“หลินอิ่ง สวัสดี ฉันชื่อหลินเซวียน” หลินเซวียนหัวเราะ แล้วเปิดปากพูดก่อนว่า “ถ้าตามศักดิ์แล้วฉันโตกว่านายหนึ่งรุ่น แต่นายกับฉันอายุต่างกันไม่เยอะ ในอนาคตมีอะไรเราก็คุยกันเหมือนคนรุ่นเดียวกันนั่นแหละ”
ในแวดวงลึกลับมักมีกฎที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ ไม่เคยพูดถึงเรื่องอายุว่าน้อยหรือมาก แต่จะดูจากความสามารถของวิชาบูโด
ดังคำกล่าวที่ว่า ไม่ว่าจะทำอะไรไม่มีก่อนหรือหลัง ผู้ที่บรรลุเข้าใจก็เป็นครูได้
หลินอิ่งจึงพูดว่า “สวัสดี หลินเซวียน”
“คุณชายใหญ่ถ้าไม่ถือสาอะไรก็เชิญนั่งจิบชากันก่อนครับ แล้วค่อยๆพูดคุยกัน” หลินซวนหวาพูดอย่างสุภาพ
หลินซวนหัวเราะแล้วพูดว่า “อาสิบสองเกรงใจเกินไปแล้วครับ วันนี้ผมไม่ได้มาจิบชาหรอกครับ แต่มีคำสั่งจากแม่เฒ่า ให้ผมมาบอกกับหลินอิ่ง”
พูดจบ หลินเซวียนก็มองไปที่หลินอิ่ง ท่าทีเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น แล้วพูดขึ้นมาว่า “หลินอิ่ง แม่เฒ่าสั่งว่าให้นายออกเดินทางภายในสามวัน ไปที่มณฑลจี้โจว จัดการเรื่องของตระกูลเผยแห่งจี้โจว ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เมื่อถึงหลินซื่อกรุ๊ปที่มณฑลจี้โจวแล้ว จะมีคนมอบให้นายเอง”
“แม่เฒ่าเหมือนจะไม่เคยถามความเห็นของฉันมาก่อนนะ ว่าจะไปมณฑลจี้โจวไหม ต้องดูว่าฉันมีเวลาว่างไหม” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉยว่า “จะไปเมื่อไร ต้องดูอารมณ์ฉัน”
“การเดินทางครั้งนี้ ฉันก็จะไปที่มณฑลจี้โจวด้วย”
“ทางที่ดีนายควรจะร่วมมือกับฉันนะ”
น้ำเสียงของหลินเซวียนเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้น ใช้น้ำเสียงของผู้บังคับบัญชาสั่งยังไงอย่างนั้น
“นายกำลังสั่งฉันงั้นหรอ?” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ถ้าฉันไม่ร่วมมือนายล่ะ?”
“งั้นนายก็คงต้องตาย” หลินเซวียนพูดอย่างเย็นชา
หลินอิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“นายคงจะเข้าใจเรื่องที่ว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ดังนั้น ทางที่ดีนายควรวางตัวให้ดี ถ้านายวางตัวไม่ดีล่ะก็ ฉันจะกำจัดนายอย่างไร้ความปรานี” หลินเซวียนพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมแม้แต่นิดเดียว
ใช่แล้ว การต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดก็คือต้องมีคนใดคนหนึ่งตายกันไปข้าง
หลินอิ่งกับหลินเซวียน มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ชนะ ได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้แพ้ จะไม่ได้อะไรเลย
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หลินเซวียนก็มองไปที่หลินซวนหวา แล้วพูดว่า “อาสิบสองครับ หลายปีมานี้อาใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก กว่าจะกลับตระกูลหลินมามันไม่ง่าย ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขสองสามวัน ทางที่ดีอาต้องรู้จักรักษาไว้นะครับ”
“เกลี้ยกล่อมหลานของอาหน่อยเถอะครับ ถ้ารู้ว่าควรวางตัวเองอยู่ที่ไหน ผมก็จะให้เขาอยู่ในตระกูลหลินต่อไป ไม่อย่างนั้น ชะตากรรมของเขาจะไม่ได้ดีไปกว่าหลินเซี่ยว”
“อย่าคิดว่า ฆ่าหลินเซี่ยวคนเดียว จะปฏิบัติตัวคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์จริงๆ”
หลินเซวียนพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็นจบ ก็หันหลังเดินออกมาจากสวนหลังบ้านไป
สีหน้าของหลินซวนหวาเคร่งขรึมลง มองไปที่แผ่นหลังของหลินเซวียน กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“อิ่งเอ๋อ การปรากฏตัวของหลานเป็นสิ่งต้องห้ามของคุณชายใหญ่ เขาเล็งหลานไว้แล้ว” หลินซวนหวาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ในอดีตหลินเซี่ยวไม่เคยกล้าเผชิญหน้ากับหลินเซวียนอย่างโจ่งแจ้ง ครั้งนี้ แม่เฒ่าสั่งให้หลานเป็นแม่ทัพ แล้วให้หลานกับหลินเซวียนไปประลองฝีมือกันที่มณฑลจี้โจว เขาโกรธแล้วล่ะ”
“ช่างมันเถอะครับ” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ผมมาที่ตระกูลหลิน ก็เพื่ออยากจะสู้เพื่อคุณปู่กับคุณแม่ จะผู้อาวุโสก็ดี หรือผู้อาวุโสสอง คนที่ปฏิเสธไม่ยอมรับ ผมก็จะจัดการให้ราบคาบ”
“หลานมีความมั่นใจมันก็ดี” หลินซวนหวาพยักหน้า “ถ้าต้องการอะไร ปู่พร้อมไปมณฑลจี้โจวช่วยหลานได้ตลอดเลยนะ”
“ปู่ขอแนะนำ ให้ฉีโม่อยู่ที่มณฑลชางโจวเถอะ ถ้าไปที่มณฑลจี้โจวด้วย ปู่กลัวว่าถ้ามีคนต่อกรกับหลานไม่ได้ แล้วจะลงมือกับฉีโม่” หลินซวนหวาพูดอย่างจริงจัง “ฉีโม่อยู่ที่มณฑลชางโจว ปู่ก็จะคอยดูแลให้ดี”
หลินอิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่จางฉีโม่ พลางถามขึ้นมาว่า “ฉีโม่ คุณคิดยังไง?”
จางฉีโม่ลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “คุณจะไปนานเท่าไร?”
หลินอิ่งพูด “ไม่นานหรอกครับ ถ้าฝั่งนั้นสถานการณ์แน่นอนแล้ว ผมค่อยมารับคุณไป”
“งั้นก็ฟังคุณปู่แล้วกันค่ะ ฉันอยู่ที่เมืองชางโจวก็ดีเหมือนกัน ตลาดอัญมณีหยกที่นี่รุ่งเรืองมาก ฉันคิดจะลองเติบโตที่นี่ดู” จางฉีโม่พูด
หลินอิ่งพยักหน้า
เรื่องของมณฑลจี้โจวเกี่ยวข้องกับการถกเถียงในแวดวงลึกลับ อีกทั้งยังเป็นการต่อสู้ที่โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง
คนธรรมดาเข้าไปในนั้น ถ้าไม่ระวังจะไม่เหลือแม้แต่กระดูก
เขาไม่ค่อยวางใจที่จะพาฉีโม่ไปด้วย เป็นกังวลว่าฉีโม่จะถูกลอบทำร้าย
……
ณ ห้องใต้หลังคาอันหรูหราที่ไหนสักที่ ในภูเขาลังยา
“เซวียนเอ๋อ ไปเจอหลินอิ่งมารึยัง?”
หลินเสวียนคุนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ปรมาจารย์ แล้วเอ่ยปากถาม
“เจอแล้วครับ”
หลินเซวียนนั่งตอบอยู่ข้างๆ
หลินซวนคุนถามไปอีกว่า “แกว่าเด็กคนนี้มันเป็นยังไง?”
หลินเซวียนพูดอย่างเรียบเฉย “หลินอิ่งก็งั้นๆแหละครับ”
“หลินอิ่งเป็นคนฆ่าหลินเซี่ยวเชียวนะ” หลินเสวียนคุนพูดอย่างจริงจัง
“หลินเซี่ยวเป็นแค่เศษสวะ ผมไม่เคยเห็นว่าหลินเซี่ยวเป็นคู่ต่อสู้” หลินเซวียนพูดอย่างหยิ่งทะนง
ในฐานะที่เขาเป็นท่านผู้นำในรายการแห่งดินของแวดวงลึกลับ ถูกขนานนามว่าเป็นคนหนุ่มที่มีแนวโน้มจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลก แน่นอนนี่เป็นความภูมิใจของตัวเอง
“ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าคิดยังไง ถึงได้ให้หลินอิ่งไปที่มณฑลจี้โจว เพื่อต่อสู้แย่งชิงกับผม?หลินอิ่งจะเอาอะไรมาสู้กับผม?เขาคู่ควรงั้นหรอ?” หลินเซวียนพูดอย่างเย็นชา สีหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง
หลินเสวียนคุนถาม “เซวียนเอ๋อ แกไปดูแลกิจการที่มณฑลจี้โจวเป็นยังไงบ้าง?แล้ววางแผนจะจัดการหลินอิ่งยังไง?”
“งานใหญ่ของผมในจี้โจวเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “หลินอิ่งไปที่จี้โจวด้วยมือเปล่าตัวคนเดียว นี่มันไม่ต่างอะไรกับเนื้อเข้าปากเสือ ผมอยากจะฆ่าเขา มันเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ”
“มันขึ้นอยู่กับว่าหลินอิ่งจะวางตำแหน่งของตัวเองได้ไหม ถ้าเขายอมเป็นหมาให้กับผม แล้วเชื่อฟังว่านอนสอนง่าย ผมก็จะให้กระดูกเป็นรางวัลกับเขา ถ้ารู้สึกว่าตัวเองเก่ง งั้นก็รอตายได้เลย” หลินเซวียนพูดอธิบาย
“อืม” หลินเสวียนคุนพยักหน้า เหมือนจะมั่นใจในตัวลูกนอกสมรสคนนี้มาก
“เรื่องนี้แกจัดการเองแล้วกัน ขอแค่อย่าทำให้แม่เฒ่าโกรธก็พอ นอกจากนี้ หลินอิ่งยังมีคนใหญ่คนโตให้การสนับสนุน ระวังหน่อยนะ”
“เรื่องนี้ผมรู้ครับ มังกรเขียวที่อยู่ตี้จิงใช่ไหมล่ะ” หลินเซวียนหัวเราะยิ้มอย่างลึกลับ “พ่อครับ ต่อกรกับคนที่สนับสนุนหลินอิ่ง ผมมีแผนแล้วครับ”
……
วันที่สอง
หลินอิ่งกับฉีโม่จากกันที่ภูเขาลังเบา หลินซวนหวาก็ไปด้วยเช่นกัน
ทั้งสามนั่งรถคันเดียวกัน มาถึงเขตของมณฑลชางโจว
หลินซวนหวาได้รับกิจกรรมบางส่วนในเมืองชางโจว รับผิดชอบการทำธุระทางสังคม ถือว่าเป็นการงานสบาย แต่ก็ยังคงไม่ได้เข้าไปครอบครองแก่นอำนาจลึกลับของตระกูลหลิน
และแม่เฒ่าก็ได้มอบของขวัญให้กับฉีโม่ที่เป็นเหลนสะใภ้เป็นของขวัญพบเจอกันครั้งแรก
คฤหาสน์ทั้งหลังใจกลางเมืองชางโจว มูลค่ากว่าพันล้าน
รวมถึงบริษัทเครื่องประดับที่เดิมเป็นของตระกูลหลิน
แม่เฒ่าใจกว้างมาก แต่เธอก็ได้ใช้ความคิดเช่นกัน
หลินอิ่งวางแผนจะให้ฉีโม่พัฒนาต่อไปที่ชางโจว และยังสามารถอยู่เป็นเพื่อนหลินซวนหวาผู้เป็นปู่ด้วย
ทั้งหมดเดินทางไปที่คฤหาสน์ก่อน หลังจากวางสัมภาระแล้ว จึงค่อยเข้าไปในเมือง
เวลากลางวัน กู่ชางไห่ขับรถไปที่อาคารสำนักงานในย่านใจกลางเมืองชางโจวที่เจริญรุ่งเรือง
นี่คือบริษัทที่แม่เฒ่ามอบให้กับฉีโม่ เดิมทีมีชื่อว่าบริษัทชิงเหอจิวเวลรี่กรุ๊ป มีชื่อเสียงในเมืองชางโจวมาก
พอลงจากรถ จางฉีโม่ก็เหลือบมองที่อาคารสำนักงานที่สวยงามตระการตา ซึ่งมีสามสิบกว่าชั้น การออกแบบเป็นโครงสร้างแบบจำลองพิเศษ ค่อนข้างโดดเด่นในใจกลางเมือง
“นี่เป็นของรางวัลการพบเจอกันครั้งแรกของแม่เฒ่าที่มอบให้ฉันงั้นหรอ นี่มันมากเกินไปรึเปล่า” จางฉีโม่กล่าวอย่างสะท้อนใจ
จางฉีโม่คุ้นเคยกับสังคมนี้กับหลินอิ่ง และตัวเธอเองก็ได้สร้างชื่อเสียงที่เมืองตุงไห่ไม่น้อย แต่ก็ตกใจกับความใจกว้างของแม่เฒ่า
คฤหาสน์ทั้งหลัง กับบริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้อีกต่างหาก นี่เป็นแค่ของขวัญเล็กๆสำหรับการพบเจอกันครั้งแรก?
ครอบครัวแม่ของหลินอิ่ง ไม่กล้าจินตนาการจริงๆ
โดยเฉพาะ จางฉีโม่ที่อาศัยอยู่ในภูเขาลังยาหลายวัน พอได้ยินหลินอิ่งกับหลินซวนหวาผู้เป็นปู่พูดคุยกัน รวมถึงคำพูดของแม่เฒ่า เธอยังรู้สึกมึนงงเลย ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องระหว่างพวกเขา
แต่ว่า สามารถสัมผัสได้ว่าตระกูลหลินร่ำรวยจริงๆ และบรรดาตระกูลร่ำรวยอะไรที่ว่ามานั้น ไม่สามารถเทียบกับตระกูลหลินได้จริงๆ