ตอนที่ 29 หมอกำมะลอ
เจียงป่าวชิงไปที่ร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปก่อน นางเกือบถูกพนักงานร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปไล่ออกจากร้านอยู่รอมร่อ จึงต้องล้วงเศษเงินออกมาเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่านางก็มีกำลังพอที่จะซื้อเสื้อผ้าพวกนี้
เมื่อพนักงานร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปเห็นเงินนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “ฮิ ๆ แม่สาวน้อย เจ้าชอบเสื้อผ้าแบบไหนล่ะ ?”
เจียงป่าวชิงครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นก็บอกความต้องการ “ข้าต้องการผ้าที่มีความหนาปานกลาง ทนต่อการสึกหรอ และสวมใส่สบาย”
เรื่องสีกับแบบเสื้อผ้านั้น ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของเจียงป่าวชิงเลย
ได้ฟังดังนั้นพนักงานร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปก็ตบขาดังฉาดทันที “เสื้อผ้าในร้านเรา เจ้าวางใจเรื่องคุณภาพได้เลย จะต้องตอบโจทย์ความต้องการนี้แน่นอน”
“อ้อ และยังมีอีก ต้องราคาถูกด้วย” เจียงป่าวชิงเพิ่มความต้องการไปอีกหนึ่งอย่าง
ทันใดนั้น สีหน้าของพนักงานร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปก็เย็นชาขึ้นไม่น้อย เสื้อผ้าราคาถูกหมายถึงผลกำไรต่ำ แต่ขามดก็ยังถือว่าเป็นเนื้อเหมือนกัน แม้ใบหน้าของเขาจะไม่สดใสเหมือนก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้ขับไล่เจียงป่าวชิงเหมือนที่เขาทำในตอนแรก
แต่ปัญหาคือหลังจากนี้ ไม่ว่าเขาจะให้นางดูชุดไหน เจียงป่าวชิงก็จะส่ายหน้าไม่เอาทุกครั้ง
เสื้อผ้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของนาง ราคาถูกที่สุดอยู่ที่หนึ่งร้อยห้าสิบสลึงต่อหนึ่งชุด แต่เมื่อสักครู่นางแวะถามราคาผ้าในร้านขายผ้า และพบว่าผ้าที่มีวัสดุคล้ายกับเสื้อผ้าสำเร็จรูปนั้นราคาอยู่ที่เจ็ดสิบสลึงเอง
และผ้าหนึ่งพับสามารถทำเสื้อผ้าได้อย่างน้อยสี่ชุด …เสื้อผ้าสำเร็จรูปแพงเกินไปจริง ๆ
เจียงป่าวชิงครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นนางก็ชี้ไปที่เสื้อผ้าที่นางได้เลือกไว้เมื่อสักครู่ และถามพนักงานร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปอีกครั้งว่า “ร้านของพวกเจ้ามีผ้าแบบนี้ขายหรือไม่ ?”
กำไรของผ้าต่ำกว่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปมาก ได้ยินดังนั้นรอยยิ้มของพนักงานร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปก็จางลงอีกครั้ง
ใบหน้าของเขาค่อนข้างตึงเล็กน้อย: “ต้องขอโทษเจ้าด้วย ผ้าชนิดนี้เพิ่งใช้ทำเสื้อผ้าไปประมาณหนึ่งแล้ว เหลือเพียงเศษผ้าบางส่วนเท่านั้น”
เจียงป่าวชิงแทบจะตบมืออยู่รอมร่อ นางมองพนักงานร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปอย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็พูดออกมาว่า “เศษผ้านี้ขายให้ข้าในราคาต่ำได้หรือไม่ ?”
สุดท้าย ภายใต้สีหน้าที่หมองหม่นของพนักงานร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูป เจียงป่าวชิงก็สามารถต่อรองราคาเศษผ้าที่รอวันจัดการ รวมถึงผ้ายาวหนึ่งจั้งได้ในราคาเพียงสามสิบสลึงเท่านั้น จากนั้นนางก็มัดเป็นห่อผ้าขนาดใหญ่และแบกขึ้นหลัง แม้ว่าจะหนักไปสักหน่อย แต่ร่างกายอ่อนแอนี้ยังสามารถรองรับน้ำหนักได้อยู่
พนักงานร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปชั่งเศษเงินนั้นดู และพบว่าส่วนประกอบเพียงพอมาก หากไม่รวมเงินสำหรับซื้อผ้าสามสิบสลึงนั้น เมื่อคำนวณดูแล้วก็ยังเหลือเงินอีกเกือบสามถึงเจ็ดตำลึงเลยก็ว่าได้
เจียงป่าวชิงแบกห่อผ้าขึ้นหลัง นางใส่เงินสามถึงสี่ตำลึงไว้ในอ้อมแขน ประกอบกับแผ่นทองแดงที่แลกมามากกว่าสองร้อยแผ่น จากนั้นก็เดินออกจากร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปด้วยความพึงพอใจ
ไม่ไกลออกไปจากร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นสถานที่ให้บริการรักษาโรค บนป้ายมีคำว่า ‘ห้องโถงหวนคืนสู่ฤดูใบไม้ผลิ’ เขียนด้วยตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่
เจียงป่าวชิงมองเข้าไปข้างในโดยไม่รู้ตัวและพบว่าในนั้นมีผู้ป่วยจำนวนมาก
เจียงป่าวชิงยังคงยังสงสัยเกี่ยวกับหลักการรักษาของหมอในยุคโบราณอยู่ จึงยื่นหัวเข้าไปดู แต่ดูได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกเด็กฝึกงานตาคมที่อยู่ข้างในไล่ออกมาเสียก่อน “ขอทานนี่มาจากไหน ออกไปออกไป! อย่าขวางทางเดินผู้ป่วย”
ประตูออกจะใหญ่ขนาดนี้ จะขวางทางคนอื่นได้ยังไงกัน เจียงป่าวชิงเบะปากเล็กน้อยก่อนจะเดินมาด้านข้างตามคำไล่ แต่ยังคงเอียงตัวและมองเข้าไปข้างในตามเดิม
แบบนี้คงจะไม่ขวางทางแล้วกระมัง ?
เด็กฝึกงานกลอกตาใส่เจียงป่าวชิงอย่างโมโห แต่เจียงป่าวชิงกลับไม่สนใจเขา นางกำลังอ่านชื่อยาจีนที่อยู่บนตู้ยาขนาดใหญ่ตรงช่องซ้ายสุดข้างในอย่างตั้งใจ
ถึงแม้ว่าจะเป็นจีนตัวเต็ม แต่เจียงป่าวชิงยังคงจำได้อยู่บ้าง
เจียงป่าวชิงจากยุคปัจจุบันรู้สึกประหลาดใจที่พบว่ายาจีนที่นี่แทบไม่ต่างจากยุคที่ ‘เธอ’ จากมาแล้วเลย แต่เจียงป่าวชิงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ก็เห็น ๆ อยู่ว่าผู้ป่วยบางรายมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นด้วยการฝังเข็ม แต่ทำไมหมอในห้องโถงดูอาการผู้ป่วยพวกนี้ กลับไม่มีใครใช้การฝังเข็มเลย ?
ขนาดที่ให้บริการรักษาโรคนี้ก็ไม่เล็ก ถึงอย่างไรระดับความสามารถของหมอในห้องโถงก็คงจะไม่ถึงกับอยู่แค่ระดับนี้หรอกกระมัง ?
ความสงสัยนี้ยิ่งมีมากขึ้นในใจ เหมือนก้อนหิมะที่กลิ้งรวมกันเป็นก้อนใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงยังไม่ทันได้คำตอบ ก็เห็นหญิงสาวสะใภ้ตระกูลป๋ายคนนั้นที่มาด้วยกันตอนนั่งรถล่อ อุ้มลูกออกมาจากสถานบริการรักษาโรคเสียก่อน
หญิงสาวคนนั้นก็เห็นเจียงป่าวชิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเช่นกัน นางเอามือรองลูกของนางเล็กน้อย จากนั้นก็ชักมือข้างหนึ่งออกมาเช็ดน้ำตา ต่อมาก็ฝืนยิ้มและพยักหน้าให้เจียงป่าวชิงเป็นการทักทาย
เหมือนกับว่าหญิงสาวคนนั้นต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง นางเพิ่งอ้าปากแต่ยังไม่ทันพูด น้ำตาของนางก็ไหลลงมาอาบแก้มเสียก่อน
เจียงป่าวชิงจึงจำเป็นต้องเป็นฝ่ายเดินเข้ามาถามเอง “สะใภ้ตระกูลป๋าย พี่เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ ?”
หญิงสาวคนนี้ดูเหมือนจะอายุไม่มาก เจียงป่าวชิงเดาว่านางคงอายุไม่ถึงยี่สิบปี
เจ้าของร่างเดิมไม่ค่อยมีภาพความทรงจำต่อหญิงสาววัยรุ่นคนนี้มากนัก เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีความทรงจำต่อกันเลยก็ว่าได้ เจียงป่าวชิงจำได้ราง ๆ ว่าหญิงสาววัยรุ่นคนนี้ดูเหมือนจะเป็นลูกสาวคนเล็กที่ตระกูลป๋ายเก็บได้จากข้างนอก และนำมาเลี้ยงเป็นลูกสะใภ้เพื่อให้ช่วยเลี้ยงดูลูกชายที่ป่วยเป็นวัณโรคของตัวเอง
ต่อมาท่านปู่สองของตระกูลป๋ายจากไป ลูกชายที่ป่วยเป็นวัณโรคก็จากไปแล้วเช่นกัน เหลือไว้เพียงหญิงสาวคนนี้กับลูกสาวตัวน้อยวัยสองหรือสามขวบของนาง
“หมอบอกว่าเฟิ่งเอ๋อร์ป่วยเป็นโรคที่รักษาได้ยาก อย่างน้อย… อย่างน้อยต้องใช้เงินสิบตำลึงถึงจะสามารถรักษาให้หายได้” หญิงสาวอุ้มลูกที่กำลังนอนหลับมาพิงไว้บนไหล่ จากนั้นนางก็ชักมือข้างหนึ่งออกมาเช็ดน้ำตา “ผู้ชายบ้านข้าจากไปเร็วเกิน ในบ้านจะมีเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร… ต่อให้ขายตัว ข้าก็จะ…”
เมื่อหญิงสาวคนนั้นพูดมาถึงตรงนี้ จู่ ๆ นางก็ชะงักไปและตะลึงอยู่กับที่
ผ่านไปสักพักใหญ่ นางถึงจะเช็ดน้ำตาราวกับว่านางได้ทำการตัดสินใจที่ยากลำบากแล้ว นางส่ายหน้าและกำลังจะเดินจากไป ทว่าเจียงป่าวชิงจับนางไว้ก่อน “เดี๋ยวก่อน พี่จะไปไหนหรือ ?”
หญิงสาวอุ้มลูก ดวงตาที่บวมแดงของนางไม่กล้ามองเจียงป่าวชิง นางทำเพียงพูดออกมาอย่างคลุมเครือ “เจ้าไม่ต้องถามแล้วล่ะ”
เจียงป่าวชิงลอบถอนหายใจ “แล้วพี่ได้ไปดูที่บริการรักษาโรคด้านข้างหรือยังเจ้าคะ ?”
หญิงสาวคนนั้นส่ายหน้าอย่างงุนงงเล็กน้อย “เขาว่ากันว่าห้องโถงหวนคืนสู่ฤดูใบไม้ผลิในอำเภอเป็นสถานบริการรักษาโรคที่ดีที่สุดแล้ว ถ้าแม้แต่ห้องโถงหวนคืนสู่ฤดูใบไม้ผลิยังรักษาลูกข้าไม่ได้ แล้วสถานบริการรักษาโรคอื่น ๆ จะรักษาหายได้อย่างไรล่ะ ?”
เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “แต่ก็ไม่แน่หรอกนะเจ้าคะ ลูกของพี่ป่วยถึงขนาดนี้แล้ว ไปดูหลาย ๆ ที่ความหวังก็จะยิ่งมีมากขึ้นนะ”
หญิงสาวมองใบหน้าที่แดงก่ำของลูกน้อยในอ้อมอก นางก็กัดฟันและพยักหน้าออกมาในที่สุด
…
นี่เป็นสถานบริการรักษาโรคที่เปิดอยู่บนถนนสายเล็ก มันดูค่อนข้างทรุดโทรมเล็กน้อย หากมองจากด้านนอกเข้าไปก็จะเห็นเพียงพนักงานคนหนึ่งที่กำลังนอนหลับอยู่บนตู้สินค้าหน้าตู้ยา ไม่มีใครมาตรวจโรคหรือดูอาการเลยสักคน
หญิงสาวลังเลใจเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงเดินเข้าไปก่อน นางเคาะตู้สินค้าเล็กน้อยและถามขึ้นว่า “สวัสดี มีคนไหมเจ้าคะ ?”
พนักงานคนนั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที เขาเงยหน้าขึ้นมากะพริบตา เนื่องจากนอนนานไปหน่อย ตาของเขาจึงพร่ามัวเล็กน้อย เมื่อเขาออกแรงจ้องคนตรงหน้าดี ๆ แล้วเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาเหลืองซูบที่ใส่เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยปะ เขาก็โบกมือไล่ด้วยความรำคาญทันที “เจ้าขอทาน เจ้าอย่ามาหาเรื่องที่นี่ ออกไป!”
“…” เจียงป่าวชิงตัดสินใจว่ากลับไปนางจะรีบใช้ผ้าเหล่านี้ที่ซื้อมาทำเสื้อผ้าใหม่ทันที
“หมอล่ะเจ้าคะ พวกเราต้องการพบหมอ” เจียงป่าวชิงคร้านที่จะพูดไร้สาระกับเขา จึงพูดออกไปอย่างตรงประเด็น
หญิงสาวคนนั้นอุ้มลูกและรีบเดินเข้ามาทันที “ลูกสาวของข้าป่วย รบกวนช่วยเรียกหมอออกมาให้หน่อยนะเจ้าคะ”
พนักงานคนนั้นชี้ไปที่ตัวเอง “ข้านี่แหละหมอของห้องยาแห่งนี้
“…”
หมอที่แต่งตัวเป็นพนักงานพาเฟิ่งเอ๋อร์ตัวน้อยที่ยังคงหลับใหลมาวางบนเตียงในห้องตรวจ เขาวัดชีพจร จากนั้นก็สังเกตฝ้าที่ลิ้น เสร็จแล้วเขาก็ถามผู้หญิงคนนั้นเกี่ยวกับอาการป่วยของเฟิ่งเอ๋อร์ และตั้งใจฟังด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
ผู้หญิงคนนั้นกัดปากและหันมองเจียงป่าวชิงด้วยความกังวลเล็กน้อย “เจ้าว่าเชื่อถือได้ไหม ?”
เจียงป่าวชิงพูดปลอบ “เอาหน่าพี่สาว… ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหมอของห้องยานี้นะเจ้าคะ”
ก่อนที่เจียงป่าวชิงจะพูดจบ นางก็ได้ยินหมอคนนั้นพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “อา… เด็กคนนี้ป่วยหนักเอาการ”
ผู้หญิงคนนั้นขอบตาแดงทันที ขาของนางไร้เรี่ยวแรงจนเกือบจะลื่นไถลลงไปกองกับพื้นอยู่แล้ว
เจียงป่าวชิงรีบฉวยแขนดึงนางขึ้นมา จากนั้นก็หันไปจ้องหมอคนนั้นเขม็ง
นี่มันหมอกำมะลอ!