เย้นหว่านถึงจะตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เธอลุกขึ้นยืนอย่างตื่นตระหนก วิ่งไปตรงหน้าแรบบิท ก็เห็นเด็กน้อยนั่งนิ่งอย่างเชื่อฟัง มองออกไปนอกหน้าต่าง เพียงแค่แววตากลับว่างเปล่า ราวกับตุ๊กตาที่ไม่มีวิญญาณ
เย้นหว่านกระวนกระวาย นิ้วมือที่สั่นเทาจิ้มลงบนไหล่ของเธอ
“แรบบิท…หนูมองแม่สิคะ แรบบิท…”
เธอเรียกเธออย่างระมัดระวัง แต่ว่าแรบบิทกลับไม่ตอบอะไรเธอเลย แค่นั่งอยู่เงียบๆ
เงียบ ทำให้เย้นหว่านสงสัย เธอได้ตายไปแล้วหรือเปล่า
ภายใต้การกระทบทางจิตใจอย่างมาก เย้นหว่านเอื้อมมือไปทดสอบจมูกของเธอ หายใจแผ่วเบาและลากยาว ไม่มีปัญหาใดๆ
เธอถอนหายใจ และรีบไปตรวจร่างกายของเธออีกครั้ง
ผิวหนังที่แตกออกดีขึ้นแล้ว ตรวจสอบอย่างคร่าวๆ ร่างกายของเธอก็ไม่ได้บาดเจ็บหรือแย่เป็นพิเศษ การหายใจและการเต้นของหัวใจล้วนปกติ
ก็แค่ ทำไมเธอกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลย เหมือนกับเป็นตุ๊กตาที่ไม่มีวิญญาณตัวหนึ่ง?
“แรบบิท แรบบิท หนูเป็นอะไร? เพราะตกใจมากใช่หรือไม่ ขอโทษนะ แม่ปกป้องหนูไม่ดี หนูยกโทษให้แม่ได้มั้ย? หนูพูดสิคะ มองแม่สิ ได้มั้ย?”
เย้นหว่านจับไหล่ของเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆ พยายามให้แรบบิทพูด ขยับซักนิดก็ดี แต่ว่าเธอก็ยังคงไม่มีการตอบสนองใดๆ
มีเพียงแค่นานๆจะกระพริบตาสักที
กงจืออวียืนอยู่หน้าประตู อธิบายด้วยสีหน้าปวดใจ “แรบบิทรอดชีวิตจากยาหุ่นแข็งแกร่งด้วยตัวเอง แต่เธอมีร่างกายที่พิเศษ เลยยังไม่รวมเข้ากับยาเหลวที่เสริมความแข็งแกร่งอย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้ตอนนี้…ตั้งแต่เธอตื่นขึ้นมาก็เป็นแบบนี้ นั่งนิ่งตลอด ไม่พูดจา ไม่ตอบสนอง กระทั่งไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอลืมตาอยู่ ตอนนี้เธอก็คงจะเป็นเจ้าหญิงนิทราไปแล้ว…”
เสียงดัง “ตุบ” เย้นหว่านขาอ่อนล้มลงกับพื้น
ประเภทเดียวกับเจ้าหญิงนิทรา?
“แม่ได้ตามหมอมาดูหลายคนแล้ว ไม่มีวิธีปลุกเธอได้เลย ตอนนี้คนเดียวที่สามารถช่วยแรบบิทได้ มีแค่ป่ายฉีเท่านั้น ขอแค่ป่ายฉีกลับมา เขาจะต้องมีวิธีช่วยแรบบิทได้แน่นอน”
พูดถึงสุดท้าย ในน้ำเสียงของกงจืออวีก็มีความเศร้าที่ปกปิดไม่อยู่
ป่ายฉีก็ถูกระเบิดที่ทะเลทรายฝังไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้เป็นหรือตาย
ครั้งนี้ ตระกูลเย้นสูญเสียอย่างหนัก ประสบกับการสูญเสียครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เย้นหว่านนั่งบนพื้นด้วยความหนาวสั่นและแข็งทื่อไปทั้งตัว ขอบตาที่ยังไม่แห้ง ก็เต็มไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง
เธอเพิ่งจะมีความหวังเล็กๆขึ้นมา กลับถูกโจมตีหนักขนาดนี้อีกครั้ง
แรบบิทอาการแบบนี้ หากว่ารอป่ายฉีไม่ไหว เธอก็ต้องสลายไป…
“เสี่ยวหว่าน แรบบิทพยายามมากเข้มแข็งมากเลยนะ ไอ้ยาชั่วช้านั่น ไม่ใช่เด็กทั่วๆไปจะสามารถทนรับได้ แรบบิทกลับรอดมาได้ โชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ มิฉะนั้น วันนั้นเธอก็คงจะ…”
กงจืออวีพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ร่วงลงมา “ตอนนี้ดีที่มีเวลา มีโอกาส พวกเราแค่ต้องรอพี่ชายของลูกพาป่ายฉีและโห้หลีเฉินกลับมา ทุกอย่างก็จะดี”
“แรบบิทเข้มแข็งขนาดนี้แล้ว เสี่ยวหว่าน ลูกน่ะในฐานะแม่ ในฐานะภรรยา ก็ต้องเข้มแข็งเช่นกัน”
ในฐานะแม่
ในฐานะภรรยา
เธอต้องเข้มแข็ง
คำพูดนี้ดังก้องวนอยู่ในหัวของเย้นหว่าน ทำให้โลกที่พังทลายของเธอ บังคับให้รวมเข้าด้วยกัน
ถึงแม้จะเจ็บปวดจนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป แต่ว่าเพื่อพวกเขา เธอก็จำเป็นต้องลุกขึ้นยืน
เย้นหว่านเงียบไปพักหนึ่ง เธอค่อยๆเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้แห้ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นจัดเสื้อผ้าให้แรบบิทอย่างระมัดระวัง
เธอลุกยืนขึ้น พูดกับกงจืออวีว่า:
“แม่ เตรียมกำลังคน หนูจะไปทะเลทราย”
รอ?
ไม่ ครั้งนี้เธอไม่รอแล้ว
เธอจะไปตามหาพวกเขา พาโห้หลีเฉินและป่ายฉีกลับมาด้วยตัวเอง
กงจืออวีขมวดคิ้ว “ที่นั่นตอนนี้สถานการณ์ไม่ชัดเจน ลูกไปก็อันตรายเกินไป พี่ชายของลูกไปแล้ว ความสามารถของเขาลูกยังไม่เชื่อใจอีกหรอ? ลูกรออยู่ที่บ้านอย่างสบายใจดีกว่า เขาจะต้องพาพวกเขากลับมาได้อย่างแน่นอน”
เย้นหว่านส่ายหน้า ท่าทางแน่วแน่อย่างมาก
“แม่ ไม่ว่าแม่จะสนับสนุนหรือไม่ หนูก็จะไปด้วยตัวเอง หนูยังไม่อยากจะขัดแย้งกับแม่ในเวลานี้นะ”
น้ำเสียงของเธอเบามาก แต่กลับแน่วแน่ไม่ท้อถอย
กงจืออวีนิ่งไป เงียบทันที
เธอรู้ว่าตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ หากเธอห้ามไม่ให้เย้นหว่านไปอีก เธออยู่ที่นี่ อาจจะสติแตกได้ตลอดเวลา
ลูกสาวเป็นแบบนี้ โห้หลีเฉินไม่รู้เป็นหรือตาย เธอตอนนี้ทุกนาทีทุกวินาทีที่ไม่มีอะไรทำ ล้วนเป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง
เตรียมความปลอดภัยไว้ให้ดีที่สุด ปล่อยให้เธอไปตามหา บางทีเธออาจจะผ่านไปได้
กงจืออวีถอนหายใจตอบตกลง “ได้ แม่จะไปเตรียมคน”
เย้นหว่านโค้งตัวลงมาหอมแรบบิท น้ำเสียงนุ่มนวลอย่างมาก “แรบบิท เป็นเด็กดีรอแม่กลับมานะ ทุกอย่างจะต้องผ่านไป ครอบครัวเราจะต้องสบายดี ทุกคนจะต้องปลอดภัย”
เธอสูดหายใจเข้าลึก หันหลังก้าวเท้าใหญ่ๆเดินออกไปด้านนอก
กงจืออวีจัดเตรียมคนด้วยตัวเอง เอาลูกน้องที่ฝีมือเก่งกาจที่สุดล้วนยกให้เย้นหว่าน สองทีมเต็มๆ เกือบสามสิบคน ทั้งหมดปกป้องเย้นหว่านอย่างใกล้ชิด
พาคนไปมากมาย ลงมือไม่สะดวก แต่ว่าเย้นหว่านก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เธอรู้ดีว่าออกไปครั้งนี้ อันตรายรอบด้าน เธอไม่มีทางเอาความปลอดภัยของตัวเองมาล้อเล่น เธอยิ่งต้องไปตามหาคน ต้องไปช่วยคน
นำคนไปยิ่งเยอะ ยิ่งสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้มากขึ้น
แต่ว่า ทุกอย่างที่เธอเตรียมพร้อมไว้ กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ฟ้าจะผ่าลงมากลางวันแสกๆบนตัวเธอแบบนี้
ก่อนออกจากบ้าน เธอได้รับข้อความขอความช่วยเหลือจากเย้นโม่หลิน
เขาไปช่วยสนับสนุน เจอเข้ากับกองกำลังขนาดใหญ่ของหยูฉู่สอง เขาก็สอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องในทะเลทรายแล้ว อีกทั้งยังส่งทหารจำนวนมากเข้าไป เพื่อแย่งชิงคน
เย้นโม่หลินถึงแม้จะพาคนไปไม่น้อย แต่ว่าเมื่อเทียบกับคนของหยูฉู่สอง แทบจะเป็นตั๊กแตนขวางรถ
เย้นโม่หลินสถานการณ์ทางนั้นเร่งด่วน ต้องการให้ส่งคนไปสนับสนุนทันที
ในสถานการณ์แบบนี้ คนสามสิบคนของเย้นหว่าน น้อยจนไม่ต้องพูดถึง แม้แต่เธอยังเข้าไปอีก อาจจะเป็นเนื้อเข้าปากเสือ ส่งตัวเองเข้าไปอยู่ในน้ำมือของหยูฉู่สอง
ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือ หลังจากที่เย้นโม่หลินจากไปแล้ว เรื่องทุกอย่างก็จะตกไปอยู่บนบ่าของเย้นเจิ้นจื๋อ เขาอดหลับอดนอนมาหลายวันหลายคืนแล้ว ได้ยินข่าวนี้อย่างกะทันหันอีก คงจะทนไม่ไหว เป็นลมไปเลย
กองบัญชาการของตระกูลเย้นก็จะยุ่งเหยิงในทันที
กงจืออวีแม้ว่าจะขึ้นนำควบคุมทันที แต่พลังของคนคนเดียวนั้นมีจำกัด ตระกูลเย้นที่ยิ่งใหญ่ มีอำนาจมากมายบนโลก เธอไม่หลับไม่นอนก็ควบคุมสถานการณ์ไว้ไม่อยู่
ยิ่งกว่านั้นยังต้องไปช่วยเย้นโม่หลิน สถานการณ์ทางนั้นอันตรายจนน่าขนลุก
เย้นหว่านยืนตัวแข็งอยู่หน้าเฮลิคอปเตอร์ ถูกลมภูเขาที่หนาวเย็นพัดโชยมากระทบกับหน้า แค่รู้สึกว่าทั้งร่างราวกับจะถูกแช่แข็งจนกลายเป็นน้ำแข็ง
ท้องฟ้าในสายตาของเธอ ยิ่งเป็นฉากสีเทา
ราวกับว่า ท้องฟ้าใกล้จะถล่มแล้ว
“คุณหนู ยังจะไปอีกหรือครับ?”
หัวหน้าบอดี้การ์ดมองไปที่เย้นหว่านด้วยใบหน้าที่หนักแน่น ชายรูปร่างสูงใหญ่สูงร้อยแปดสิบ ในเวลานี้ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความระมัดระวัง กลัวว่าจะไปสัมผัสถึงเส้นประสาทของเย้นหว่านเข้า
เย้นหว่านมองขึ้นไปบนท้องฟ้า บนหน้าไม่มีความรู้สึกใดๆ
เสียงของเธอเบามาก “คุณดูสิ บนท้องฟ้าต่างย้อมไปด้วยเลือด เป็นสีแดง”
เย้นหว่านถึงจะตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เธอลุกขึ้นยืนอย่างตื่นตระหนก วิ่งไปตรงหน้าแรบบิท ก็เห็นเด็กน้อยนั่งนิ่งอย่างเชื่อฟัง มองออกไปนอกหน้าต่าง เพียงแค่แววตากลับว่างเปล่า ราวกับตุ๊กตาที่ไม่มีวิญญาณ
เย้นหว่านกระวนกระวาย นิ้วมือที่สั่นเทาจิ้มลงบนไหล่ของเธอ
“แรบบิท…หนูมองแม่สิคะ แรบบิท…”
เธอเรียกเธออย่างระมัดระวัง แต่ว่าแรบบิทกลับไม่ตอบอะไรเธอเลย แค่นั่งอยู่เงียบๆ
เงียบ ทำให้เย้นหว่านสงสัย เธอได้ตายไปแล้วหรือเปล่า
ภายใต้การกระทบทางจิตใจอย่างมาก เย้นหว่านเอื้อมมือไปทดสอบจมูกของเธอ หายใจแผ่วเบาและลากยาว ไม่มีปัญหาใดๆ
เธอถอนหายใจ และรีบไปตรวจร่างกายของเธออีกครั้ง
ผิวหนังที่แตกออกดีขึ้นแล้ว ตรวจสอบอย่างคร่าวๆ ร่างกายของเธอก็ไม่ได้บาดเจ็บหรือแย่เป็นพิเศษ การหายใจและการเต้นของหัวใจล้วนปกติ
ก็แค่ ทำไมเธอกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลย เหมือนกับเป็นตุ๊กตาที่ไม่มีวิญญาณตัวหนึ่ง?
“แรบบิท แรบบิท หนูเป็นอะไร? เพราะตกใจมากใช่หรือไม่ ขอโทษนะ แม่ปกป้องหนูไม่ดี หนูยกโทษให้แม่ได้มั้ย? หนูพูดสิคะ มองแม่สิ ได้มั้ย?”
เย้นหว่านจับไหล่ของเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆ พยายามให้แรบบิทพูด ขยับซักนิดก็ดี แต่ว่าเธอก็ยังคงไม่มีการตอบสนองใดๆ
มีเพียงแค่นานๆจะกระพริบตาสักที
กงจืออวียืนอยู่หน้าประตู อธิบายด้วยสีหน้าปวดใจ “แรบบิทรอดชีวิตจากยาหุ่นแข็งแกร่งด้วยตัวเอง แต่เธอมีร่างกายที่พิเศษ เลยยังไม่รวมเข้ากับยาเหลวที่เสริมความแข็งแกร่งอย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้ตอนนี้…ตั้งแต่เธอตื่นขึ้นมาก็เป็นแบบนี้ นั่งนิ่งตลอด ไม่พูดจา ไม่ตอบสนอง กระทั่งไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอลืมตาอยู่ ตอนนี้เธอก็คงจะเป็นเจ้าหญิงนิทราไปแล้ว…”
เสียงดัง “ตุบ” เย้นหว่านขาอ่อนล้มลงกับพื้น
ประเภทเดียวกับเจ้าหญิงนิทรา?
“แม่ได้ตามหมอมาดูหลายคนแล้ว ไม่มีวิธีปลุกเธอได้เลย ตอนนี้คนเดียวที่สามารถช่วยแรบบิทได้ มีแค่ป่ายฉีเท่านั้น ขอแค่ป่ายฉีกลับมา เขาจะต้องมีวิธีช่วยแรบบิทได้แน่นอน”
พูดถึงสุดท้าย ในน้ำเสียงของกงจืออวีก็มีความเศร้าที่ปกปิดไม่อยู่
ป่ายฉีก็ถูกระเบิดที่ทะเลทรายฝังไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้เป็นหรือตาย
ครั้งนี้ ตระกูลเย้นสูญเสียอย่างหนัก ประสบกับการสูญเสียครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เย้นหว่านนั่งบนพื้นด้วยความหนาวสั่นและแข็งทื่อไปทั้งตัว ขอบตาที่ยังไม่แห้ง ก็เต็มไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง
เธอเพิ่งจะมีความหวังเล็กๆขึ้นมา กลับถูกโจมตีหนักขนาดนี้อีกครั้ง
แรบบิทอาการแบบนี้ หากว่ารอป่ายฉีไม่ไหว เธอก็ต้องสลายไป…
“เสี่ยวหว่าน แรบบิทพยายามมากเข้มแข็งมากเลยนะ ไอ้ยาชั่วช้านั่น ไม่ใช่เด็กทั่วๆไปจะสามารถทนรับได้ แรบบิทกลับรอดมาได้ โชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ มิฉะนั้น วันนั้นเธอก็คงจะ…”
กงจืออวีพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ร่วงลงมา “ตอนนี้ดีที่มีเวลา มีโอกาส พวกเราแค่ต้องรอพี่ชายของลูกพาป่ายฉีและโห้หลีเฉินกลับมา ทุกอย่างก็จะดี”
“แรบบิทเข้มแข็งขนาดนี้แล้ว เสี่ยวหว่าน ลูกน่ะในฐานะแม่ ในฐานะภรรยา ก็ต้องเข้มแข็งเช่นกัน”
ในฐานะแม่
ในฐานะภรรยา
เธอต้องเข้มแข็ง
คำพูดนี้ดังก้องวนอยู่ในหัวของเย้นหว่าน ทำให้โลกที่พังทลายของเธอ บังคับให้รวมเข้าด้วยกัน
ถึงแม้จะเจ็บปวดจนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป แต่ว่าเพื่อพวกเขา เธอก็จำเป็นต้องลุกขึ้นยืน
เย้นหว่านเงียบไปพักหนึ่ง เธอค่อยๆเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้แห้ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นจัดเสื้อผ้าให้แรบบิทอย่างระมัดระวัง
เธอลุกยืนขึ้น พูดกับกงจืออวีว่า:
“แม่ เตรียมกำลังคน หนูจะไปทะเลทราย”
รอ?
ไม่ ครั้งนี้เธอไม่รอแล้ว
เธอจะไปตามหาพวกเขา พาโห้หลีเฉินและป่ายฉีกลับมาด้วยตัวเอง
กงจืออวีขมวดคิ้ว “ที่นั่นตอนนี้สถานการณ์ไม่ชัดเจน ลูกไปก็อันตรายเกินไป พี่ชายของลูกไปแล้ว ความสามารถของเขาลูกยังไม่เชื่อใจอีกหรอ? ลูกรออยู่ที่บ้านอย่างสบายใจดีกว่า เขาจะต้องพาพวกเขากลับมาได้อย่างแน่นอน”
เย้นหว่านส่ายหน้า ท่าทางแน่วแน่อย่างมาก
“แม่ ไม่ว่าแม่จะสนับสนุนหรือไม่ หนูก็จะไปด้วยตัวเอง หนูยังไม่อยากจะขัดแย้งกับแม่ในเวลานี้นะ”
น้ำเสียงของเธอเบามาก แต่กลับแน่วแน่ไม่ท้อถอย
กงจืออวีนิ่งไป เงียบทันที
เธอรู้ว่าตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ หากเธอห้ามไม่ให้เย้นหว่านไปอีก เธออยู่ที่นี่ อาจจะสติแตกได้ตลอดเวลา
ลูกสาวเป็นแบบนี้ โห้หลีเฉินไม่รู้เป็นหรือตาย เธอตอนนี้ทุกนาทีทุกวินาทีที่ไม่มีอะไรทำ ล้วนเป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง
เตรียมความปลอดภัยไว้ให้ดีที่สุด ปล่อยให้เธอไปตามหา บางทีเธออาจจะผ่านไปได้
กงจืออวีถอนหายใจตอบตกลง “ได้ แม่จะไปเตรียมคน”
เย้นหว่านโค้งตัวลงมาหอมแรบบิท น้ำเสียงนุ่มนวลอย่างมาก “แรบบิท เป็นเด็กดีรอแม่กลับมานะ ทุกอย่างจะต้องผ่านไป ครอบครัวเราจะต้องสบายดี ทุกคนจะต้องปลอดภัย”
เธอสูดหายใจเข้าลึก หันหลังก้าวเท้าใหญ่ๆเดินออกไปด้านนอก
กงจืออวีจัดเตรียมคนด้วยตัวเอง เอาลูกน้องที่ฝีมือเก่งกาจที่สุดล้วนยกให้เย้นหว่าน สองทีมเต็มๆ เกือบสามสิบคน ทั้งหมดปกป้องเย้นหว่านอย่างใกล้ชิด
พาคนไปมากมาย ลงมือไม่สะดวก แต่ว่าเย้นหว่านก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เธอรู้ดีว่าออกไปครั้งนี้ อันตรายรอบด้าน เธอไม่มีทางเอาความปลอดภัยของตัวเองมาล้อเล่น เธอยิ่งต้องไปตามหาคน ต้องไปช่วยคน
นำคนไปยิ่งเยอะ ยิ่งสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้มากขึ้น
แต่ว่า ทุกอย่างที่เธอเตรียมพร้อมไว้ กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ฟ้าจะผ่าลงมากลางวันแสกๆบนตัวเธอแบบนี้
ก่อนออกจากบ้าน เธอได้รับข้อความขอความช่วยเหลือจากเย้นโม่หลิน
เขาไปช่วยสนับสนุน เจอเข้ากับกองกำลังขนาดใหญ่ของหยูฉู่สอง เขาก็สอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องในทะเลทรายแล้ว อีกทั้งยังส่งทหารจำนวนมากเข้าไป เพื่อแย่งชิงคน
เย้นโม่หลินถึงแม้จะพาคนไปไม่น้อย แต่ว่าเมื่อเทียบกับคนของหยูฉู่สอง แทบจะเป็นตั๊กแตนขวางรถ
เย้นโม่หลินสถานการณ์ทางนั้นเร่งด่วน ต้องการให้ส่งคนไปสนับสนุนทันที
ในสถานการณ์แบบนี้ คนสามสิบคนของเย้นหว่าน น้อยจนไม่ต้องพูดถึง แม้แต่เธอยังเข้าไปอีก อาจจะเป็นเนื้อเข้าปากเสือ ส่งตัวเองเข้าไปอยู่ในน้ำมือของหยูฉู่สอง
ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือ หลังจากที่เย้นโม่หลินจากไปแล้ว เรื่องทุกอย่างก็จะตกไปอยู่บนบ่าของเย้นเจิ้นจื๋อ เขาอดหลับอดนอนมาหลายวันหลายคืนแล้ว ได้ยินข่าวนี้อย่างกะทันหันอีก คงจะทนไม่ไหว เป็นลมไปเลย
กองบัญชาการของตระกูลเย้นก็จะยุ่งเหยิงในทันที
กงจืออวีแม้ว่าจะขึ้นนำควบคุมทันที แต่พลังของคนคนเดียวนั้นมีจำกัด ตระกูลเย้นที่ยิ่งใหญ่ มีอำนาจมากมายบนโลก เธอไม่หลับไม่นอนก็ควบคุมสถานการณ์ไว้ไม่อยู่
ยิ่งกว่านั้นยังต้องไปช่วยเย้นโม่หลิน สถานการณ์ทางนั้นอันตรายจนน่าขนลุก
เย้นหว่านยืนตัวแข็งอยู่หน้าเฮลิคอปเตอร์ ถูกลมภูเขาที่หนาวเย็นพัดโชยมากระทบกับหน้า แค่รู้สึกว่าทั้งร่างราวกับจะถูกแช่แข็งจนกลายเป็นน้ำแข็ง
ท้องฟ้าในสายตาของเธอ ยิ่งเป็นฉากสีเทา
ราวกับว่า ท้องฟ้าใกล้จะถล่มแล้ว
“คุณหนู ยังจะไปอีกหรือครับ?”
หัวหน้าบอดี้การ์ดมองไปที่เย้นหว่านด้วยใบหน้าที่หนักแน่น ชายรูปร่างสูงใหญ่สูงร้อยแปดสิบ ในเวลานี้ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความระมัดระวัง กลัวว่าจะไปสัมผัสถึงเส้นประสาทของเย้นหว่านเข้า
เย้นหว่านมองขึ้นไปบนท้องฟ้า บนหน้าไม่มีความรู้สึกใดๆ
เสียงของเธอเบามาก “คุณดูสิ บนท้องฟ้าต่างย้อมไปด้วยเลือด เป็นสีแดง”