ตอนที่ 42 แม่หม้ายซ่ง
เจียงป่าวชิงโบกมือซ้ายให้เฟิ่งเอ๋อร์เล็กน้อย
เฟิ่งเอ๋อร์รู้สึกลังเล นางจึงวิ่งไปถามแม่ตัวเองตามประสาเด็กน้อย “ท่านแม่ ข้าเล่นกับพี่สาวคนนี้ได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?”
เกิดการแยกรุ่นอย่างเห็นได้ชัด ป๋ายรุ่ยฮัวจึงยิ้มอย่างเอ็นดู จากนั้นนางก็เช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนและบีบลักยิ้มของเฟิ่งเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน “เรียกว่าน้าเจียง เจ้าไปเล่นกับน้าเจียงเถอะจ้ะ”
ตอนนี้เฟิ่งเอ๋อร์ถึงจะวิ่งเตาะแตะไปตรงหน้าเจียงป่าวชิงอย่างดีใจ นางเรียกเจียงป่าวชิงด้วยท่าทางเขินอาย “น้าเจียง”
สำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่น่ารักและเชื่อฟังเช่นนี้ เจียงป่าวชิงชอบมาก ถ้าหากไม่ได้รับบาดเจ็บและสุขภาพร่างกายเป็นเหมือนดั่งปกติ นางคงจะอุ้มเฟิ่งเอ๋อร์มาไว้ในอ้อมกอดและหยอกนางเล่นแล้ว แต่ตอนนี้เจียงป่าวชิงถือได้ว่าเป็นคนพิการครึ่งซีก ไหล่ข้างขวาของนางยกไม่ขึ้น จึงได้แค่ลูบหัวเฟิ่งเอ๋อด้วยแขนข้างซ้าย จากนั้นก็หยิบลูกอมออกมาจากในกระเป๋า
ลูกอมนี้มาจากระหว่างทางที่มาบ้านของป๋ายรุ่ยฮัว นางได้เจอกับพ่อค้าหาบเร่ที่เดินขายตามซอกซอยพอดี จึงซื้อลูกอมนี้มา
เฟิ่งเอ๋อร์ตาเป็นประกายทันที แต่นางยังคงรู้สึกเกรงใจอยู่เล็กน้อย
เด็กผู้หญิงวัยสามขวบที่เผชิญหน้ากับของที่ตัวเองชอบ แต่ยังสามารถอดกลั้นไว้ได้เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าแม่ของนางสอนนางมาให้ซื่อตรงและเป็นเด็กดีเพียงใด
“เจ้าเอาไปเถอะจ้ะ” เจียงป่าวชิงยัดลูกอมใส่ในมือเฟิ่งเอ๋อร์ตัวน้อย
จากนั้นเฟิ่งเอ๋อร์ก็วิ่งเตาะแตะออกไป นางถือลูกอมไปที่ห้องครัวเพื่อเอาไปให้แม่ตัวเองดูอย่างดีใจ จากนั้นไม่นาน เสียงของป๋ายรุ่ยฮัวก็ดังมาจากทางห้องครัว “ป่าวชิง บ้านเราเป็นครอบครัวยากจน ถึงกับแทบจะหักทองแดงเพื่อแบ่งไว้ใช้อยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องซื้อของพวกนี้ให้เฟิ่งเอ๋อร์หรอกนะ”
เจียงป่าวชิงพูดยิ้ม ๆ “ไม่เป็นไรหรอกพี่รุ่ยฮัว ระหว่างทางมา ข้าเจอพ่อค้าหาบเร่พอดีจึงซื้อมาเพื่อให้เฟิ่งเอ๋อร์ได้มีอะไรหวาน ๆ ทานเล่นเจ้าค่ะ”
ป๋ายรุ่ยฮัวยิ้มอย่างรู้สึกขอบคุณ นางไม่ได้พูดอะไรอีก
เมื่อมีไมตรีจิตเป็นลูกอมนี้ ความสนิทสนมที่เฟิ่งเอ๋อร์มีต่อเจียงป่าวชิงก็เพิ่มมากขึ้น นางเดินไปรอบ ๆ เจียงป่าวชิง และเอาแต่เรียกว่า “น้าเจียง น้าเจียง” เมื่อฟังแล้วก็ติดหูอยู่พอสมควร
ไม่นาน ป๋ายรุ่ยฮัวก็ถือน้ำต้มตับหมูใส่ผักโขมถ้วยใหญ่มาทางทั้งสอง นอกจากนี้ยังมีขนมปังที่ทำจากแป้งข้าวฟ่างอีกสองสามแผ่น
ตอนแรกป๋ายรุ่ยฮัวยังคงเกรงใจอยู่เล็กน้อย เจียงป่าวชิงต้องพูดกล่อมสักพัก นางถึงจะพาเฟิ่งเอ๋อร์มากินด้วยกัน
หลังจากที่ได้กินอาหารดี ๆ เจียงป่าวชิงถึงค่อยรู้สึกว่าร่างกายมีแรงขึ้นมาหน่อย
…
เมื่อกลับจากบ้านของป๋ายรุ่ยฮัว เดิมทีเจียงป่าวชิงยังอยากไปขุดสมุนไพรที่ส่งผลดีต่อร่างกายและบำรุงเลือดอยู่ แต่เมื่อนางนึกถึงสองคนเมื่อวานก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น และคิดว่าช่วงนี้ไม่เข้าไปในภูเขาชั่วคราวคงจะเป็นการดีที่สุด
โดยเฉพาะชายหนุ่มชุดจีนที่นั่งบนรถเข็นคนนั้น… นั่นคือโรคจิตที่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตาทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้พูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ!
เจียงป่าวชิงคิดพิจารณาสักครู่ สุดท้ายนางก็ไปหยุดอยู่ตรงข้างทางที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน เพื่อขุดสมุนไพรที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างถู ๆ ไถ ๆ กลับไปที่บ้าน
แม้จะบอกว่าบ้าน แต่เหมือนบ้านที่ไหนกันล่ะ ?
หากที่นี่เป็นบ้านนางจริง ๆ เหตุใดแม้แต่น้ำต้มตับหมูที่ช่วยบำรุงเลือด นางถึงกับต้องเลี่ยงออกไปกินที่อื่น ?
จับพลัดจับผลูไปมา เจียงป่าวชิงก็เดินมาถึงหน้าลานบ้านที่สภาพเก่าเหมือนบ้านผีสิงทำนองนั้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางมาที่นี่
ที่นี่เคยเป็น ‘บ้าน’ ของเจียงหยุนชานผู้เป็นพี่ชายกับเจ้าของร่างเดิม แต่หลังจากที่พ่อแม่ของพวกเขาเสียชีวิตไป นางกับพี่ชายก็ได้รับการเลี้ยงดูจากตระกูลเจียง ที่นี่จึงไม่มีคนอยู่เลย ทำให้รกร้างและชำรุดทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว
ประตูบ้านที่เสื่อมโทรมเปิดออกครึ่งหนึ่ง เจียงป่าวชิงเดินเข้าไปในลานบ้าน และทำการสังเกตตัวบ้านที่อยู่ตรงหน้า
มีรูขนาดใหญ่หลายรูบนหลังคา คานบ้านผุเป็นไม้ชำรุดเนื่องจากถูกลมและแดดเป็นเวลานาน อีกทั้งหลังคายังพังลงมาหลายจุด ทั้งบ้านดูเหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ แน่นอนว่าคนไม่สามารถอยู่ได้
มีเพียงห้องกระเบื้องอิฐห้องหนึ่งที่ยังดูดีอยู่ เพียงแต่มีรูขนาดใหญ่อยู่บนหลังคาเท่านั้นเอง
ทั้งลานบ้านไม่แตบเลย แต่มีไม้เลื้อยกับวัชพืชที่แห้งเหี่ยวขึ้นเต็มไปหมด และขึ้นจนเกือบสูงถึงเอวคนแล้ว
เนื่องจากชีหลี่โวเป็นหมู่บ้านในหุบเขา บ้านหลายหลังจึงสร้างตามลักษณะของภูเขา ซึ่งบ้านเหล่านี้จะกระจัดกระจายไปท่ามกลางภูเขา และระแวกนี้ก็มีบ้านเก่าหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไปที่ขาดการซ่อมแซมเป็นเวลาหลายปี บ้านจะล้มไม่ล้มแหล่และดูเหมือนไม่มีใครอยู่มานานหลายปีเช่นกัน
เจียงป่าวชิงสังเกตบ้านตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก็เดินจากไป เวลานี้นางกำลังอยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ
ตอนที่เลี้ยวไปบนถนนใหญ่ในหมู่บ้าน ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ ๆ เจียงป่าวชิงก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังรวมตัวกันอยู่ไม่ไกลออกไป คนกลุ่มนั้นดูคึกคักมาก
ตอนนี้จุดมุ่งหมายที่เจียงป่าวชิงทำมาตลอดก็คือพยายามอยู่ให้ห่างจากสถานการณ์คึกคักแบบนี้นี่แหละ
นางตั้งใจจะอ้อมไปด้านข้างเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงสถานการณ์วุ่นวายเหล่านี้ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงก่นด่าที่ดังและแหลมของโจซื่อท่ามกลางฝูงชนเสียก่อน
“คนมารยาสาไถยอย่างเจ้า ผัวตัวเองตายแล้วจึงคิดจะไปยั่วผัวคนอื่นอย่างนั้นสิ ?! หน้าด้าน!!! ถ้าหากผัวของเจ้าที่อยู่ในยมโลกรู้ว่าตัวเองเพิ่งตายได้ไม่นาน แต่เมียกลับไปยั่วผัวคนอื่นแล้วแบบนี้ เจ้าไม่กลัวเขาจะขึ้นจากยมโลกเพื่อมาหักคอเจ้าเรอะ ?!”
ในใจของเจียงป่าวชิงเหมือนมีอะไรบางอย่างมากระทบกัน
“ผัวเพิ่งตายได้ไม่นาน…” นางพึมพำ นี่โจซื่อคงไม่ได้ไปหาเรื่องป๋ายรุ่ยฮัวหรอกใช่ไหม ?
เจียงป่าวชิงรู้สึกลังเลอยู่สักครู่ สุดท้ายก็ถอนหายใจและเดินกุมแขนตัวเองเพื่อแทรกเข้าไป
โจซื่อกำลังฉุดแขนผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้และกำลังก่นด่าอยู่ตรงนั้น ผู้หญิงคนนั้นดึงแขนของตัวเองหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล นางจึงทำได้เพียงแก้ต่างให้ตัวเองด้วยท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ “สะใภ้ตระกูลเจียง เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้ากับพี่อีหนิวเราไม่ได้มีอะไรกันจริง ๆ นะ”
ความจำของเจียงป่าวชิงนั้นดีมาก นางดูแวบเดียวก็จำได้แล้วว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่โจซื่อจะตีนางด้วยไม้พายเพราะเรื่องของเจียงโหย่วฉายนั้น ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่หม้ายที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนและถากถางโจซื่อ ณ ตอนนั้น
คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านมักจะรู้จักกัน และเจ้าของร่างเดิมก็พอจะมีภาพความทรงจำต่อแม่หม้ายคนนี้เช่นกัน คล้ายกับนางจะนามสกุลซ่ง และสามีของนางก็เพิ่งเสียไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง
เจียงป่าวชิงเห็นว่าไม่ใช่ป๋ายรุ่ยฮัวก็โล่งใจทันที
โจซื่อเห็นแม่หม้ายซ่งยังคิดจะเถียงข้าง ๆ คู ๆ นางก็โมโหจนต้องล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากในอ้อมอกซึ่งผ้าผืนนี้มีรูปดอกมะลิดอกหนึ่งปักอยู่ จากนั้นนางก็ซัดใส่หน้าแม่หม้ายซ่งทันที “เจ้าเท้าเล็ก กล้าทำแต่ไม่กล้ารับอย่างนั้นรึ ?! หน้าไม่อายแท้ ๆ แล้วยังมีหน้ามาให้ผ้าเช็ดหน้าผัวข้าอีกนะ ขาดผู้ชายขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร ?! คนเสเพลในหมู่บ้านมีตั้งเยอะทำไมเจ้าไม่ไปหาพวกมัน มาหาผัวชาวบ้านนี่หมายความว่าอย่างไร ?! หน้าไม่อาย!”
โจซื่อยิ่งด่าก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น นางเดินเข้าไปตบหน้าแม่หม้ายซ่งเพื่อระบายอารมณ์โกรธขึ้ง
เมื่อแม่หม้ายซ่งเห็นผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นนางก็ตะลึงไปทันที นางส่งเสียงร้องโวยวาย “อ๊า! เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” และป้องหน้าเพื่อหลบการตบตีของโจซื่อไปด้วย
คนที่มาดูเรื่องสนุกส่วนมากจะเป็นพวกป้า ๆ ที่อายุไล่เลี่ยกับโจซื่อ มีคนที่ชี้หน้าด่าแม่หม้ายซ่งว่า ‘ไม่เรียบร้อย’ บ้าง หรือบางคนก็สาดน้ำลายก่นด่าว่า ‘มารยาสาไถย’ บ้าง
เจียงป่าวชิงฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนรอบ ๆ ก็เข้าใจได้ทันที
ที่แท้… แม่หม้ายซ่งคนนี้ก็ติดต่อกับเจียงอีหนิว แล้วยังให้ผ้าเช็ดหน้าเจียงอีหนิวอีกด้วย ผลสุดท้ายโจซื่อกลับเจอผ้าเช็ดหน้านี้เข้า นางจึงมา ‘จับชู้’ นั่นก็คือแม่หม้ายซ่ง
ฝั่งนี้กำลังตบตีกันอย่างดุเดือด ส่วนฝั่งนั้น เจียงอีหนิวกำลังวิ่งมาทางนี้ด้วยท่าทางเหนื่อยหอบและพูดคำว่า หยุด อย่างต่อเนื่อง
เมื่อทุกคนเห็นว่าตัวการมาแล้ว พวกเขาก็สบถออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็พากันหลีกทางให้อย่างรู้งาน
เมื่อโจซื่อเห็นเจียงอีหนิว เบ้าตาของนางก็แดงทันที นางสบถและก่นด่าเขา “ไอ้คนไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ!”
แม่หม้ายซ่งเงยหน้าขึ้น เส้นผมของนางยังคงถูกโจซื่อจับดึงไว้ นางนั้นอายุน้อยกว่าโจซื่อสิบปี เมื่อนางน้ำตาคลอเบ้าจึงทำให้ดูน่าสงสารกว่ามาก นางอยากจะพูดอธิบายแต่กลับร้องไห้เสียก่อน
“ฮือ ๆ ๆ พี่อีหนิว…”