“จิงอิ๋งตอบแบบนั้นจริงเหรอ?” ในขณะเดียวกัน ยังมีนายหญิงของเรือนหลักหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่ดูแลตระกูลซั่งกวนก็ไม่กล้าเชื่อเช่นกัน เพียงแต่น้ำเสียงของนางกลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“บ่าวโกหกท่านได้หรือเจ้าคะ?” แม่นมสีพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “อย่าบอกว่าท่านไม่เชื่อเลย ต่อให้จะเป็นบ่าวเองตอนนี้ก็ยังไม่ได้สติกลับคืน”
“นั่นไม่เหมือนท่าทางของคุณหนูรองของเราจริงๆ!” ม่านหรูยิ้มแล้วรับลูกพูดต่อจากแม่นมสีว่า “ฮูหยิน น่าเสียดายจริงๆ ที่ท่านไม่ได้เห็นฉากนั้น! คุณหนูรองทำกิริยาแบบนั้น ความใจกว้างเช่นนั้น อย่าพูดถึงคุณหนูรองในอดีตเลย ต่อให้เป็นคุณหนูใหญ่ก็ทำไม่ได้”
“ใช่เจ้าค่ะ!” แม่นมสีพูดกลั้วหัวเราะว่า “ฮูหยิน มีหลายคนจริงๆ ที่คิดจะลงมือก่อนเพื่อชิงความได้เปรียบ ทั้งม่านชิงที่รับใช้คุณหนูใหญ่ แม่นมอี้กับแม่นมอู่ที่รับใช้ฮูหยินใหญ่ก็อยู่ที่นี่ด้วย การกระทำของคุณหนูรองของเราก็ทำให้ตกใจมากถึงกับตาหลุด คาดว่าตอนนี้กำลังคุยกันว่าเหตุใดคุณหนูถึงทำตัวแบบนั้นเจ้าค่ะ”
“ม่านชิงไปด้วยเหรอ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก ม่านชิงเป็นสาวใช้ชั้นหนึ่งมือดีที่สุดที่ประจำตัวหลิงหลง นางไม่ได้รับใช้อยู่ข้างกายหลิงหลง วิ่งไปถึงหน้าประตูใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพื่อหยุดจิงอิ๋ง แล้วจะทำอะไรได้อีก?
“เจ้าค่ะ” แม่นมสีเพิ่งตระหนักว่านางพูดผิดไปในตอนนี้ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
“ยัยอู๋เลี่ยนเยี่ยนเฉยปลิ้นปล้อนอู๋เลี่ยนเยี่ยนยังอยู่กับหลิงหลงใช่ไหม?” แม้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะถามพวกนางอีกครั้ง แต่มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว หลิงหลงให้ม่านชิงไปหยุดจิงอิ๋ง ย่อมไม่ใช่เพราะจิงอิ๋งออกจากบ้านไปหลายวันแล้วคิดถึงเป็นแน่ แต่คิดว่าอยาก จะรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคนแบบไหนจากปากจิงอิ๋งที่ไร้เดียงสาสินะ นางไม่เคยห่วงใยน้องสาวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และตอนนี้ยังให้คนรับใช้ที่ต่ำต้อยมาทำเรื่องอย่างนี้ มันช่างน่าผิดหวังจริงๆ!
“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้อู๋เลี่ยนเยี่ยนส่วนใหญ่อยู่ในเรือนของคุณหนูใหญ่ ยกเว้นจะไปช่วยงานอนุภรรยาอู๋เป็นครั้งคราว สุ่ยซินตอบมาเมื่อวานนี้ว่านางยังยุยงให้คุณหนูใหญ่ไปที่เรือนสดับวายุด้วย” แม่นมหยางหลุบตาต่ำอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนแล้วพูดคำนี้ออกมา สาวใช้ในเรือนของคุณชายคุณหนูล้วนถูกคัดเลือกมาอย่างดีจากนาง จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะรู้เรื่องอะไรบางอย่าง
“หลิงหลงมีปฏิกิริยาเป็นอย่างไร?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อขุ่นเคืองอยู่ในใจ อู๋เลี่ยนเยี่ยนมีฐานะอะไร และไม่ต้องพูดถึงอู๋น่ง อวิ๋นผู้ซึ่งทำให้นางรู้สึกเกลียดเข้ากระดูกดำ แต่ครอบครัวอู๋เป็นเพียงทาสที่หลุดพ้นจากการเป็นทาสเพราะอู๋น่งอวิ๋นมักใหญ่ใฝ่สูง นึกไม่ถึงเลยว่าอู๋เลี่ยนเยี่ยนจะอ้างว่าเป็นคนสนิทของหลิงหลง? คนสนิทอะไร? ใครจะเป็นคนสนิทได้? หลิงหลงเข้าใจหรือไม่?
“คุณหนูใหญ่ทราบเจตนาดี แต่ไม่ได้รับปาก สุ่ยซินเป็นเพียงสาวใช้ชั้นสอง จึงไม่มีโอกาสใกล้ชิดกับคุณหนูมากนัก” คำตอบของแม่นมหยางทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อโล่งใจเล็กน้อย
“นี่มันชะตากรรมอะไรของข้า!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเอ่ยอย่างขมขื่น “เจวี๋ยเอ๋อร์เป็นลูกชายคนโตภรรยาเอก ตั้งแต่เริ่มเรียนขั้นพื้นฐานเขาอาศัยอยู่คนเดียวในเรือนด้านตะวันออก แม้จะมาปรนนิบัติทั้งเช้าค่ำแต่ก็ไม่ได้สนิทกับข้า การมีหลิงหลงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เนื่องจากคลอดนาง สุขภาพของข้าจึงทรุดโทรม เลยไม่ได้เลี้ยงดูนางด้วยตัวเอง น่งอวิ๋นตัวแสบจึงหาโอกาสใกล้ชิดนาง ทั้งยังทำให้ลูกสาวในไส้ของข้าเองห่างเหินกับข้าอีกด้วย ยัยจิงอิ๋งก็เป็นเด็กไม่เชื่อฟัง ส่วนอิงเอ๋อร์เป็นเด็กโตเกินวัย พอหัดเดินได้ก็เหมือนผู้ใหญ่…ทำไมข้าถึงให้กำเนิดลูกสี่คนแต่กลับไม่มีใครห่วงใยมาหาข้าและพูดคุยกับข้าทุกวัน!”
บรรดาแม่นมเงียบกริบ พวกสาวใช้ก็ไม่กล้าพูดอะไร นี่เป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่สุดของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ และไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงในยามปกติ
“แค่กๆ…ฮูหยิน ท่านจะไปหาคุณหนูเยี่ยนอู่เมื่อใด? ท่านไม่เคยเจอคุณหนูเยี่ยนอู่ตั้งแต่ไปงานศพคุณหนูฉิงเมื่อสามปีก่อน แล้วก็ไม่ได้พบนางอีกเลย” แม่นมหยางเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว พูดประเด็นที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อสนใจทันที
“จริงด้วย!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกระฉับกระเฉงขึ้นมา เนื่องจากกฎที่ซับซ้อนของตระกูลซั่งกวน นางต้องหลีกเลี่ยงเมื่อพูดคุยเรื่องการแต่งงาน และไม่มีโอกาสได้เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่โตแล้ว แม้จะได้ยินว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคุณหนูที่สวยที่สุดของตระกูลเยี่ยน แต่ไม่มีใครเห็นนาง นางยังคงอยากรู้อยากเห็นมากและกล่าวด้วยความสนใจตื่นเต้นว่า “น้องฉิงเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง ไม่รู้ว่ามี่เอ๋อร์ได้รับมรดกความงามมามากแค่ไหน ตอนเจอนางที่งานศพของน้องฉิงนั้น นางอายุเพียงสิบสี่ปี ยังไม่โตเต็มวัย แต่ก็เริ่มฉายแววสาวงามวัยแรกแย้มอีกด้วย เพียงแต่ผู้หญิงโตขึ้นเปลี่ยนไปสิบแปดแบบ[1] ไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร”
“คาดว่ายิ่งโตก็ยิ่งสวยขึ้นนะเจ้าคะ” แม่นมสีกล่าวอย่างมีอารมณ์ขัน “ฮูหยินยังจำได้หรือไม่ว่าตอนที่ท่านเพิ่งรู้จักคุณหนูฉิงครั้งแรก คุณหนูฉิงเป็นเพียงเด็กสาววัยสิบสองปี แม้นางจะเป็นที่รู้จักในเมืองเซิ่งจิง แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะนิสัยใจคอกับพรสวรรค์ของคุณหนูฉิงมากกว่า ความสวยไม่ได้โดดเด่นเหมือนลูกผู้พี่ของนาง แต่เมื่อพวกท่านได้พบกันอีกครั้ง คุณหนูฉิงสวยมากจนเราไม่เคยคิดเลยว่านางจะเป็นหญิงสาวแรกรุ่นที่สุภาพเรียบร้อยในตอนนั้น ทว่าโดยทั่วไปแล้วลูกสาวจะเหมือนแม่ คุณหนูเยี่ยนอู่ก็ต้องยิ่งโตยิ่งสวยกว่านี้ ถ้าได้คุณหนูฉิงมาสักแปดเก้าส่วนแล้วแต่งตัวนิดหน่อย อาจจะเฉือนเอาชนะคุณหนูชิงหวั่นจากตระกูลมู่หรงได้”
“จะเทียบกับชิงหวั่นก็ตาม ชิงหวั่นได้รับมรดกส่วนที่ดีที่สุดของพ่อแม่ของนาง หากจะหาคนที่เทียบกับชิงหวั่นในด้านรูปลักษณ์แล้ว คาดว่าจะต้องคัดเลือกเท่านั้น” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวในทางปฏิบัติว่า “เพียงแค่สวยกว่ายัยเด็กทั่วป๋าฉินซินคนนั้นก็พอ เกรงว่าฮูหยินใหญ่จะพูดถึงทั้งวัน!”
“ไอหยา ฮูหยินของข้า!” แม่นมสีร้องออกมาว่า “เทียบกับใครก็ไม่ดีเลย หากจะเทียบกับคุณหนูสี่ของตระกูลทั่วป๋า ไม่ใช่ว่าท่านกำลังย่ำยีว่าที่ภรรยาคุณชายใหญ่ตระกูลซั่งกวนของเราหรือ”
“ฮ่าๆ !” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อหัวเราะออกมา อารมณ์ที่ไม่ดีอันตรธานหายไป ทั่วป๋าฉินซินก็เป็นคุณหนูที่ดีเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลทั่วป๋ากับทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่อยู่ข้างหลังนาง หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะไม่คอยจับผิดกับนางมากนัก นับประสาอะไรจะพูดอย่างนั้นออกมา
“ฮูหยิน ข้าไม่คิดว่าคุณหนูเยี่ยนอู่เป็นคนธรรมดาๆ ข้าไม่รู้ว่านางได้สืบทอดความงามของคุณหนูฉิงมาหรือไม่ แต่จะต้องได้รับความเฉลียวฉลาดของคุณหนูฉิงมาแน่นอน” แม่นมหยางเห็นว่านางอารมณ์ดีขึ้น รู้สึกโล่งใจ จึงเริ่มวิเคราะห์คุณหนูตระกูลเยี่ยนที่ไม่เคยพบหน้าผู้นั้น
“พูดว่าอะไรนะ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อตะลึงงัน แล้วมองไปที่แม่นมหยางอย่างจริงจัง แม่นมหยางไม่ค่อยเข้าใจความคิดของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเหมือนกับแม่นมสี แต่นางเห็นคนอื่นและสิ่งต่างๆ ชัดเจนยิ่งกว่าแม่นมสี ถือได้ว่ามีจุดเด่นของตัวเอง
“เพียงจุดเดียวนี้ คุณหนูรองก็เปลี่ยนไป” แม่นมหยางพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ “ฮูหยิน คำพูดที่ไม่ไพเราะนั้น คุณหนูรองเป็นสำเนาในวัยเยาว์ของท่าน ข้าไม่ได้พูดถึงนิสัย แต่เป็นความอ่อนต่อโลกและสภาพที่บ้าน ท่านลองคิดดูว่ามันเป็นแบบนี้หรือไม่?”
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อตกใจไปทั้งตัว นั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อน นางเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยเป็นอย่างไร หวงฝู่เยวี่ย เอ้อผู้ปราดเปรื่อง หน้าตาดีงาม และมีพรสวรรค์ในวรยุทธ์มักจะถูกลืมไปในมุมหนึ่งผู้นั้น หวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่ไม่มีใครเคยเห็นผู้นั้น จึงรู้สึกเศร้าระทมเล็กน้อยเมื่อนึกถึงในตอนนี้ แต่ก็เหมือนกับจิงอิ๋งมากตามที่แม่นมหยางพูดไว้จริงๆ แม้จะมีเพียงพี่ชายเท่านั้นที่ใส่ใจเรื่องนี้โดยไม่สงวนท่าทีเลย
“ใช่แล้ว ข้าเกือบจะลืมไปเลย เพียงแต่ตอนนั้นข้ากลัดกลุ้มและอึดอัดใจ แต่จิงอิ๋งกลับร่าเริงแจ่มใสมากมาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะการเปรียบเทียบของเจ้า ข้าคงคิดไม่ถึงจริงๆ” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยิ้มเจื่อนๆ ตอนนางไปที่เซิ่งจิงก็เป็นเวลาที่นางหดหู่ที่สุดอีกด้วย
“ท่านยังจำตอนที่ท่านพบกับคุณหนูฉิงครั้งแรกได้หรือไม่ว่าเป็นเมื่อใด?” แม่นมหยางเอ่ยถามเบาๆ
“ทำไมจะจำไม่ได้? นั่นเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของข้า ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นข้าเจ็บปวดและไม่สามารถควบ คุมตัวเองได้ พี่ใหญ่จะไม่กดดันให้ข้าไปพักผ่อนที่เซิ่งจิง ก็จะไม่ได้พบกับน้องฉิง” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะลืมไปได้อย่างไร นางเพิ่งถึงวัยปักปิ่นในปีนั้น หลังจากที่นางเต็มไปด้วยความหวัง รอทำพิธีปักปิ่น นางก็ไปร่ำเรียนที่สำนักดรุณีในเซิ่งจิงอย่างมีหน้ามีตา เพื่อสร้างโอกาสให้ตัวเองมีชื่อเสียง นายหญิงผู้เฒ่าในตระกูลหวงฝู่ ท่านย่าของนางปฏิเสธความพยายามและความเข้มแข็งของนางโดยตรง บอกว่านางไม่เป็นโล้เป็นพายมีแต่จะล้มเหลว และมอบตำแหน่งที่เดิมทีเป็นของนางให้กับน้องบุญธรรมจากอนุ ภรรยาที่มีชื่อเสียงในเรื่องความอ่อนโยนผู้นั้น ทำให้นางหดหู่จนอยากฆ่าคน!
“คุณหนูฉิงเป็นคนที่ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของท่านอย่างชัดเจนตรงเป้า นางแนะนำวิธีทำให้ฮูหยินใหญ่พอใจท่าน และวิธีที่จะโดดเด่น ปล่อยท่านออกจากเงามืดของพวกนาง ยังจำได้ตอนที่ท่านพาเราออกจากเซิ่งจิงกลับไปที่ตระกูลหวงฝู่ คนเหล่านั้นในตระกูลหวงฝู่มีสีหน้าอย่างไร?” แม่นมหยางถามอีกครั้ง
“ทำไมจะจำไม่ได้? นั่นเป็นช่วงเวลาที่ข้าภูมิใจที่สุด แม้แต่พี่ใหญ่ก็ยังอึ้งตกใจ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจำฉากนั้นได้และมีความสุขที่มันเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของนาง
“ฮูหยิน ท่านบอกว่าสีหน้าของคุณหนูรองในวันนี้คล้ายคลึงกับท่านในตอนนั้นมากใช่หรือไม่?” แม่นมหยางเตือนหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ นางฉลาดมาก แต่จิตใจไม่ละเอียดอ่อนพอ ลูกสาวทั้งสองจึงได้รับมรดกในจุดนี้ไป
“เจ้าหมายความว่าสีหน้าที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงของจิงอิ๋งนั้นเป็นผลมาจากคำแนะนำของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างนั้นหรือ?”
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่สงสัยเลยว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะมีฝีมือขนาดนั้น นางจึงอยากให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลายเป็นสะใภ้อย่างสุดจิตสุดใจ นอกจากสัญญาหมั้นหมายปากเปล่าเมื่อหลายปีก่อน นอกเหนือจากความสัมพันธ์ฉันมิตรกับจงเสวี่ยฉิงแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นยังหวังว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะมีสติปัญญาเหมือนมารดา ช่วยนางกำจัดสถานการณ์ในตอนนี้ได้
“คนเดียวที่คุณหนูรองได้สัมผัสในช่วงครึ่งเดือนนี้ก็คือคุณหนูเยี่ยนอู่กับคนรอบข้างของนางเท่านั้น” แม่นมหยางวิเคราะห์ว่า “บางทีอาจจะไม่ใช่คุณหนูเยี่ยนอู่ ก็อาจจะเป็นแม่นมฉิน…ความร้ายกาจของแม่นมฉิน ข้ากับแม่นมสีได้เรียนรู้มาแล้ว และยังจำตราตรึงอยู่ในใจ ข้าคิดว่า ต่อให้คุณหนูฉิงจะด่วนจากไปก่อน แล้วมีคนอย่างแม่นมฉินอยู่ข้างกายคุณหนูเยี่ยนอู่ นางก็จะไม่ธรรมดา”
“นั่นไง!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งพลางกล่าวว่า “ดูท่าการที่มี่เอ๋อร์กลายเป็นภรรยาของเจวี๋ยเอ๋อร์จะมีประโยชน์อีกอย่างที่ข้าไม่เคยคิดเลย หลังจากที่นางแต่งเข้ามา ข้าจะให้นางมาอบรมสั่งสอนจิงอิ๋ง ด้วยคำสอนของอาจารย์เฉา และการอบรมของมี่เอ๋อร์ จิงอิ๋งจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปมากแน่นอน ลบล้างผลกระทบที่ไม่ดีและความอัปยศที่เกิดจากเหตุการณ์นั้นเมื่อปีกลายได้!”
“เพียงแต่ไม่ทราบว่าคุณหนูรองประทับใจคุณหนูเยี่ยนหรือไม่?” แม่นมหยางเอ่ยด้วยความกังวลใจเล็กน้อยว่า “ยังไม่มีข่าวคราวอะไรจากหวงจิ่วที่อยู่เรือนสดับวายุ เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้าง แต่หากรู้ก่อนก็คงยอมแบกความกดดัน ออกไปต้อนรับคนของตระกูลเยี่ยนแล้ว”
“จิงอิ๋งประทับใจมี่เอ๋อร์หรือไม่จะได้รู้กันในช่วงอาหารค่ำ ข้าคิดว่าไม่ต้องให้ข้าถาม แต่มีหลายคนที่อยากรู้เกี่ยวกับมี่เอ๋อร์ สำหรับเรือนสดับวายุนั้น หวงจิ่วเป็นคนมีปฏิภาณไหวพริบอยู่แล้ว มีเขาอยู่ที่นั่นจะไม่มีเรื่องผิดปกติอะไร ถ้าเจ้าไปอาจจะไม่มีประโยชน์อะไร” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวพลางครุ่นคิด ในตอนแรกนางต้องการส่งแม่นมสีหรือแม่นมหยางไปที่เรือนสดับวายุ ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีความสำคัญ ต้องทำให้ผู้คนของตระกูลเยี่ยนได้พักผ่อนอย่างเหมาะสมและสะดวกสบายแน่นอน แต่…เช่นเดียวกับที่นางเลือกสาวใช้ชั้นหนึ่งให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ มักจะมีคนออกตัวไปก้าวก่าย ไหนจะฮูหยินใหญ่คนหนึ่งและยังมีอนุภรรยาอู๋อีกคนหนึ่ง ดังนั้นจึงเลือกสาวใช้สองคนได้ตามต้องการ ที่ไม่ได้ใช้คำว่า ‘ม่าน’ มาตั้งชื่อ แต่ใช้คำว่า ‘ช่าจื่อเยียนหง’ มาตั้งชื่อเพื่อจะได้เรียกอย่างคล่องปาก ถ้าพวกนางเข้าตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แล้วจะเปลี่ยนชื่อเรียกก็เป็นเรื่องของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ หากไม่เข้าตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คิดว่าตอนนี้ต้องถูกขับไล่มาแล้ว
นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าแม่นมตู้มีบทบาทแบบไหน แต่แทนที่จะจัดการแม่นมตู้ออกไป แล้วเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่รู้จักว่าเป็นใคร สู้ใช้แม่นมตู้จะดีกว่า อย่างน้อยก็รู้กาลเทศะพูดคุยเรื่องสำคัญ แล้วดึงนางออกมา ให้คนอื่นเฝ้าดูพฤติกรรมของนาง
“บ่าวเป็นกังวลว่าแม่นมตู้จะไม่สนใจคำสั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าของท่าน แล้ววางอำนาจกับคุณหนูเยี่ยนอู่หรือไม่?” ความวิตกของแม่นมหยางไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล นกสองหัวแบบนั้น ด้านหนึ่งเป็นฮูหยิน อีกด้านหนึ่งเป็นฮูหยินใหญ่ ยังมีอีกด้านคืออนุภรรยาอู๋ คราวนี้คาดว่าฮูหยินใหญ่กับอนุภรรยาอู๋จะให้นางทำให้คนของตระกูลเยี่ยนเสียหน้า นางจะทำเรื่องแบบนั้นได้จริงๆ
“ข้าไม่เป็นห่วงเรื่องนั้น! ถ้ามี่เอ๋อร์ไม่อาจจัดการได้แม้กระทั่งแม่นมตู้ นางก็ไม่คู่ควรจะเป็นภรรยาคุณชายใหญ่ของตระกูลซั่งกวน นางจะต้องดิ้นรนในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเป็นแน่ อีกอย่าง มี่เอ๋อร์ยังมีแม่นมฉินอยู่ข้างๆ จะตกเป็นเบี้ยล่างอะไรเล่า!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ข้าต้องพิจารณาตอนนี้ว่าจะไปพบมี่เอ๋อร์เมื่อใด!”
“ท่านหมายความว่า…” แม่นมหยางเข้าใจนิดหน่อย แต่แม่นมสียังคงสับสน ฮูหยินรอคอยที่จะได้เจอคุณหนูเยี่ยนอู่มาตลอดไม่ใช่หรือ? ทำไมต้องพิจารณาเวลาที่จะไปพบกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยเล่า?
“ข้าบอกแม่นมฉินเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลซั่งกวน และก็จัดคนบางส่วนไว้ในเรือนสดับวายุ ถ้ามี่เอ๋อร์เป็นคนเก่ง ก็จะจัดการทุกอย่างได้ภายในสามวัน สิ่งที่ข้ากังวลคือในกรณีที่นางไม่มีทั้งความสวยและฉลาดเหมือนน้องฉิง…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังคงกระวนกระวายใจเล็กน้อย
“ฮูหยิน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราก็ทำได้เพียงคาดหวังว่านางจะเป็นคนที่มีเชาวน์ปัญญาเกินคนเหมือนคุณหนูฉิง” คำพูดของแม่นมหยางทำให้นางท้อแท้ขึ้นมา
“เอาล่ะ! แค่ให้เวลานางสามวัน แล้วเราจะไปที่เรือนสดับวายุหลังมื้อเที่ยงในวันที่สี่” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อตัดสินใจ อย่างไรก็ตามไม่มีที่ว่างให้ถอยหนีแล้ว
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน!” แม่นมหยางกับแม่นมสีสบตากัน ทั้งสองคนก็คลายความไม่สบายใจออกไป
“ตอนนี้ข้ากำลังคิดปัญหาอื่นอยู่…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยอมทิ้งภาระในใจ มีอารมณ์พูดล้อเล่นว่า “พวกเจ้าคิดว่าตอนนี้แม่นมตู้จะถูกมี่เอ๋อร์กับแม่นมฉินวางอำนาจโต้กลับหรือไม่?”
———————————-
[1] ผู้หญิงโตขึ้นเปลี่ยนไปสิบแปดแบบ หมายถึง รูปร่างหน้าตาของผู้หญิงนั้นเปลี่ยนอยู่ตลอดชีวิต ใช้บรรยายถึงผู้หญิงที่ตอนเล็กๆ หน้าตาธรรมดา แต่โตขึ้นมาแล้วสวยงามมาก