ยามราตรีอันมืดมิด แต่ซั่งกวนเจวี๋ยกลับไม่อยากเข้านอนเลย รวมถึงซั่งกวนฮ่าวที่นานๆ จะมาเรือนตะวันออกของบุตรชาย ในขณะที่ซั่งกวนเจวี๋ยอึ้งอยู่จนกระทั่งดึกดื่นในห้องหนังสือที่มิได้อยู่ตามลำพัง ทั้งสองก็มีสีหน้าแตกต่างกัน ทว่าไม่มีอารมณ์จะพูดคุย เมื่อเยี่ยนเซียงเด็กรับใช้ที่สงบนิ่งที่สุดของซั่งกวนเจวี๋ยปรากฏตัวในห้องหนังสือถึงจะฟื้นคืนสติได้
“บ่าวน้อมคารวะนายท่าน คุณชายใหญ่ขอรับ!” เยี่ยนเซียงทำความเคารพเจ้านายทั้งสองอย่างเรียบร้อย
“เอาล่ะ เจ้าสังเกตการณ์ในช่วงสองสามวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามอย่างไม่ปิดบัง ในคืนที่แม่นมฉินมาเยือนตระกูลซั่งกวน เขาได้พูดคุยส่วนตัวกับซั่งกวนฮ่าว ในเช้าวันรุ่งขึ้นก็ส่งเยี่ยนเซียงไปที่เรือนสดับวายุ เพื่อให้เยี่ยนเซียงรู้นิสัยใจคอของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จากปากของบ่าวไพร่ใหญ่น้อยในเรือนสดับวายุ และคอยสังเกตว่าตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์เองกับสาวใช้และแม่นมข้างกายนางเป็นคนเช่นไร สิ่งสำคัญคือส่งช่าจื่อให้ไปอยู่ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก่อนแล้ว เพื่อให้ได้เรียนรู้นิสัยที่แท้จริงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากขึ้นผ่านการสังเกตซึ่งๆ หน้าและการสอดแนมอย่างลับๆ
ช่าจื่อไม่ใช่คนของซั่งกวนเจวี๋ย แต่เป็นคนที่ซั่งกวนฮ่าวส่งไป…ก็ไม่มีใครนึกถึงในจุดนี้เช่นกัน…ซั่งกวนฮ่าวจะวางใครสักคนไว้ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เป็นเรื่องง่ายมากจริงๆ ในตอนแรกที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเตรียมสาวใช้มือดีให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้น ซั่งกวนฮ่าวก็เห็นด้วยทันที แต่ยามที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคัดเลือกกลับประมาทไป ทำให้อนุภรรยาอู๋เข้ามาแทรกแซง ใช้โอกาสนี้รวบรวมสาวใช้หลายคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ แต่หน้าตาไม่ได้โดดเด่น สาวใช้เหล่านั้นมีคุณสมบัติดี แต่เนื่องจากยังเด็ก และได้รับคำสอนพิเศษจากผู้อาวุโส จึงไม่เคยออกหน้าออกตาในงานใหญ่ โดยพื้นฐานแล้วก็ผ่านการคัดเลือก โดยเฉพาะช่าจื่อได้เข้าตาของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ และให้นางเป็นสาวใช้ชั้นหนึ่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์โดยตรง
สำหรับเรื่องช่าจื่อจึงเป็นเรื่องปกติในสายตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นั่นเป็นเพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นนางเป็นสาวใช้ประจำตัวตามกฎระเบียบ แต่ในสายตาของซั่งกวนฮ่าวแล้วนางค่อนข้างไม่เลว…วรยุทธ์ของนางค่อนข้างดี แม้จะไม่นับว่าเป็นยอดฝีมืออะไร แต่ยังรับมือซั่งกวนเจวี๋ยได้แปดถึงสิบกระบวนท่าอีกด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือวิชาตัวเบาอันล้ำลึกของนางนั้นได้รับการถ่ายทอดมาจากปู่โดยตรง ใช้มาสอดแนมในที่ลับจะเหมาะสมที่สุด แต่นางก็ระมัดระวังตัวเช่นเดียวกัน พ่อแม่ของนางแม้แต่ปู่ล้วนเป็นกำลังคนที่มีความสามารถของตระกูลซั่งกวนอย่างลับๆ การวางนางไว้ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงเหมาะสมอย่างยิ่ง
ในครั้งแรกที่พบกัน ช่าจื่อกับเยียนหงจงใจปฏิเสธคำสั่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นั่นเป็นเพราะอนุภรรยาอู๋และฮูหยินใหญ่บอกให้แม่นมตู้สั่งการพวกนาง ซึ่งไม่ใช่การจัดเตรียมพิเศษของซั่งกวนฮ่าว เยียนหงนั้นเก่งกาจกว่ามาก เพราะช่าจื่อมักจะทำให้ เยียนหงดูเป็นผู้นำ โดยปล่อยให้เยียนหงที่ไม่มีสมองถูกเอาเปรียบ เยียนหงจึงถูกกำจัด แม้ช่าจื่อจะถูกลดระดับ แต่อยู่ต่อไปได้อย่างสุขสบาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางยังมีแผนอีกมาก
น่าเสียดายที่นางได้พบกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งเรียนรู้จะปกปิดอารมณ์ของตนตั้งแต่วัยเยาว์ แม้แต่แม่นมฉินผู้มีประสบ การณ์โชกโชนที่เฝ้าดูเยี่ยนมี่เอ๋อร์เติบโตขึ้นมาก็ไม่อาจมองเห็นความฉลาดเหนือคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นางจึงยิ่งไม่มีทางจะมองเห็นแก่นแท้จากภายนอกที่ดูเหมือนใสแวววาว แต่เปล่งประกายหลากสีสันละลานตาไปหมดได้ น่าเสียดายยิ่งกว่าคือเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีวรยุทธ์ที่สูงกว่านางมากเหลือเกิน ทั้งยังมีเซียงเสวี่ยที่คมในฝักอยู่ข้างกาย ต่อให้นางจะลอบฟัง แต่ก็จะได้ยินเรื่องที่คนอื่นเตรียมมาเป็นพิเศษเท่านั้น
ทันทีที่เยี่ยนเซียงมาถึงเรือนสดับวายุก็ติดต่อกับช่าจื่อ ทั้งสองคนสังเกตอากัปกิริยาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์และทุกคนรอบตัวนางทั้งในที่ลับและที่แจ้ง จากนั้นภายในระยะเวลาสามวันที่ซั่งกวนเจวี๋ยมอบให้ ในที่สุดเยี่ยนเซียงก็รวบรวมข้อมูลที่เขาคิดว่าเพียงพอแล้วกลับไปหาซั่งกวนเจวี๋ย
“คุณชาย ในช่วงไม่กี่วันนี้บ่าวได้เห็นสะใภ้ใหญ่จากระยะไกลเพียงสามถึงห้าครั้งเท่านั้น ดูเหมือนจะไม่ต่างจากที่คุณหนูรองพูดไว้ ทั้งฉลาด ใจดี มีอัธยาศัยและมีคุณธรรมขอรับ” เยี่ยนเซียงพูดแต่เนื้อในด้านดีเท่านั้น และไม่ได้พูดถึงรูปลักษณ์ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คำพูดดังกล่าวผิดจากความตั้งใจเดิมของซั่งกวนเจวี๋ย จึงค่อนข้างน่าผิดหวัง
“โอ้? พูดอะไรนะ?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่เชื่อมากนัก ด้วยการมีแม่นมเลี้ยงดูที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะยังคงใจดีมีเมตตาหรือ? ดูเหมือนจะยากสักหน่อย!
“สะใภ้ใหญ่ไม่ค่อยขึ้งโกรธ แม้สีหน้าจะดูเย็นชามาก และน้ำเสียงก็เฉยเมย แต่ไม่เคยเห็นนางมีสีหน้าหยิ่งผยองแบบนั้นเลย ไม่เคยตำหนิสาวใช้ตามใจชอบ สาวใช้ชั้นสามที่อยู่ข้างกายนางทำผิด นางก็ไม่ได้ปกป้องโดยไม่ถาม เพียงแค่พูดคุยไปตามเนื้อผ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลขอรับ” เยี่ยนเซียงกล่าวอย่างจริงจังว่า “สิ่งสำคัญคือความรู้สึกของช่าจื่อ นางบอกว่าแม้สะใภ้ใหญ่จะไม่ชอบนาง และแทบจะไม่มีที่ว่างให้นางเข้าไปสอดแทรกอยู่ข้างกายได้ ทั้งยังรู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นคนของเจ้านายบางคนที่วางไว้ แต่ก็ยังปฏิบัติต่อนางด้วยความกรุณา ส่วนสาวใช้ใหญ่สองคนที่อยู่ข้างกายนางก็ไม่ได้ทำให้ช่าจื่อลำบากใจอีกเลย นอกเสียจากตอนพบกันครั้งแรก กลับให้คำแนะนำแก่นางอีกด้วย ต่อให้จะอยู่ในที่ลับ สะใภ้ใหญ่ก็เป็นเช่นนั้นขอรับ”
“ทำไมข้ารู้สึกขัดแย้งกัน เจ้าบอกว่านางมีสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงพูดจาก็เมินเฉย แต่บอกว่านางมีเมตตา ส่วนจิงอิ๋งกลับบอกว่านางเป็นคนดีมาก? เป็นไปได้หรือไม่ที่นางมีหลายใบหน้า?” เหตุใดซั่งกวนเจวี๋ยยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแย่ลงเรื่อยๆ
“คุณชาย สะใภ้ใหญ่หน้าตาสะสวยตามคำบอกของช่าจื่อ ปกติแล้วสะใภ้ใหญ่จะไม่ทำหน้าบึ้งตึงในห้อง แต่ก็น้อยครั้งที่จะยิ้ม ยามที่เผลอยิ้มออกมานั้น แม้กระทั่งสาวใช้ใหญ่สองคนที่อยู่ข้างกายนางมานานหลายปีก็ยังถึงกับสติหลุดลอยไปชั่วครู่เช่นกัน นางจึงตีหน้าขรึม มันจะดีขึ้นเล็กน้อย จะไม่ก่อให้เกิดคำครหาและความเข้าใจผิดมากเกินไป น้ำเสียงของสะใภ้ใหญ่มีความเป็นพิเศษมาก หากไม่จงใจทำเสียงให้เย็นชาลง ก็นับว่าไม่ได้ดีเท่าใดขอรับ!” เยี่ยนเซียงพูดอย่างชั่งใจ เขาไม่สามารถประเมินรูปลักษณ์และน้ำเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้โดยตรง จึงต้องใช้คำที่ช่าจื่อพรรณนาไว้มาพูดได้เท่านั้น
“ยังมีอีกหรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยปฏิเสธจะแสดงความคิดเห็น มีบางสิ่งที่ไม่อาจพูดได้ต่อหน้าบ่าวได้
“สะใภ้ใหญ่จะปราดเปรื่องมากหรือไม่นั้น บ่าวก็ไม่เห็น เพียงแต่จะเป็นคนที่ค่อนข้างพิถีพิถัน เรื่องการกินอยู่หลับนอนของนางจะมีสาวใช้หลายคนตรวจสอบอย่างรอบคอบ ไม่ว่าของอะไรจำเป็นต้องดีที่สุด และสาวใช้เหล่านั้นก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน ในหลายวันนี้ทุกคนในเรือนสดับวายุต่างโดนพวกนางบ่นจู้จี้จุกจิก และพูดย้ำๆ ถึงเรื่องนี้แก่สาวใหญ่ผู้ดูแลของตรอก
ซูเยวี่ยนถูกสาวใช้ที่ชื่อจินหรุ่ยกล่าวโจมตีอย่างหมดรูป ถ้าชอบถือว่าดีไป ผ่านกฎเกณฑ์เบื้องต้น นางปักรองเท้าอยู่จึงกลับไปทำงานก่อนและขอบคุณสาวใช้คนนั้นด้วยรอยยิ้มขอรับ” เยี่ยนเซียงกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “แม่นมจ้าวยังดี ไม่ได้คอยจับผิดมากนัก ทั้งยังยิ้มให้อีกด้วย ทุกวันนี้นางสอนกฎการเป็นเมียบ่าวให้อู๋เลี่ยนเยี่ยนมาตลอด เป็นคนใจดี แม่นมที่ชื่อว่าป้า เซียงนั้นไม่ได้ปรากฏตัวเลย ดูเหมือนจะเป็นคนที่คอยปรนนิบัติดูแล คนที่มีอำนาจมากที่สุดคือแม่นมฉินที่มาในวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นแม่นมจ้าวหรือสาวใช้ใหญ่น้อยแต่ละคนต้องรายงานทุกอย่างกับนาง แม้แต่ภรรยาคุณชายใหญ่ก็ยังก้มหัวให้นางขอรับ”
“เจ้าเห็นหรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยจำได้ว่าแม่นมฉินมักจะมีปัญหาอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แม่นมเฒ่าคนนั้นน่าทึ่งจริงๆ ถ้ามีผู้คนมากมายเช่นนี้อยู่รอบกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คาดว่านางคงจะเป็นคนเฉลียวฉลาด ร้ายกาจ และเจ้าแผนการอย่างมาก
“บ่าวไม่เห็น! ไม่ว่าอย่างไรแม่นมฉินมักจะให้เกียรติสะใภ้ใหญ่ต่อหน้าผู้คนเสมอ ต่อให้จะมีความเห็นขัดแย้งกับสะใภ้ใหญ่ก็ตาม ก็จะไม่หักล้างคำพูดของสะใภ้ใหญ่โดยตรง แต่จะจัดการอย่างมีชั้นเชิง ทว่าในเบื้องหลัง ช่าจื่อกลับเห็นแม่นมฉินพูดคุยกับสะใภ้ใหญ่อย่างไม่เกรงใจ แม้จะไม่ได้ตำหนิตรงๆ แต่ก็ไม่ต่างกันนัก สะใภ้ใหญ่ทั้งเคารพยำเกรงแม่นมฉิน และพึ่งพาอาศัยกันมากกว่า แม่นมฉินเองก็รักสะใภ้ใหญ่ดั่งแก้วตาดวงใจจริงๆ เช่นกันขอรับ” เยี่ยนเซียงกล่าวอ้างจากข้อเท็จจริงที่ช่าจื่อ แอบได้ยินเมื่อไม่นานมานี้ แน่นอนว่าจะมีความรู้สึกบางอย่างของช่าจื่ออยู่ในนั้นด้วย
“แล้วว่าที่ภรรยาเล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจเล็กน้อย ดูท่าแม่นมฉินจะแสดงท่าทีแข็งกร้าวเพราะเป็นห่วงจะปกป้องลูกวัว โดยทั่วไปแล้ว ถ้ามีแม่นมที่แข็งแกร่งและร้ายกาจเช่นนี้ เจ้านายจะต้องเก่งกาจมากกว่านี้ถึงจะควบคุมได้ หรือไม่ก็อ่อน แอจนต้องปกป้อง…ถ้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังต้องพึ่งพาแม่นมฉิน ก็คงยังไม่แข็งแกร่งถึงขั้นนั้น
“สะใภ้ใหญ่เป็นคนมีเหตุผล แม้จะอ่อนแอเล็กน้อย แต่ก็เป็นเพราะขาดความมั่นใจ ตั้งแต่นายท่านตระกูลเยี่ยนมาถึงลี่โจว ก็ไม่ได้พบหน้าหรือพูดคุยกับสะใภ้ใหญ่ คนอื่นๆ ในตระกูลเยี่ยนก็เหมือนกัน ดูท่าสะใภ้ใหญ่จะค่อนข้างเฉยเมยกับคนในครอบครัว และไม่ได้ตั้งใจจะพึ่งพาพวกเขา แต่นางก็ค่อนข้างกล้าแสดงออก ต่อให้แม่นมฉินจะไม่เห็นด้วย แต่ก็จะไม่อ่อนข้อให้ง่ายๆ ส่วนสาวใช้และแม่นมคนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ภักดีกับนางอย่างมาก ควบคุมบ่าวไพร่ได้แน่นอนขอรับ!” เยี่ยนเซียงยังเห็นในจุดนี้
“คุณหนูรองบอกว่านางโดดเด่น เจ้ามีความเห็นอย่างไร?” จู่ๆ ซั่งกวนฮ่าวก็ขัดจังหวะ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเชื่อมั่นว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องเป็นคนที่ปราดเปรื่อง จิงอิ๋ง และหลิงหลงก็ยืนยันมุมมองนี้เช่นกัน ไม่รู้ว่าเยี่ยนเซียงคิดเห็นอย่างไร
“บ่าวไม่ได้สังเกตเห็นจุดนี้เลย ช่าจื่อยังบอกอีกว่า ในช่วงสองสามวันนี้สะใภ้ใหญ่ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น นอกจากการปักขอรับ” เยี่ยนเซียงเล่าอย่างละเอียดว่า “ยังมีงานปักที่ทำเป็นฉากกั้นจะวางในเรือนหลังใหม่ซึ่งยังไม่เสร็จ สะใภ้ใหญ่จึงปักทุกวัน ก็ไม่เห็นนางมีงานอดิเรกอื่นใด!”
“ยังมีอะไรอีกหรือไม่?” โดยทั่วไปแล้วซั่งกวนเจวี๋ยประทับใจอยู่มาก
“สะใภ้ใหญ่มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง สาวใช้ใหญ่ของนางมาสอบถามอารามในลี่โจวเมื่อหลายวันก่อน เพียงแต่สะใภ้ใหญ่ก็ถือขนบด้วยเช่นกัน จื่อหลัวมาสอบถามถึงอารามมากที่สุด ดูเหมือนพวกนางคิดจะไปไหว้พระในอีกไม่กี่วัน ช่าจื่อยังได้ยินที่นางกับแม่นมฉินคุยกันว่า สะใภ้ใหญ่ถึงขั้นเคยคิดจะถอนหมั้นแล้วออกบวช แต่โชคดีที่ถูกห้ามไว้ขอรับ!” คำพูดของเยี่ยนเซียงทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย พลางคิดว่าถ้าไม่ถูกห้ามก็คงจะดีมาก จะได้ไม่ต้องแต่งงานกับนาง และจะเก็บตำแหน่งภรรยาเอกของ ‘นาง’ ไว้
“มีอีกหรือไม่?” เมื่อมองเห็นสีหน้าหดหู่ของซั่งกวนเจวี๋ยอยู่บ้าง ซั่งกวนฮ่าวก็รับช่วงถามต่อ
“สะใภ้ใหญ่ดูเหมือนจะไม่สนใจว่าคุณชายจะรับอนุหรือไม่ จากคำพูดของนาง ไม่ได้บอกว่าจะไม่รับอนุภรรยา ทั้งค่อนข้างใจกว้างกับอู๋เลี่ยนเยี่ยนเช่นกันขอรับ!” เยี่ยนเซียงคิดสักพัก แล้วพูดเรื่องนี้ออกมา เขาแอบคิดว่า ‘คุณชายของตนจะยังไม่ทิ้งจอมยุทธ์หญิงสามคนที่ย้ายไปเรือนหิมะสุขใจที่มีท่าทางแตกต่างกันไป ซึ่งแต่ละคนก็มีรูปโฉมไม่แพ้กัน คาดว่าหลังจากภรรยาคุณชายใหญ่แต่งเข้าเรือน กฎเกณฑ์ของตระกูลซั่งกวนจะพุ่งไปตรงนั้น คุณชายใหญ่จะแต่งภรรยารองผิงชีก็น่าจะยากเล็กน้อย แต่ถ้ารับอนุภรรยาเข้ามา แม้สะใภ้ใหญ่อาจจะหึงหวงและเสียใจแต่ก็จะโอนอ่อนผ่อนตาม และช่วยจัดการเรื่องนี้…นายท่านของตระกูลซั่งกวนโดยทั่วไปจะไม่แต่งภรรยารอง คุณหนูทั้งสามก็ไม่ได้ทำให้คุณชายใหญ่หลงใหลจนถึงขั้นแต่งเป็นภรรยารอง แต่ถ้ารับเป็นอนุ นอกจากหวงเซียวเซียงแล้ว อีกสองคนก็น่าจะดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง’
คำอวยพรให้คู่บ่าวสาวมีความสุขไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ขอเพียงคนคนเดียวก็พอ! แต่นางอยู่ที่ใดกัน? ซั่งกวนเจวี๋ย ถอนหายใจ บางทีเขาอาจมีชีวิตได้กอดเมียหลายคนเท่านั้นกระมัง!
“ยังมีอีกหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่สนใจอีกต่อไป ฟังดูแล้วเยี่ยนมี่เอ๋อร์คงดีจริงๆ ช่างน่าเบื่อนัก
“ไม่มีแล้วขอรับ!” เยี่ยนเซียงส่ายหัวหลังจากคิดอย่างรอบคอบ ข้อมูลที่เขาได้รับก็มีเพียงเท่านี้
“เอาล่ะ เจ้าออกไปได้แล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยยังมีบางอย่างจะพูดกับซั่งกวนฮ่าว จึงให้เยี่ยนเซียงถอยออกไป
—————————————————-