“เจ้านี่ก็นะ ไม่รู้จักหัดส่องกระจกดูสภาพตัวเองบ้างว่าเป็นเช่นไร ?” เจียงป่าวชิงพูดอย่างเหน็บแนม “ข้าให้ท่าเจ้าอย่างนั้นรึ ? คำนี้หลุดออกไปจะมีใครเขาเชื่อ ? ต่อให้ข้าโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต ข้าก็จะไม่มีวันชอบเจ้าแม้แต่ปลายเส้นผม”
ซุนต้าตงเปียกปอนเหมือนไก่ตกน้ำตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเจ้าปัญญาอ่อนเจียงป่าวชิงจะกล้าดูถูกเขาขนาดนี้ เขาโกรธมากจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ถีบรั้วบ้านอย่างโหดเ**้ยม “เจ้าปัญญาอ่อน เจ้ามันคนบ้า หาเรื่องใส่ตัวแล้ว!”
สายตาของเจียงป่าวชิงหันไปเห็นไม้กวาดขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในซอกลานบ้านพอดีจึงเดินไปที่นั่นและเตรียมกวาดซุนต้าตงราวกับว่าเขาเป็นขยะไร้ค่า
แต่ในขณะนี้ ประตูบ้านข้าง ๆ กลับเปิดออก จากนั้นไป๋จีก็เดินมาทางนี้ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
เจียงป่าวชิงไม่รู้ว่าตนเองควรทักทายไป๋จีอย่างไรในตอนนี้ นางรู้สึกเก้อเขินอยู่เล็กน้อย อาจะเป็นเพราะท่าทางของไป๋จีนั้นแลดูยิ่งใหญ่เกินไป ซุนต้าตงจึงตกใจจนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “เจ้า เจ้าเป็นใคร ?!”
ไป๋จีไม่ตอบอะไร เขาทำเพียงยกเท้าขึ้นมาถีบลงไปตรงหน้าอกของซุนต้าตงจนซุนต้าตงกระเด็นไปไกล
ซุนต้าตงรู้สึกเจ็บจนต้องแหกปากร้องโหยหวน ตัวของเขากระทุ้งลงไปบนพื้นอย่างแรง โดนเข้าขนาดนี้ แม้แต่คนตาบอดสีก็คงจะรู้ว่าซุนต้าตงเจอกับเรื่องต้องห้ามเข้าแล้ว
ซุนต้าตงนอนร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือดอยู่บนพื้น มีไป๋จียืนอยู่ด้านข้าง เขาพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เจ้านายของข้าบอกว่าถ้าหากเจ้าโผล่มาโวยวายไม่เข้าเรื่องที่นี่อีก เขาจะหักขาหมาของเจ้าตามจำนวนครั้งที่เจ้าโผล่มา ไสหัวไป!”
ซุนต้าตงตกใจจนใบหน้าถอดสี เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากบนพื้น จากนั้นก็วิ่งไปข้างหน้า ขนาดวิ่งจนรองเท้าหลุดเขาก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
เจียงป่าวชิงมองไป๋จีอย่างชื่นชม เป็นอย่างที่นางคิดไว้จริง ๆ ว่าการใช้ความรุนแรงในการกดขี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิผลมากตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน
ซุนต้าตงหนีไปแล้ว ก็เหลือเพียงเจียงป่าวชิง เจียงหยุนชาน และไป๋จี
สีหน้าของเจียงหยุนชานยังคงเขียวอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ยังขอบคุณไป๋จีอยู่ดี
เจียงป่าวชิงเองก็ขอบคุณไป๋จีอย่างเกรงใจเช่นกัน
ไป๋จีมองเจียงป่าวชิงก่อนจะพูดขึ้นอย่างเกรงใจ “ไอ้นักเลงหัวไม้คนนี้มาตามสาวใช้บ้านข้า ไม่คิดว่าจะทำให้แม่นางเจียงลำบากใจเช่นนี้ไปด้วย หากว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในครั้งหน้า แม่นางเจียงพาเข้ามาในบ้านข้าได้เลย ข้าจะทำให้มันกลับออกไปไม่ได้อีกตลอดกาล”
ตอนที่ไป๋จีพูดคำว่ากลับออกไปไม่ได้อีกตลอดกาล น้ำเสียงของเขาราบเรียบมาก
เจียงป่าวชิงนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่นางเจอกับไป๋จีและกงจี้ในครั้งแรก ตอนนั้นพวกเขาต้องการฆ่าปิดปากนาง… เพียงเพราะนางบังเอิญเห็นพวกเขาทิ้งศพใครบางคน
เจียงป่าวชิงตระหนักได้อีกครั้งว่านางกับพวกกงจี้ไม่เหมือนกัน
…
ไป๋จีกลับไปแล้ว เจียงหยุนชานมองเจียงป่าวชิงและถอนหายใจออกมายาว ๆ “เป็นผู้มีความรู้ไร้ประโยชน์ กำลังวังชาที่ทำให้คนตกใจกลัวกลับมีประโยชน์มากกว่า”
เจียงป่าวชิงเห็นพี่ชายที่เหมือนหนอนหนังสือพูดคำพูดพวกนี้ออกมา นางก็อดที่จะหัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้ “พี่ หรือว่าพี่อยากทิ้งพู่กันแล้วไปเป็นทหารล่ะเจ้าคะ ?”
เดิมทีเจียงป่าวชิงคิดว่าเป็นเพียงคำพูดหยอกล้อ แต่นางไม่คิดเลยว่าเจียงหยุนชานจะครุ่นคิดคำถามนี้อย่างตั้งใจ แต่ทว่าผ่านไปสักพัก เจียงหยุนชานก็ค่อย ๆ ส่ายหน้าอย่างช้า ๆ และพูดขึ้น “อืม… บนโลกใบนี้มีเส้นทางตั้งมากมาย ใช่ว่าทุกทางจะเหมาะกับข้า” เขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับเจียงป่าวชิงด้วยท่าทางจริงจัง “ป่าวชิง เจ้าไม่ต้องห่วง แม้ว่าข้าจะกระดูกหักทั้งตัว แต่ข้าก็จะไม่ให้ใครมารังแกเจ้าเด็ดขาดเลย”
เจียงป่าวชิงรู้สึกตื้นตันใจ
ฝูฉูมีกงจี้กับไป๋จีออกหน้าให้ นางก็มีพี่ชายของนางที่คิดแทนให้เหมือนกัน
ด้วยเหตุวุ่นวายที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้เอง ที่ข้างโต๊ะอ่านหนังสือของเจียงหยุนชานจึงมีเคียวมาเพิ่มหนึ่งเล่ม เขาอาจจะเป็นผู้มีความรู้ที่ไร้ประโยชน์ก็จริง แต่เขายังคงสามารถใช้วิธีของตัวเองเพื่อปกป้องน้องสาวของเขาได้
ช่วงเวลาของการฝังเข็มในช่วงบ่าย เจียงป่าวชิงยังคงปฏิบัติตามความประพฤติของคนเป็นหมอรักษาโรคได้ตามปกติ ตอนที่ฝังเข็มให้กงจี้ นางทำอย่างละเอียดรอบคอบ แต่นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ได้สื่อสารอะไรกับเขาอีก
กงจี้เองก็ไม่สนใจนาง แต่ตอนที่สายตาของเขาจ้องมองนางโดยบังเอิญ แสงในดวงตาของเขากลับมีความอึมครึมอยู่เล็กน้อย
ตอนนี้สองขาของเขาเป็นสีเขียวน่ากลัวมากกว่าตอนแรก แต่มันหมายความว่าดีขึ้นเยอะแล้ว
ฝูฉูดูแลเรื่องน้ำชาอยู่ด้านข้าง นางส่งถ้วยน้ำชาให้เจียงป่าวชิงก่อนจะพูดว่า “แม่นางเจียง ลำบากเจ้าสักหน่อยนะ”
เจียงป่าวชิงรู้สึกระหายน้ำอยู่พอดี จึงพูดขอบคุณและรับน้ำชามาดื่ม
ฝังเข็มเสร็จแล้วต้องรออีกเป็นเวลาประมานสองก้านธูปถึงจะสามารถเอาเข็มออกได้ เจียงป่าวชิงจึงไปนั่งลงหลังโต๊ะหนังสือและอ่านตำราแพทย์
ฝูฉูเดินถือกาน้ำชามาเติมให้เจียงป่าวชิง นางพูดขึ้นเสียงเบา “วันนี้ข้าก่อเรื่องยุ่งยากให้แม่นางเจียงแล้ว ชายคนนั้นตามติดข้าที่ในหมู่บ้านตลอด ข้าไม่คิดว่าเขาจะตามมาถึงที่นี่”
เจียงป่าวชิงมองฝูฉูเล็กน้อย “ไม่มีอะไรเลยพี่ฝูฉู… นี่ไม่ใช่ความผิดพี่ เป็นซุนต้าตงคนนั้นต่างหากที่ไม่ดี”
ฝูฉูเม้มริมฝีปาก ขนตายาวของนางสั่นไหว “โชคดีที่ท่านชายส่งไป๋จีไปออกหน้าให้ข้า”
เจียงป่าวชิงยิ้มบาง ๆ นางพยักหน้าและพูดชมอย่างคล้อยตาม “อื้ม ท่านชายของพี่ดีกับพี่มากจริง ๆ”
กงจี้ชำเลืองมองเจียงป่าวชิงเล็กน้อยจนเจียงป่าวชิงรู้สึกมึนงงอยู่นิดหน่อย
ทว่ามีความเยาะหยันปรากฏขึ้นในดวงตาของกงจี้ จากนั้นเขาก็เบี่ยงสายตาไปทางอื่น
อะไรกัน ?!
เจียงป่าวชิงรู้สึกยากที่จะเข้าใจ เขาป่วยหรือเปล่า หรือว่านางไม่ได้ชมเขาอย่างนั้นรึ ?
สายตาอะไรของเขานั่น… น่าหมั่นไส้จริง!
เจียงป่าวชิงส่ายหน้าไปมา ความคิดของคนโรคจิตไม่สามารถคาดคะเนได้ด้วยความคิดของคนทั่วไปจริง ๆ ด้วย
หลังจากดึงเข็มแล้ว เจียงป่าวชิงก็วัดชีพจรให้กงจี้และทิ้งใบสั่งยาไว้ นางไม่ได้พูดถึงอย่างอื่นและกำลังจะบอกลา แต่ฝูฉูกลับเรียกนางไว้เสียก่อน “ประเดี๋ยวแม่นางเจียง”
เจียงป่าวชิงมองฝูฉู
ฝูฉูรู้สึกเกรงใจอยู่เล็กน้อย “วันพรุ่งข้าจะไปซื้อผักกับผลไม้ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าตอนที่แม่นางเจียงไปซื้อผักจะสามารถเรียกข้าให้ไปด้วยกันได้หรือไม่ ?”
“เอ่อ…” เจียงป่าวชิงลังเลใจเล็กน้อย “ส่วนมากข้าจะไปซื้อผักตอนใกล้ค่ำแล้วเจ้าค่ะ พี่จะว่าอะไรไหมเจ้าคะ ?”
ฝูฉูรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย “แบบนั้นผักก็ไม่สดแล้วสิ เราไปกันตอนเช้าดีกว่า”
เจียงป่าวชิงรู้ว่าเป็นเรื่องปกติที่ตระกูลใหญ่เหล่านี้จะไม่เข้าใจถึงการประหยัดมัธยัสถ์ และนางไม่มีเจตนาที่จะโต้เถียงกับพวกเขาในเรื่องนี้เช่นกัน
เจียงป่าวชิงครุ่นคิดสักครู่ “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ตอนที่พี่จะออกไปแล้ว พี่เรียกข้าก็ได้เจ้าค่ะ ถ้าอยากซื้อผักและผลไม้สด ข้าจะพาไปในสวนผักของชาวบ้าน เพิ่งเด็ดลงมาจากต้น และยังสดจนมีน้ำค้างเกาะอยู่เลยนะ”
ฝูฉูมองกงจี้อย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่ากงจี้พิงหมอนโดยไม่ได้พูดอะไร นางก็เผยรอยยิ้มออกมาและพยักหน้าให้เจียงป่าวชิง “แม่นางเจียง งั้นก็ตามนั้นเลย พรุ่งนี้ข้าจะไปเรียกเจ้าตอนเช้าตรู่แล้วกัน”
……
เช้าวันต่อมา เจียงป่าวชิงเพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จ และกำลังให้อาหารเจ้าเสี่ยวหวงกับเจ้าเสี่ยวป๋าย ก็เห็นฝูฉูถือตะกร้าไม้ไผ่มายืนเรียกนางอยู่ตรงนอกบ้าน
วันนี้ฝูฉูแต่งตัวเรียบง่ายมาก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการแต่งตัวของพวกสาว ๆ อายุไม่มากในหมู่บ้านเดียวกันเลย แต่ฝูฉูนั้น นางเป็นหญิงที่รูปโฉมดีมากจริง ๆ เป็นเช่นนี้มีแต่จะเติมความสดใสให้กับดอกบัวที่โผล่พ้นจากน้ำน่ะสิไม่ว่า
เจียงหยุนชานกำลังอ่านหนังสืออยู่ในลานบ้านแต่เช้าตรู่ เขาเงยหน้าขึ้นมามองครั้งแรกก็ตกตะลึงไปทันที ทว่าเขาก็ดึงสติกลับมาเร็วเช่นกัน เขารีบก้มหน้าเพราะไม่กล้าล่วงเกินนางด้วยสายตา
เจียงป่าวชิงลุกขึ้นและโบกมือให้ฝูฉูที่อยู่ตรงนอกบ้าน “พี่ฝูฉู รอข้าสักครู่ ข้าขอไปเก็บของก่อนนะเจ้าคะ”
ฝูฉูขานรับเล็กน้อย จากนั้นสายตาของนางก็ไปหยุดที่เจียงหยุนชาน นางจึงยิ้มให้เจียงหยุนชานเพื่อเป็นการทักทาย
เจียงหยุนชานรีบพยักหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก จากนั้นเขาก็รีบหยิบหนังสือกับเคียวที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหินขึ้นมาก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในบ้านทันที
ฝูฉูทันเห็นหลังหูของเขาแดงหน่อย ๆ