เมื่อไม่กี่เดือนก่อน หลังจากที่ซูย้าวหนีการแต่งงานมา ที่จริงแล้วอานเจียเย้นก็ได้เคยขอเธอแต่งงาน เรื่องนี้เป็นความจริง แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะเพียงสับสนชั่วครู่และคิดมากพูดออกไปอย่างไร้สาระ แต่เหตุผลนานาประการเมื่อรวมกันแล้ว การที่อานเจียเย้นต้องการจะให้เธอไปเป็นผู้หญิงของเขาก็เป็นเรื่องจริง
ซูย้าวไม่ใช่คนโง่ แม้เธอจะไม่เหลือความทรงจำเดิมเอาไว้ แต่เธอก็รู้ว่าเธอเป็นแม่ของเด็กทั้งสาม เธอเองก็สามารถมองออกว่าชายหนุ่มปฏิบัติต่อเธอด้วยความรักหรือมิตรภาพนั้นเป็นจริงหรือปลอม
ความรู้สึกที่อานเจียเย้นมีให้เธอนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีหรือกลอุบายใดๆ ไม่ว่าแรงจูงใจในตอนตั้งต้นจะบริสุทธิ์หรือไม่ แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นความจริง
เพียงแต่ความรักนี่มันไม่บริสุทธิ์เอาเสียเลย
ไม่เพียงแค่ซูย้าวเท่านั้น ผู้หญิงคนไหนก็ตามแต่ถ้าถูกอานเจียเย้นจับจองเป็นเป้าหมายก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก
เนื่องจากบุคลิกเฉพาะตัวของเขาที่โดดเด่น ประกอบกับประสบการณ์วัยเด็กของเขาและมีเพ้ยหยู่เจี๋ยคอยอบรมอยู่เบื้องหลัง จึงทำให้เขาไม่ต่างไปกับปีศาจ
เขาใช้ชีวิตดุจอยู่ในนรก และเขาก็ต้องการจะดึงผู้หญิงคนที่เข้าตา ลากลงไปอยู่ในโลกเช่นเดียวกับเขาโดยไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
เพียงแค่คิดก็รู้สึกว่าน่ากลัวมากแล้ว
ดวงตาของลี่เฉินซีมองดูเธอและหรี่ลง “แล้วคุณกับเพ้ยส้าวหลี่ล่ะ เป็นอะไรกันอีก?”
ถ้าหากว่าเธอมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างอานเจียเย้นจริง แล้วทำไมเธอจะต้องเข้าไปเสียเวลาร่วมมือกับเพ้ยส้าวหลี่ด้วย?เพราะต้องการจะล้มล้างDouble Aceกรุ๊ป?
มันดูเหมือนไม่สอดคล้องกันไม่ใช่หรือไง
ซูย้าวชะงักลงเล็กน้อย สายตาเธอมองไปที่ลี่เฉินซี เธอลืมไปว่าจุดยืนของเธอคืออะไร ความมึนงงเข้ามาชั่วขณะ ดวงตาของเธอเป็นประกาย จากนั้นพูดอย่างเฉยเมยว่า “ก็ทำนองนี้แหละค่ะ”
“อืม พูดยังไงดีนะ” เธอเบือนหน้าหนีไปจากเขาเพื่อปิดบังไม่ให้เขาเห็นดวงตาซ่อนความลับไว้ของเธอ ก่อนจะหันหน้าไปมองแสงแดดแล้วหรี่ตาลง “ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงดีอะไรนัก ฉันไม่สามารถรักนวลสงวนตัวไว้ให้กับแค่คนคนเดียวได้ทั้งชีวิต ดังนั้นเพ้ยส้าวหลี่เป็นคู่หมั้นของฉัน ส่วนอานเจียเย้นเป็น……คนรัก อ้อใช่ คนรัก”
คำพูดไร้สาระของเธอ ทำให้แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังชื่นชมในความคิดของตนเองที่สามารถพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้
ลี่เฉินซีนั่งฟังอย่างเงียบๆ ดวงตาสีเข้มของเขาเป็นประกายลึกล้ำแต่เดายาก “แบบนั้นเองเหรอ ดังนั้นคุณอานเป็นผู้หญิงประเภท ชอบให้คนอื่นมาดูแล และไม่ปฏิเสธคนอื่นใช่ไหม?”
เขาพยายามใช้คำพูดที่ค่อนข้างหนัก พยายามใช้คำศัพท์สมัยใหม่บนโลกอินเตอร์เน็ตมาพูดกับเธอ แต่เมื่อคิดดูแล้ว เขาก็พูดเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “พวกเจ้าชู้สินะ?”
ซูย้าว “……”
เธอก็แค่พูดไปอย่างนั้น เขาเชื่อจริงๆ เหรอ?
เอาเถอะเชื่อก็เชื่อ เธอเองก็ขี้เกียจอธิบายอะไรมากมายจึงพูดเพียงแค่ว่า “ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ คุณลี่คะ ถ้าคุณสะดวกรบกวนไปส่งฉันกลับเมืองหน่อยได้ไหม?”
ลี่เฉินซีไม่ได้พูดอะไรอีกและยังไม่สตาร์ทรถ ในทางกลับกันร่างสูงใหญ่ของเขาลุกขึ้นออกไปจากตำแหน่งคนขับ แล้วทับลงไปที่ร่างกายของเธอ เพียงชั่ววินาทีเขาก็กดเธอเอาไว้ที่เบาะที่นั่ง ทำให้เธอหดตัวเข้าหากันด้วยความระมัดระวังและประหลาดใจ
“คุณ คุณ……”
เขาใช้นิ้วอันเรียวยาวบีบแก้มของเธอขึ้นมา เนื่องจากตอนนี้เธออยู่ใกล้กับเขามาก จึงทำให้เห็นทุกรูขุมขนบนใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน เขาเผยอริมฝีปากเล็กน้อย ลมหายใจช่างมีเสน่ห์ดึงดูด “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ขอถามคุณอานน้อยว่า ผมเป็นอะไรกับคุณ?”
ดวงตาอันแปลกประหลาดที่มองไปยังเขาของซูย้าวหรี่ลงเข้าหากัน เธอรู้สึกว่าตอนนี้จะสูญเสียความสามารถด้านการสื่อสารไปชั่วขณะและไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เลย
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเองเข้าไปใกล้กับหน้าเธอไปอีก เพียงแค่เธอขยับเล็กน้อยก็คงจะจูบไปที่หน้าของเขา
ลมหายใจอันร้อนแรงปะทะกันดุจดั่งไฟที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง
ซูย้าวจับจ้องไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มซึ่งดูน่ากลัวเล็กน้อย หัวใจของเธอไม่รู้ว่า ตึงเครียดประมาทหรืออย่างไร มันรู้สึกเต้นไม่เป็นจังหวะ คลุมเครือ สับสน และรู้สึกชาเล็กน้อย
“ทำไมไม่พูดล่ะ?” เขาพูดออกมาอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงอันต่ำทุ้มมีเสน่ห์ดึงดูดของเขาดังอยู่ตรงปากเธอ “เป็นแฟน หรือเป็นแค่นายบำเรอ?”
เธอกัดริมฝีปากตนเองเอาไว้อย่างทำอะไรไม่ถูก น้ำเสียงที่ดูตะกุกตะกักเตลิดเปิดเปิงดังขึ้นว่า “คุณลี่ คุณดูตัวเองต่ำไปหรือเปล่า?”
“ตอบผมมาสิ คุณคิดว่าผมเป็นอะไรของคุณ?” เขายังคงยืนกรานที่จะถามหัวข้อนี้อย่างไม่ลดละ
ตอนนี้ซูย้าวรู้สึกว่าหนังศีรษะของเธอเย็นชาไปหมด เธอเขินอายและทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ต้องพยายามระงับความรู้สึกนี้เอาไว้ แกล้งทำถ้าเป็นคนที่มีประสบการณ์ด้านความรักมาอย่างโชกโชน แต่มันยากเหลือเกิน เธอต้องมีทักษะในการแสดงมากขนาดไหนกัน
“คุณ……” เธอลังเลไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไรจึงจะดี
ดวงตาของลี่เฉินซีลึกล้ำราวกับนักล่าที่มองเห็นเหยื่อ ราวกับว่าเหยื่อนั้นกำลังจะถูกเขาจับได้ ดวงตาเป็นประกายพูดว่า “พูดต่อสิ”
“เป็นเพื่อนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย!”
ซูย้าวตอบออกมาอย่างรวดเร็ว
ลี่เฉินซีได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงอยู่สองสามวินาที เขายิ้มออกมาอย่างประหลาด เหมือนกับว่ารอยยิ้มนั้นซ่อนความชั่วร้ายมืดมน เอาไว้ แต่เป็นเพราะอะไรนั้นซูย้าวก็ไม่รู้เหมือนกัน
เขาใช้มือเข้ามาบีบคางเรียวเล็กบอบบางของเธอ “เพื่อนเหรอ? แถมไม่ได้เกี่ยวข้องกันด้วย?”
ซูย้าวเม้มริมฝีปากของเธออย่างทำตัวไม่ถูก เดิมทีเธอต้องการจะพูดอะไรออกมาบางอย่างแต่ชายหนุ่มไม่ให้โอกาสเธอเลย มือใหญ่ของเขาเอื้อมมาที่เอวของเธอ ก่อนจะใช้แรงและดึงเสื้อของเธอออกอย่างฉับพลัน ซูย้าวอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่เขากลับไม่สนใจเธอ มือนั้นยังคงเคลื่อนไหวต่อไป “ไม่เกี่ยวข้องกันเหรอ? ลืมไปแล้วหรือไงว่าพวกเราเคยทำอะไรกันบ้าง?”
“ลืมไปก็ไม่เป็นไร ผมทบทวนความจำให้คุณเอง” นำเสียงต่ำทุ้มของเขาเริ่มหนักขึ้น เรี่ยวแรงที่มือไม่ลดละ เพียงไม่นานก็นำเสื้อบางๆ ของเธอฉีกออกเป็นชิ้น
ซูย้าวพยายามดิ้นรนแต่ก็ช่วยไม่ได้ เรื่องของสมรรถภาพทางร่างกายนั้นเธอไม่เคยสู้เขาได้เลย ทุกครั้งที่เธอพยายามดิ้นรนก็กลับล้มเหลว ในที่สุดผลลัพธ์ก็คือร่างของเธอไม่มีเสื้อผ้าปิดบังไว้เลย
เธอใช้มือขึ้นมาปิดบังร่างกายท่ามกลางความตื่นตระหนกและหดตัวเข้าไปตรงมุม ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความอายและความโกรธ สายตาจับจ้องไปที่เขาอย่างเย็นชา “ลี่เฉินซี คุณอย่าแตะต้องฉันนะ!”
“ทำไม?” เขาถาม จากนั้นมองดูเธออย่างเงียบๆ ไม่ได้ทำอะไรต่อ
ซูย้าวก้มหน้าลงไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี สถานการณ์แบบนี้ผู้หญิงมักจะเสียเปรียบเสมอ เธอไม่อยากจะทำให้เขาโกรธไปมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปคงจะแย่ยิ่งกว่าเดิม……
“ผมจะให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย” เขาเอนกายขึ้นไปแล้วปล่อยเธอ ก่อนจะกลับไปนั่งในตำแหน่งของตนเอง “ควรจะพูดอะไรคุณน่าจะรู้ดีแก่ใจ”
เธอกัดฟันกรอดและกำลังจะพูดบางอย่างออกมา แต่จู่ๆ ก็ถูกมือใหญ่ของเขาบีบเข้าที่แก้มและพูดว่า “แต่ถ้าคุณกล้าโกหกผมอีกแม้แต่ประโยคเดียวอย่าหาว่าผมไม่เตือน”
“คุณ……”
ตอนนี้เธอโมโหเสียจนพูดไม่ออก
เมื่อคิดไปคิดมากเธอก็ไม่กล้าที่จะไปท้าทายเขาอีก ถ้าหากผู้ชายคนนี้เกิดโรคจิตขึ้นมาและให้เธอลงจากรถโดยร่างที่เปลือยเปล่าจริงๆ จะให้เธอเดินกลับเข้าไปในเมืองด้วยสภาพแบบนี้เหรอ? ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เธอคงจะถูกพาดหัวข่าวก็ได้
ซูย้าวทำท่าครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดสูดลมหายใจเข้าแล้วพูดว่า “ฉันและอานเจียเย้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย กับเพ้ยส้าวหลี่ก็ด้วยเช่นกัน ฉันเป็นผู้หญิงดี ดีถึงขนาดที่ว่าจะเก็บรักษาเรือนร่างความบริสุทธิ์ไว้สำหรับคนที่ฉันชอบเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิต!”
เธอพูดจบก็เลิกคิ้วมองเขา “คุณลี่พอใจหรือยังคะ?”
ลี่เฉินซียิ้มออกมาอย่างเย็นชา นิ้วมืออันเรียวยาวของเขาบีบที่แก้มของเธอเบาๆ แล้วถูไถเล็กน้อย “ถ้าทำตัวดีตั้งแต่แรกก็ไม่เป็นอย่างนี้เหรอไม่ใช่หรือไง?”
เธอโมโหและสูดลมหายใจเข้า “ปล่อยฉันได้แล้ว เอาเสื้อผ้าฉันคืนมานะ!”
ใบหน้าของลี่เฉินซีแสยะยิ้มออกมา ร่างสูงใหญ่ของเขาหันกลับมากดทับที่เธออีกครั้ง “ที่รัก ไหนๆ ก็ถอดแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรสักหน่อยมันจะไม่น่าเบื่อไปหน่อยเหรอ?”
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน หลังจากที่ซูย้าวหนีการแต่งงานมา ที่จริงแล้วอานเจียเย้นก็ได้เคยขอเธอแต่งงาน เรื่องนี้เป็นความจริง แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะเพียงสับสนชั่วครู่และคิดมากพูดออกไปอย่างไร้สาระ แต่เหตุผลนานาประการเมื่อรวมกันแล้ว การที่อานเจียเย้นต้องการจะให้เธอไปเป็นผู้หญิงของเขาก็เป็นเรื่องจริง
ซูย้าวไม่ใช่คนโง่ แม้เธอจะไม่เหลือความทรงจำเดิมเอาไว้ แต่เธอก็รู้ว่าเธอเป็นแม่ของเด็กทั้งสาม เธอเองก็สามารถมองออกว่าชายหนุ่มปฏิบัติต่อเธอด้วยความรักหรือมิตรภาพนั้นเป็นจริงหรือปลอม
ความรู้สึกที่อานเจียเย้นมีให้เธอนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีหรือกลอุบายใดๆ ไม่ว่าแรงจูงใจในตอนตั้งต้นจะบริสุทธิ์หรือไม่ แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นความจริง
เพียงแต่ความรักนี่มันไม่บริสุทธิ์เอาเสียเลย
ไม่เพียงแค่ซูย้าวเท่านั้น ผู้หญิงคนไหนก็ตามแต่ถ้าถูกอานเจียเย้นจับจองเป็นเป้าหมายก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก
เนื่องจากบุคลิกเฉพาะตัวของเขาที่โดดเด่น ประกอบกับประสบการณ์วัยเด็กของเขาและมีเพ้ยหยู่เจี๋ยคอยอบรมอยู่เบื้องหลัง จึงทำให้เขาไม่ต่างไปกับปีศาจ
เขาใช้ชีวิตดุจอยู่ในนรก และเขาก็ต้องการจะดึงผู้หญิงคนที่เข้าตา ลากลงไปอยู่ในโลกเช่นเดียวกับเขาโดยไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
เพียงแค่คิดก็รู้สึกว่าน่ากลัวมากแล้ว
ดวงตาของลี่เฉินซีมองดูเธอและหรี่ลง “แล้วคุณกับเพ้ยส้าวหลี่ล่ะ เป็นอะไรกันอีก?”
ถ้าหากว่าเธอมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างอานเจียเย้นจริง แล้วทำไมเธอจะต้องเข้าไปเสียเวลาร่วมมือกับเพ้ยส้าวหลี่ด้วย?เพราะต้องการจะล้มล้างDouble Aceกรุ๊ป?
มันดูเหมือนไม่สอดคล้องกันไม่ใช่หรือไง
ซูย้าวชะงักลงเล็กน้อย สายตาเธอมองไปที่ลี่เฉินซี เธอลืมไปว่าจุดยืนของเธอคืออะไร ความมึนงงเข้ามาชั่วขณะ ดวงตาของเธอเป็นประกาย จากนั้นพูดอย่างเฉยเมยว่า “ก็ทำนองนี้แหละค่ะ”
“อืม พูดยังไงดีนะ” เธอเบือนหน้าหนีไปจากเขาเพื่อปิดบังไม่ให้เขาเห็นดวงตาซ่อนความลับไว้ของเธอ ก่อนจะหันหน้าไปมองแสงแดดแล้วหรี่ตาลง “ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงดีอะไรนัก ฉันไม่สามารถรักนวลสงวนตัวไว้ให้กับแค่คนคนเดียวได้ทั้งชีวิต ดังนั้นเพ้ยส้าวหลี่เป็นคู่หมั้นของฉัน ส่วนอานเจียเย้นเป็น……คนรัก อ้อใช่ คนรัก”
คำพูดไร้สาระของเธอ ทำให้แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังชื่นชมในความคิดของตนเองที่สามารถพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้
ลี่เฉินซีนั่งฟังอย่างเงียบๆ ดวงตาสีเข้มของเขาเป็นประกายลึกล้ำแต่เดายาก “แบบนั้นเองเหรอ ดังนั้นคุณอานเป็นผู้หญิงประเภท ชอบให้คนอื่นมาดูแล และไม่ปฏิเสธคนอื่นใช่ไหม?”
เขาพยายามใช้คำพูดที่ค่อนข้างหนัก พยายามใช้คำศัพท์สมัยใหม่บนโลกอินเตอร์เน็ตมาพูดกับเธอ แต่เมื่อคิดดูแล้ว เขาก็พูดเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “พวกเจ้าชู้สินะ?”
ซูย้าว “……”
เธอก็แค่พูดไปอย่างนั้น เขาเชื่อจริงๆ เหรอ?
เอาเถอะเชื่อก็เชื่อ เธอเองก็ขี้เกียจอธิบายอะไรมากมายจึงพูดเพียงแค่ว่า “ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ คุณลี่คะ ถ้าคุณสะดวกรบกวนไปส่งฉันกลับเมืองหน่อยได้ไหม?”
ลี่เฉินซีไม่ได้พูดอะไรอีกและยังไม่สตาร์ทรถ ในทางกลับกันร่างสูงใหญ่ของเขาลุกขึ้นออกไปจากตำแหน่งคนขับ แล้วทับลงไปที่ร่างกายของเธอ เพียงชั่ววินาทีเขาก็กดเธอเอาไว้ที่เบาะที่นั่ง ทำให้เธอหดตัวเข้าหากันด้วยความระมัดระวังและประหลาดใจ
“คุณ คุณ……”
เขาใช้นิ้วอันเรียวยาวบีบแก้มของเธอขึ้นมา เนื่องจากตอนนี้เธออยู่ใกล้กับเขามาก จึงทำให้เห็นทุกรูขุมขนบนใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน เขาเผยอริมฝีปากเล็กน้อย ลมหายใจช่างมีเสน่ห์ดึงดูด “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ขอถามคุณอานน้อยว่า ผมเป็นอะไรกับคุณ?”
ดวงตาอันแปลกประหลาดที่มองไปยังเขาของซูย้าวหรี่ลงเข้าหากัน เธอรู้สึกว่าตอนนี้จะสูญเสียความสามารถด้านการสื่อสารไปชั่วขณะและไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เลย
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเองเข้าไปใกล้กับหน้าเธอไปอีก เพียงแค่เธอขยับเล็กน้อยก็คงจะจูบไปที่หน้าของเขา
ลมหายใจอันร้อนแรงปะทะกันดุจดั่งไฟที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง
ซูย้าวจับจ้องไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มซึ่งดูน่ากลัวเล็กน้อย หัวใจของเธอไม่รู้ว่า ตึงเครียดประมาทหรืออย่างไร มันรู้สึกเต้นไม่เป็นจังหวะ คลุมเครือ สับสน และรู้สึกชาเล็กน้อย
“ทำไมไม่พูดล่ะ?” เขาพูดออกมาอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงอันต่ำทุ้มมีเสน่ห์ดึงดูดของเขาดังอยู่ตรงปากเธอ “เป็นแฟน หรือเป็นแค่นายบำเรอ?”
เธอกัดริมฝีปากตนเองเอาไว้อย่างทำอะไรไม่ถูก น้ำเสียงที่ดูตะกุกตะกักเตลิดเปิดเปิงดังขึ้นว่า “คุณลี่ คุณดูตัวเองต่ำไปหรือเปล่า?”
“ตอบผมมาสิ คุณคิดว่าผมเป็นอะไรของคุณ?” เขายังคงยืนกรานที่จะถามหัวข้อนี้อย่างไม่ลดละ
ตอนนี้ซูย้าวรู้สึกว่าหนังศีรษะของเธอเย็นชาไปหมด เธอเขินอายและทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ต้องพยายามระงับความรู้สึกนี้เอาไว้ แกล้งทำถ้าเป็นคนที่มีประสบการณ์ด้านความรักมาอย่างโชกโชน แต่มันยากเหลือเกิน เธอต้องมีทักษะในการแสดงมากขนาดไหนกัน
“คุณ……” เธอลังเลไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไรจึงจะดี
ดวงตาของลี่เฉินซีลึกล้ำราวกับนักล่าที่มองเห็นเหยื่อ ราวกับว่าเหยื่อนั้นกำลังจะถูกเขาจับได้ ดวงตาเป็นประกายพูดว่า “พูดต่อสิ”
“เป็นเพื่อนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย!”
ซูย้าวตอบออกมาอย่างรวดเร็ว
ลี่เฉินซีได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงอยู่สองสามวินาที เขายิ้มออกมาอย่างประหลาด เหมือนกับว่ารอยยิ้มนั้นซ่อนความชั่วร้ายมืดมน เอาไว้ แต่เป็นเพราะอะไรนั้นซูย้าวก็ไม่รู้เหมือนกัน
เขาใช้มือเข้ามาบีบคางเรียวเล็กบอบบางของเธอ “เพื่อนเหรอ? แถมไม่ได้เกี่ยวข้องกันด้วย?”
ซูย้าวเม้มริมฝีปากของเธออย่างทำตัวไม่ถูก เดิมทีเธอต้องการจะพูดอะไรออกมาบางอย่างแต่ชายหนุ่มไม่ให้โอกาสเธอเลย มือใหญ่ของเขาเอื้อมมาที่เอวของเธอ ก่อนจะใช้แรงและดึงเสื้อของเธอออกอย่างฉับพลัน ซูย้าวอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่เขากลับไม่สนใจเธอ มือนั้นยังคงเคลื่อนไหวต่อไป “ไม่เกี่ยวข้องกันเหรอ? ลืมไปแล้วหรือไงว่าพวกเราเคยทำอะไรกันบ้าง?”
“ลืมไปก็ไม่เป็นไร ผมทบทวนความจำให้คุณเอง” นำเสียงต่ำทุ้มของเขาเริ่มหนักขึ้น เรี่ยวแรงที่มือไม่ลดละ เพียงไม่นานก็นำเสื้อบางๆ ของเธอฉีกออกเป็นชิ้น
ซูย้าวพยายามดิ้นรนแต่ก็ช่วยไม่ได้ เรื่องของสมรรถภาพทางร่างกายนั้นเธอไม่เคยสู้เขาได้เลย ทุกครั้งที่เธอพยายามดิ้นรนก็กลับล้มเหลว ในที่สุดผลลัพธ์ก็คือร่างของเธอไม่มีเสื้อผ้าปิดบังไว้เลย
เธอใช้มือขึ้นมาปิดบังร่างกายท่ามกลางความตื่นตระหนกและหดตัวเข้าไปตรงมุม ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความอายและความโกรธ สายตาจับจ้องไปที่เขาอย่างเย็นชา “ลี่เฉินซี คุณอย่าแตะต้องฉันนะ!”
“ทำไม?” เขาถาม จากนั้นมองดูเธออย่างเงียบๆ ไม่ได้ทำอะไรต่อ
ซูย้าวก้มหน้าลงไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี สถานการณ์แบบนี้ผู้หญิงมักจะเสียเปรียบเสมอ เธอไม่อยากจะทำให้เขาโกรธไปมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปคงจะแย่ยิ่งกว่าเดิม……
“ผมจะให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย” เขาเอนกายขึ้นไปแล้วปล่อยเธอ ก่อนจะกลับไปนั่งในตำแหน่งของตนเอง “ควรจะพูดอะไรคุณน่าจะรู้ดีแก่ใจ”
เธอกัดฟันกรอดและกำลังจะพูดบางอย่างออกมา แต่จู่ๆ ก็ถูกมือใหญ่ของเขาบีบเข้าที่แก้มและพูดว่า “แต่ถ้าคุณกล้าโกหกผมอีกแม้แต่ประโยคเดียวอย่าหาว่าผมไม่เตือน”
“คุณ……”
ตอนนี้เธอโมโหเสียจนพูดไม่ออก
เมื่อคิดไปคิดมากเธอก็ไม่กล้าที่จะไปท้าทายเขาอีก ถ้าหากผู้ชายคนนี้เกิดโรคจิตขึ้นมาและให้เธอลงจากรถโดยร่างที่เปลือยเปล่าจริงๆ จะให้เธอเดินกลับเข้าไปในเมืองด้วยสภาพแบบนี้เหรอ? ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เธอคงจะถูกพาดหัวข่าวก็ได้
ซูย้าวทำท่าครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดสูดลมหายใจเข้าแล้วพูดว่า “ฉันและอานเจียเย้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย กับเพ้ยส้าวหลี่ก็ด้วยเช่นกัน ฉันเป็นผู้หญิงดี ดีถึงขนาดที่ว่าจะเก็บรักษาเรือนร่างความบริสุทธิ์ไว้สำหรับคนที่ฉันชอบเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิต!”
เธอพูดจบก็เลิกคิ้วมองเขา “คุณลี่พอใจหรือยังคะ?”
ลี่เฉินซียิ้มออกมาอย่างเย็นชา นิ้วมืออันเรียวยาวของเขาบีบที่แก้มของเธอเบาๆ แล้วถูไถเล็กน้อย “ถ้าทำตัวดีตั้งแต่แรกก็ไม่เป็นอย่างนี้เหรอไม่ใช่หรือไง?”
เธอโมโหและสูดลมหายใจเข้า “ปล่อยฉันได้แล้ว เอาเสื้อผ้าฉันคืนมานะ!”
ใบหน้าของลี่เฉินซีแสยะยิ้มออกมา ร่างสูงใหญ่ของเขาหันกลับมากดทับที่เธออีกครั้ง “ที่รัก ไหนๆ ก็ถอดแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรสักหน่อยมันจะไม่น่าเบื่อไปหน่อยเหรอ?”