ตอนที่ 6 ท้องก่อนแต่ง
ในหมู่พวกเขา สีหน้าของเจียงอีหนิวและโจซื่อดูไม่ได้ที่สุดแล้ว
เดิมทีเจียงอีหนิวเกิดมาก็ตัวดำอยู่แล้ว มาตอนนี้ยิ่งหน้าดำคร่ำครึขึ้นไปอีก เขาจึงพูดขึ้นอย่างหยาบคาย “หยุนชาน เจ้ายังเด็กไม่รู้ความอะไร เฉจื่อเจิ้งนั้นไม่ได้แตะต้องหญิงสาวมานานกว่าสี่สิบปีแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทนไหวและไม่ทำอะไรนางเลย”
คำพูดนี้หยาบคายยิ่งนัก แต่โดยปกติคนในตระกูลเจียงก็พูดกันแบบนี้อยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่รู้สึกอะไร แต่เจียงหยุนชาน เขากลับคุ้นเคยกับการอ่านหนังสือนักปราชญ์ และเนื่องจากคำพูดนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของน้องสาวเขา ลำคอของเขาจึงแดงเพราะความโกรธทันที
เขาหันไปตะโกนใส่เจียงอีหนิวด้วยความอับอายระคนโกรธเคือง “ท่านอา! ท่านพูดอะไรของท่าน ?!”
อารมณ์ของเจียงอีหนิวนั้นร้อนรุ่ม เขาจะทนที่เด็กผู้ชายตัวเท่านี้พูดกับเขาแบบนี้ได้อย่างไร เขาจ้องเจียงหยุนชานเขม็ง และคิดจะเข้าไปตบเจียงหยุนชานสักครั้ง ทว่าเมื่อนึกถึงสิ่งที่พ่อของเขาเคยบอกไว้ว่าเจียงหยุนชานเป็นปัญญาชนที่สามารถสืบทอดวัฒนธรรมต่อไปได้ และไม่สามารถรับประกันได้ว่าต่อไปเจียงหยุนชานจะมีความคืบหน้าอะไรบ้าง เขาอาจมีความก้าวหน้าในชีวิตสูง ดังนั้นสมคบกับเขาไว้จะดีต่อพวกเขามากกว่า
คิดได้ดังนั้น เจียงอีหนิวจึงอดกลั้นด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่
โจซื่อที่อยู่ด้านข้างเบะปากเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าของนางทั้งฝืนทั้งดูแปลกประหลาด “หยุนชาน เจ้าไม่รู้อะไร บุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป อยู่ ๆ มาบอกว่าไม่แต่งก็จะไม่แต่งได้อย่างไรกัน… ป่าวชิงยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ทำไมเจ้าถึงไร้สาระตามนางได้ ?”
เจียงหยุนชานร้อนใจจนใกล้จะเป็นบ้าอยู่แล้ว เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอธิบายเรื่องความบริสุทธิ์ของน้องสาวให้คนในครอบครัวฟังอย่างไร
ดวงตาที่ใสสะอาดของเจียงป่าวชิง ได้ทำการสังเกตคนของตระกูลเจียงอย่างละเอียดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นางถอนหายใจในใจ พี่ชายที่ซื่อสัตย์ของนางยังคงพยายามอธิบายเรื่องที่เฉจื่อเจิ้งไม่ได้แตะต้องนางให้คนอื่นฟังอย่างสุดความสามารถ แต่สิ่งที่คนของตระกูลเจียงสนใจใช่เรื่องนี้ที่ไหนกันเล่า ก็เห็นอยู่ว่าสิ่งที่พวกเขาสนใจคือเงินห้าตำลึงนั้นต่างหาก
เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไรมาก นางรู้ว่าการที่จะจัดการกับคนของตระกูลเจียงที่ไร้ความละอายเช่นนี้จะต้องทำอย่างเด็ดขาดเท่านั้น
ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้นพวกเขาถึงจะตื่นตระหนกและไม่กระทำสิ่งไร้ความละอายกับผู้อื่น
ดังนั้นเจียงป่าวชิงจึงดูโจซื่อที่กำลังเปลืองน้ำลายเพื่อกล่อมให้เจียงหยุนชานยอมรับเรื่องที่ว่านางแต่งงานกับเฉจื่อเจิ้งแล้วอย่างเงียบ ๆ
แต่ถึงแม้ว่าเจียงหยุนชานจะมีนิสัยซื่อสัตย์และมีความคิดโบราณคร่ำครึ เขากลับเข้มแข็งมาก ไม่ว่าโจซื่อจะพูดอย่างไร เขาก็ไม่ไหวติงแม้สักนิด ทั้งยังย้ำอีกว่าจะไม่ให้น้องสาวแต่งงานกับเฉจื่อเจิ้งเด็ดขาด
สุดท้ายโจซื่อก็ทนไม่ไหว เหตุใดเมื่อก่อนนางถึงไม่สังเกตเห็นว่าเจียงหยุนชานที่หลอกง่ายมาตลอดนั้น แท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่หัวแข็งคนหนึ่งล่ะ ?
ความหงุดหงิดบนใบหน้าของโจซื่อนั้นแทบจะเก็บไว้ไม่อยู่แล้ว ซึ่งเมื่อหลีโผจื่อเห็นดังนั้น นางก็ส่งสายตาให้เจียงอีหนิวผู้เป็นลูกชาย
เจียงอีหนิวรับรู้และเข้าใจได้ในทันที เขาเตรียมออกไปเช่ารถล่อที่บ้านของซุนต้าหู ต่อให้ต้องมัดด้วยเชือก เขาก็จะจับเจียงป่าวชิงมัดและพานางกลับไปให้กับเฉจื่อเจิ้งให้ได้
เขาจะไม่ให้สองพี่น้องคู่นี้ทำแผนของพวกเขาพังเด็ดขาด!
ถึงแม้ว่าเจียงป่าวชิงจะไม่ได้พูดอะไร แต่ความสนใจของนางกลับจดจ่ออยู่ที่คนตระกูลเจียงตลอด เมื่อนางเห็นการกระทำเช่นนี้ของเจียงอีหนิว ในใจนางก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง และนางก็รู้ว่าเขาจะต้องใช้ไม้แข็งแล้วแน่ ๆ
เจียงป่าวชิงพูดขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยท่าทียิ้มแย้ม “จะว่าไปแล้ว ทำไมข้าไม่เห็นพี่ต้ายาเลยล่ะเจ้าคะ ?”
คำพูดนี้เหมือนประโยคทักทายธรรมดา ทว่าเมื่อคนของตระกูลเจียงได้ยิน พวกเขากลับมีท่าทีเหมือนกำลังตกตะลึง ขณะที่เจียงอีหนิวเองก็ตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นเช่นกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของโจซื่อยิ่งแข็งกระด้างไปมากกว่าเดิม สีหน้าของนางก็ดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง แต่นางกลับอธิบายออกมาราวกับต้องการที่จะปิดบังความจริงอะไรบางอย่าง “พี่ต้ายาของเจ้าไม่สบายเล็กน้อย… โดยปกติร่างกายของพี่ต้ายาก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่อยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการปวดหัวตัวร้อน”
เจียงหยุนชานที่อยู่ด้านข้างรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าทำไมน้องสาวถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ระหว่างทางกลับมา เขาพูดกับนางพอสมควร ในหัวของเขาจึงมีภาพความประทับใจอยู่ไม่น้อยเลย นั่นก็คือน้องสาวของเขาเป็นเด็กฉลาด และนางจะไม่ปล่อยลูกธนูออกจากคันธนูโดยปราศจากเป้าแน่นอน คิดได้ดังนั้นแล้ว เขาจึงไม่เอ่ยปากพูดอะไร และเลือกที่จะมองน้องสาวพูดกับคนของตระกูลเจียงเงียบ ๆ แทน
เจียงป่าวชิงพยักหน้าให้โจซื่อ มีความเป็นห่วงและมีความหมายลึกซึ้งอยู่ในน้ำเสียงของนาง “ใช่ ร่างกายของพี่ต้ายาไม่ค่อยแข็งแรง ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนข้าจะปัญญาอ่อน แต่ข้ายังคงจำเรื่องราวบางอย่างได้อยู่… ข้าจำได้ ก่อนที่พวกท่านจะขายข้าให้กับเฉจื่อเจิ้งในราคาห้าตำลึงนั้น ดูเหมือนว่าพี่ต้ายาจะป่วยหนักและมักจะคลื่นไส้อาเจียนอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งรูปร่างของนางยังอ้วนขึ้นเล็กน้อยด้วยใช่ไหมเจ้าคะ ?”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา คนของตระกูลเจียงทุกคนก็ดูเหมือนจะตกตะลึงราวกับถูกค้อนทุบ พวกเขาได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิมเช่นนั้น
คำพูดของเจียงป่าวชิงจิ้มโดนเรื่องที่พวกเขาพยายามคิดจะปิดบังมาตลอดหลายวันนี้เต็ม ๆ
เจียงต้ายายังไม่ได้แต่งงาน ทว่าในท้องของนางกลับมีเชื้อพันธุ์ของคนอื่นเสียแล้ว
โจซื่อรู้สึกเพียงว่าตอนนี้เลือดพุ่งจากฝ่าเท้าขึ้นไปที่ศีรษะของนางแล้ว นางตัวสั่นไปทั้งร่าง และมองเจียงป่าวชิงตาเขม็ง
กลางวันแสก ๆ เช่นนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกแปลก เหตุใดนางถึงรู้สึกว่ารอยยิ้มบนใบหน้าที่ผอมซูบของเจียงป่าวชิงนั้นแปลกประหลาดไปเล็กน้อยกันนะ…
หรือว่านางรู้แล้ว! …ทว่าเหตุใดนางถึงรู้ได้ ?
ดูเหมือนโจซื่อจะเห็นเจียงป่าวชิงแสยะยิ้มให้ และแยกเขี้ยวใส่นาง
“อ๊าาาา!” โจซื่อกรีดร้อง จากนั้นนางก็กลอกตาและเป็นลมไปในที่สุด
เจียงป่าวชิงกลัวว่าจะยังวุ่นวายไม่พอจึงรีบเข้าไปพยุงโจซื่อ และตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านอาเป็นลมไปแล้ว! รีบไปตามหมอมาดูเร็วเข้าเถอะเจ้าค่ะ อ้อ ใช่ พี่ใหญ่ก็ป่วยเหมือนกันไม่ใช่หรือเจ้าคะ ? พอดีเลย จะได้ให้หมอมาดูอาการของพี่ต้ายาพร้อมกัน”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว โจซื่อจะยังกล้าเป็นลมอีกได้อย่างไร ?! นางหายใจติดขัดในลำคอ โชคดีที่ไม่ได้มีอะไรมาบังลมหายใจนาง
เจียงเอ้อยาเข้าไปปิดปากเจียงป่าวชิงด้วยใบหน้าหมองหม่น สีหน้าของนางดูร้อนรนเป็นพิเศษ “เจ้าหุบปากไปเลย! อย่าพูดจาเหลวไหล! พี่สาวของข้าไม่ได้ป่วย ไม่ต้องให้หมอมาดูอะไรทั้งนั้น”
เรื่องน่าอายเช่นนั้น จะกล้าให้หมอมาดูได้อย่างไร ?!
ที่ชีหลี่โวแห่งนี้มีเพียงโกโผจื่อคนเดียวที่สามารถคลำชีพจรและจ่ายยาให้ได้ อีกทั้งโกโผจื่อคนนี้ยังเชี่ยวชาญเรื่องสูตินรีเวชอีกด้วย มักจะมีคนเรียกนางให้ไปช่วยทำคลอดบ่อย ๆ หากโกโผจื่อมาที่นี่ เกรงว่าแม้แต่ชีพจรก็ไม่จำเป็นต้องคลำ นางดูเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วและหากเป็นเช่นนั้น เรื่องทั้งหมดคงมีอันจบเห่!
เจียงป่าวชิงผลักมือของเจียงเอ้อยาออก ใบหน้าอ่อนวัยมีคำว่าเสียดายเขียนอยู่เต็มไปหมด “ที่แท้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่เอ้อยาและพี่ต้ายาเป็นแบบนี้นี่เอง…”
เจียงเอ้อยาโมโหและกัดเหงือกตัวเองจนเจ็บไปหมด นางเจียงป่าวชิงคนนี้! เมื่อก่อนตอนที่ยังปัญญาอ่อนก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากพอแล้ว เมื่อเลิกปัญญาอ่อนกลับยิ่งทำให้รู้สึกเกลียดมากกว่าเดิม
หลีโผจื่อก็หน้าดำคร่ำครึเช่นกัน นางหันไปจ้องโจซื่อเขม็ง
ลูกสะใภ้คนนี้สอนหลานสาวคนโตไม่ได้เรื่อง สอนจนนางไม่รู้จักละอายต่อบาป อายุยังน้อยแต่ในหัวกลับคิดเรื่องหาสามี อีกทั้งยังไม่รอให้พ่อแม่หาคู่ให้ นางก็ไปมีอะไรกับเด็กยากจนนอกหมู่บ้านก่อนเสียแล้ว
ที่หมู่บ้านของพวกเขา ในช่วงปีที่แล้ว ๆ มา หากเกิดเรื่องไม่รู้จักละอายต่อบาปเช่นนี้ คนทำผิดจะต้องถูกลงโทษโดยการขังไว้ในกรงหมู และถูกนำไปแช่น้ำ
หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับคนบ้านอื่น หลีโผจื่อยินดีที่จะเรียกพวกสามนางหกแม่ไปดูเรื่องสนุกด้วยกัน
แต่เรื่องอื้อฉาวนี้ดันมาเกิดขึ้นกับบ้านของตัวเอง น่าอายจริง!
ตอนที่หลีโผจื่อกับท่านปู่เจียงรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาก็มีความคิดอยากจะตีเจียงต้ายาให้ตายทั้งแบบนั้น
ยิ่งในท้องของหลานสาวของพวกเขามีเชื้อพันธุ์ของชายป่าเถื่อนผู้นั้นด้วยแล้วยิ่งแย่ใหญ่ ที่บ้านของชายป่าเถื่อนนั้นเล่นตัว ไม่เพียงไม่ออกค่าสินสอดสักสลึง ยังจะต้องการให้เจียงต้ายานำที่ดินสิบไร่มาเป็นสินสมรส พวกเขาถึงจะยอมแต่งงานกับเจียงต้ายา
เมื่อได้ยินดังนั้น หลีโผจื่อก็เเทบจะเป็นลมคาที่ ตอนที่สติของนางกลับมา นางจะหยิบไม้กวาดเพื่อไปตีเจียงต้ายาที่ไม่รู้จักละอาย ไปมีอะไรกับผู้ชายจนท้องให้ตายคาที่
หากไม่ใช่เพราะโจซื่อร้องห่มร้องไห้ปกป้องอยู่ตรงหน้าเจียงต้ายา ไม่แน่เจียงต้ายาก็อาจจะถูกหลีโผจื่อตีจนเลือดอาบไปแล้ว
เจียงต้ายาดูเหมือนจะตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ นางตกใจร้องไห้ไม่หยุด
หลีโผจื่อโกรธมาก นางโยนไม้กวาดลงบนพื้นอย่างรุนแรง “ร้อง ร้อง ร้อง เอาแต่ร้องไห้อยู่ได้ เจ้าร้องไห้แล้วเชื้อพันธุ์ป่าเถื่อนที่อยู่ในท้องของเจ้าจะหายไปได้เองอย่างนั้นรึ ?! ร้องไห้แล้วจะสามารถกลับมาเป็นลูกสาวคนโตผู้บริสุทธิ์เหมือนเมื่อก่อนได้หรืออย่างไร ?!”
เจียงเอ้อยาขดตัวและซ่อนตัวอยู่หลังโจซื่อผู้เป็นแม่ จากนั้นนางก็ป้องท้องโดยไม่รู้ตัว ปากก็พูดขึ้นเสียงเบา “นี่เป็นลูกของพี่หม่า ไม่ใช่เชื้อพันธุ์ป่าเถื่อน…”
ไม่พูดถึงเรื่องนี้ไม่เป็นไร แต่เมื่อพูดถึงเด็กที่นามสกุลหม่า หลีโผจื่อก็โกรธจนปอดแทบระเบิด “เจ้ายังมีหน้ามาพูดถึงไอ้เด็กนามสกุลหม่านั่นอีกรึ ? ถุย! เชื้อพันธุ์ก็เป็นของบ้านตระกูลหม่าของพวกมันนั่นแหละ ยังมีหน้ามาบอกว่าต้องการสินสมรสเป็นที่ดินสิบไร่ถึงจะยอมแต่งงานกับเจ้าอีก กว่าที่แม่กับพ่อจะเลี้ยงเจ้าให้โตมาได้ขนาดนี้มันเป็นเรื่องที่ลำบากมาก เลี้ยงมาเพื่อให้กะหรี่ไร้ยางอายอย่างเจ้ามาสิ้นเปลืองที่นาของบ้านเราน่ะรึ ?!”
คำพูดนี้ไม่น่าฟังเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าของโจซื่อก็ดูไม่ได้เช่นกัน
ไม่ใช่ว่าตระกูลเจียงของพวกเขาจะไม่มีที่ดินสิบไร่ ในทางกลับกันที่ดินของตระกูลเจียงนั้นมีไม่มากก็น้อย และทั้งหมดมียี่สิบไร่พอดี ถ้าต้องการสินสมรสเป็นที่ดินสิบไร่ ก็เท่ากับว่าตระกูลหม่านั้นคิดอยากจะให้เราแบ่งที่ดินไปให้พวกเขาครึ่งหนึ่ง
แต่โจซื่อรู้ดีว่าพ่อแม่สามีเห็นที่ดินเป็นชีวิตจิตใจ และจะไม่มีวันยกที่ดินทั้งสิบไร่ให้เจียงต้ายานำไปเป็นสินสมรสแน่นอน
อันที่จริงไม่ต้องพูดถึงท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อเลย โจซื่อที่เป็นแม่ก็จะไม่ยอมสูญเสียหนทางหาเลี้ยงชีพครึ่งหนึ่งของคนในครอบครัวทั้งหมดเพื่อลูกสาวเพียงคนเดียวเช่นกัน
อีกทั้งเจียงต้ายายังมีน้องชายและน้องสาวอีกต่างหาก