของคนอื่นๆ ที่อยู่ในตำหนักก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะสิ่งนี้ ไม่เพียงหานลี่จะเผยสีหน้าระมัดระวังตัวออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวสวมชุดขนนกก็หายไปเช่นกัน บุรุษผมยุ่งเหยิงยิ่งแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา สายตาที่มองหญิงสาวสวมชุดสีเหลือง เต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร
มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ฮุยที่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วที่มีสีหน้าไร้ซึ่งความประหลาดใจ
“ทุกท่านอย่าเห็นข้าเป็นคนอื่นเลย แม้ว่าข้าจะเป็นคนของเผ่าอาวุธวิญญาณ แต่กล่าวถึงต้นกำเนิด ร่างของข้ากลับมาจากสมบัติติดตัวของอรหันต์ชันเทียนของเผ่าท่านในตอนนั้น แค่หลังจากที่อรหันต์เพลี่ยงพล้ำไปหลายปี ถึงได้โชคดีมีสติปัญญาเป็นของตนเอง กลายเป็นสมาชิกของเผ่าอาวุธวิญญาณ” หญิงสาวชุดเหลืองกลับคารวะหานลี่และพวก แล้วพลันเอ่ยด้วยท่าทีสง่างาม
“อรหันต์ชันเทียน? หรือว่าคือสิ่งมีชีวิตระดับมหายานที่ก่อตั้งเมืองเทวะสวรรค์ในอดีต!” หญิงสาวสวมชุดขนนกพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นพลันเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาขณะเอ่ย
“ใช่แล้ว คือใต้เท้าผู้นั้น มิเช่นนั้น เชียนชิวจะเป็นทูตสัมพันธไมตรีของเผ่าวิญญาณและถูกส่งมาที่เผ่าของท่านได้อย่างไร” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“เผ่ามนุษย์ของพวกเราเริ่มมีความสัมพันธ์กับเผ่าท่านตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดพวกเราถึงไม่รู้ข่าว?” บุรุษผมยุ่งมีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย
“เรื่องนี้เป็นพันธสัญญาระหว่างจักรพรรดิเทียนหยวนเซิ่งของเผ่าท่าน จักรพรรดิเสวียนอู่ป้า รวมทั้งผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานคนอื่นๆ ที่ทำขึ้นที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าท่าน แต่เพราะว่าเหตุผลอื่น เดาว่าการประกาศอย่างเป็นทางการจึงต้องใช้เวลาอีกนาน ถึงยามนั้น สหายทุกท่านย่อมรู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริง” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวอธิบายด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ในเมื่อเจ้ามาปรากฏตัวที่งานหมื่นสมบัติได้ พันธมิตรของเผ่าวิญญาณคงเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าก็เร็วแล้ว ทว่าพี่หล่งพาสตรีศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในหุบเขาหมื่นวิญญาณ จะไม่เสี่ยงเกินไปหรือ? ถึงอย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นสถานที่จัดพิธีของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของพวกเรา!” หญิงสาวสวมชุดขนนกเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไปเล็กน้อย
“เซียนเยี่ยโปรดวางใจ! สหายเชียนชิวเพิ่งได้เข้ามาในหุบเขาหมื่นวิญญาณหลังจากที่พิธีจบลง และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่พวกเราคุยเสร็จก็จะจากไปทันที ไม่มีทางเกิดปัญหาอันใดแน่” บรรพชนตระกูลหล่งเอ่ยอย่างราบเรียบ ดูเหมือนว่าจะคาดเดาคำถามนี้เอาไว้ตั้งนานแล้ว
“เอาละ ในเมื่อพี่หล่งกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอันใดจะถามอีก สหายเล่าเรื่องราวที่จะบอกพวกเรามาให้ละเอียดเถิด” หญิงสาวสวมชุดขนนกขมวดคิ้วดำขลับ ถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมา
หลังจากที่บุรุษผมยุ่งเหยิงแววตาเปล่งประกาย ก็นั่งลงอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง ดูเหมือนว่าจะยอมรับคำอธิบายเมื่อครู่
บรรพชนตระกูลหล่งเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้า แต่ก็อ้าปากเอ่ยสิ่งที่ทำให้บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงเกือบจะกระโดดโหยงขึ้นมาอีกครั้ง
“ความจริงแล้วเรื่องนี้ซับซ้อนมาก! ตาเฒ่านัดสหายทุกท่านมาที่นี่ ก็เพราะอยากให้พวกเราเข้าไปในแดนมารหลังจากที่เคราะห์มารปะทุขึ้นแล้ว แดนมารโบราณกับแดนวิญญาณเชื่อมโยงกัน!”