มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen) – ตอนที่ 33 : ท่านนายพล ไมเกล เพเรซ

ตอนที่ 33 : ท่านนายพล ไมเกล เพเรซ

 

เวลา 13.33 นาฬิกา, ย่านศูนย์กลางการค้านานาชาติ, เมืองปาไซ, ถนนหลวงโรฮัส

 

ตูมตูมตูมม!!

 

ปิ้วปิ้วปิ้ว!

 

เสียงเครื่องจักรกลขนาดใหญ่และเสียงปืนไรเฟิลที่ถูกยิงดังก้องไปทั่วพื้นที่

 

การก่อสร้างขนาดใหญ่ยังคงดําเนินการอยู่เมื่อรัฐบาลมีคําสั่งให้รักษาพื้นที่เอาไว้ พนักงานหลายๆคนตามคําสั่งกันด้วยความเร่งรีบ และมีอาการตกใจขวัญผวาแต่พวกเขาก็ยังคงได้ทําตามคําสั่งอย่างเคร่งครัดเท่าที่ทําได้ กลุ่มทหารหลายคนก็ถูกสั่งลงไปรักษาพื้นที่

 

เมื่อหายนะได้เกิดขึ้นรัฐบาลก็ได้เริ่มคิดพิจารณาแผลหลายๆ อย่างในขณะที่ตอนนี้เหตุการณ์ก็กําลังผิดเพี้ยนไป ทั้งตํารวจ ทหาร รวมถึงเหล่านาวิกโยธินเข้าร่วมกองกําลังในการที่จะพยายามควบคุมสถานการณ์และมันก็ทําให้พวกเขาทั้งหมดนั้นขาดอุปกรณ์และกําลัง คงพวกเขานั้นก็ไม่สามารถที่จะควบคุมหายนะนี้ไว้ได้ ด้วยความล้มเหลวของพวกเขา รัฐบาลจึงดําเนินการเดินหน้าแผนต่อไป

 

หนึ่งในแผนนั้นก็คือ รวบรวมอพยพเหล่าประชาชนผู้รอดชีวิต และตั้งสถานที่ในการสําหรับเป็นพื้นที่อพยพ รัฐบาลมีหลายแห่ง พื้นที่ที่เหมาะสมสําหรับแผนการนี้ และหนึ่งในสถานที่ที่พวกเขาเลือก คือ อ่าวมะนิลา ริมเมืองชายอ่าว ย่านศูนย์กลางการค้านานาชาติ และจังหวัดมาริน่า

 

สถานที่เหล่านั้นถูกเลือกขึ้นมา เพราะเหตุผลหลายประการแต่เหตุผลหลักนั้นก็คือ มันเป็นพื้นที่ที่สามารถปกป้องได้ง่าย สถานที่ส่วนใหญ่นั้นถูกล้อมรอบด้วยคูนสูงและกําแพงคูเมืองและถูกล้อมรอบด้วยกําแพงคอนกรีทที่แข็งแรง เหตุที่สําคัญอีกอย่างหนึ่งคือ พื้นที่เหล่านั้นใหญ่พอที่จะให้คนอพยพเข้าไป

 

ในตอนนี้คนก่อสร้างก็ได้กําลังสร้างกําแพงเอาไว้ล้อมรอบในพื้น

 

เหล่ากําลังพลทหารก็ได้ปิดกั้นถนนทุกสายที่เชื่อมต่อโดยตรงกับพื้นที่ที่ถูกสร้างเป็นพื้นที่อพยพและจัดลําดับความสําคัญในการสร้างกําแพงในพื้นที่ที่ถูกกั้น

 

รัฐบาลก็ยังได้มีคําสั่งให้ทําลายสะพานที่ข้ามไปยังฝังกําแพงคูเมืองและคูน้ำ หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้สร้างสะพานยกแทนที่สะพานที่ถูกทําลายลงไป นั่นเป็นวิธีรับมือสําหรับความเป็นไปได้ของซอมบี้ที่จะไม่สามารถเข้ามายังพื้นที่ได้

 

ตึกย่านศูนย์กลางการค้านานาชาติก็ถูกเหล่ากองกําลังทหารยึดพื้นที่ ตอนนี้ตึกแห่งนี้ก็ถูกใช้เป็นสําหรับศูนย์กลางการปฏิบัติการทางทหาร

 

ภายในห้องของศูนย์บัญชาการก็ได้มีคนหลายๆคนรวมกันอยู่ รอบๆโต๊ะประชุมสี่เหลี่ยม ตรงสิ้นสุดขอบโต๊ะมีชายที่หน้าตาดูเคร่งขรึมมีใบหน้าเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายืนอยู่ หนวดเคราและผมของเขามีการผสมผสานสีดําและสีขาวไม่สม่ำเสมอเนื่องจากอายุของเขา หรืออาจเนื่องจากความเครียดที่เขาได้รับในทุกๆวัน ชายคนนั้นสวมชุดทางทหารและบนแขนเสื้อของชุดทหารของเขาก็มีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปดาวสี่ดวงเรียงรายอยู่ ในแนวตั้งพร้อมกับคําว่า “ปิลิพินา” (ฟิลิปินส์) ใต้ดวงดาว

 

ชายคนนั้นมีชื่อว่าไมเกล เพเรซ เขาเป็นนายพลกองกําลังทหาร และเป็นผู้บัญชาการของพื้นที่ศูนย์กลางค้านานาชาติ

 

“ตอนนี้กําแพงเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

นายพลเพเรซถามชายที่อยู่ด้านขวาของเขาผู้ซึ่งถูกกําหนดให้ดูแลการก่อสร้างทั้งหมด

 

“นายพลครับ! การก่อสร้างกําแพงควรจะเสร็จโดยประมาณสองชั่วโมงนะครับ”

 

“นั่นคือเวลาที่จํากัดมาแล้วหรอ?”

 

“ถ้าโชคไม่ดี ก็คือใช่ครับ คนงานก่อสร้างได้ใช้พลังและความตั้งใจทั้งหมดที่มีทุ่มเทไปกับการก่อสร้างในสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ถ้าเราสามารถหาแรงงานหรือกําลังมาเพิ่มก็สามารถทําให้ประหยัดเวลาได้”

 

นายพลถอนหายใจ

 

“ผู้มีอํานาจเหนือกว่าเราของรัฐบาลได้แบ่งกําลังพลเพื่อสร้างเกราะป้องกันในที่อื่นๆไปแล้ว ผู้คนที่อยู่ที่นี้คือกลุ่มผู้คนเพียงกลุ่มเดียวที่เรามี”

 

ผู้คนที่อยู่ในห้องต่างก็ได้กุมขมับ นั่นมันเป็นปัญหาหลักที่พวกเขากําลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้มากกว่าปัญหาของเรื่องฝูงซอมบี้เสีย

 

“อย่างไรก็ตามนะ พยายามประหยัดเวลาทําให้มันรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ยิ่งใช้เวลาน้อยเท่าไหร่ในการก่อสร้างกําแพง พวกเราก็ยิ่งสามารถปกป้องประชาชนและกองกําลังอาวุธได้มากเท่านั้น”

 

“ครับผม!”

 

“จอร์แดน ความคืบหน้าในการเคลียพื้นที่เป็นยังไงบ้าง?”

 

“ครับนายพล พวกเราได้เคลียพื้นที่ที่มีการติดเชื้อหมดแล้วครับ ตอนนี้คนของผมกําลังตรวจสอบบริเวณรอบนอกเผื่อมีผู้ติดเชื้อที่ เราอาจจะพลาดไปครับ ”

 

“ดี ตรวจสอบให้อย่างละเอียดล่ะ พวกเราไม่สามารถพลาดได้ หรือปล่อยให้มันเล็ดรอดไปได้แม้แต่ตัวเดียวโดยที่พวกเราไม่รู้”

“ครับผม!”

 

“แล้วการอพยพเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

“ครับ! การอพยพและผู้รอดชีวิตที่เราพบได้ถูกนําไปยังพื้นที่ที่ เรากําหนดแล้ว แต่สถานณการณ์ก็ยังคงแย่อยู่”

 

คนที่ตอบคําถามนั้นเป็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านขวาของนาย พลเพเรซ

 

“หมายความว่ายังไง?”

 

“คนส่วนใหญ่นั้นสภาพจิตใจและอารมณ์ไม่มั่งคง จิตใจของพวกเขาได้ถูกทําลายเสียขวัญไปอย่างมาก บางคนก็เกิดอาการแปรปรวนขึ้นมา”

 

“นั่นมันแย่มากเลยใช่มั้ย? ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปดูพวกเขา เรายังมีหายนะรออยู่ข้างนอกอีก ดังนั้นอย่าปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายข้างในที่” นายพลกล่าว

 

“ครับผม!

 

“มีใครรู้ข่าวจากคนของเราที่เขตมารินามั้ย?” นายพลถาม

 

การประชุมจบลงหลักจากที่พลทหารที่น่าเชื่อถือของนายพลได้ เสร็จการรายงานและพวกเขาก็ได้กลับไปทําหน้าที่ของพวกเขา

 

ในเมื่อไม่เหลือใครอยู่ในห้องนั้นแล้ว นายพลเพเรซก็ได้นําแท่งบุหรี่ออกมาและจุดบุหรี่ด้วยไฟแช็คที่เป็นรูปมีดอันเล็กๆ เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ขณะที่ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาก็ได้หายไปแต่ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่มีความกังวล

 

ก๊อก ก๊อก

 

นายพลเรเพซมองไปที่ประตูทางเข้าที่ซึ่งเขาได้ยิงเสียงเคาะประตู มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอายุอยู่ในช่วงวัยเลขสองสวมใส่ชุดทางทหาร ซึ่งมีกระเป๋าเข็มขัดทางแพทย์ที่อยู่ฝั่งซ้ายและปืนพกใส่ซองที่แขวนอยู่ข้างเอวและเธอยืนอยู่ข้างๆประตู ในขณะเดียวกันเธอก็ได้ถือแก้วกาแฟดํามาด้วย

 

ผู้หญิงคนนั้นได้เดินเข้ามาในห้องและวางแก้วกาแฟตรงหน้าของนายพลเรเพซ

 

“นายพลคะ ราฟจะดุคุณอีกครั้งนะถ้าเกิดว่าเขาเห็นคุณสูบบุหรี่”

 

“อย่ามาบ่นฉันเยอะตอนนี้ได้มั้ย? ให้ฉันสักตัวเถอะ และก็เธอ เรียกฉันว่าพ่อก็ได้ถ้าไม่มีใครอยู่ในห้อง”

 

“ฉันไม่สามารถทําได้หรอกค่ะนายพล ฉันยังอยู่ในชั่วโมงงาน อยู่”

“ฮ่าฮ่า ไม่สงสัยเลยว่าทําไมลูกชายฉันถึงเลือกเธอ”

 

จากนั้นบทสนทนาอันน่าอึดอัดภายในห้องก็ได้เริ่มขึ้น

 

“เทเรซา ราฟได้ติดต่อเธอมารียัง?”

 

“ใช่ค่ะ เขาเจอแก๊บบี้แล้วและได้ช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจํานวนหนึ่งมาด้วย”

 

“แล้วน้องสาวของเขาล่ะ?”

 

“พวกเขาได้ไปถึงและค้นหาที่โรงเรียนของเธอ แต่โรงเรียนนั้นก็ได้ย่อยยับไปแล้วและไม่พบผู้รอดชีวิตสักคน”

 

เสียงของเทเรซาก็ได้เบาลงกว่าเดิมเรื่อยๆเมื่อเธอได้พูดถึงเรื่องนี้

 

“ฉันแน่ใจได้ว่าเธอไม่เป็นอะไร เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่กล้าหาญกล้าหาญกว่าฉันเสียด้วยซ้ำ ฉันเชื่อว่าเธอสามารถช่วยเหลือตัวเองได้”

 

“สิ่งที่เธอพูดมาก็จริงแต่ปัญหาคือยัยเด็กนั้นยังไร้เดียงสาอยู่เหลือเกิน ถ้ายัยนั้นคิดว่าคนที่ติดเชื้อคือคนที่ตายไปแล้วเธออาจจะมีชีวิตรอดก็ได้”

 

เทเรซาก็พยักหน้าในสิ่งที่นายพลพูด

 

“แต่ฉันไม่ได้เป็นห่วงเรื่องพวกผู้ติดเชื้อนั่นหรอก” นายพลกล่าว

 

“มันคือพวกนั้นใช่มั้ย?”

 

“ใช่เลย ฉันห่วงว่าสิ่งนั้นมันจะทําให้การยับยั้งควบคุมล้มเหลว ฉันไม่รู้ว่ายังสามารถเรียกพวกนั้นว่าผู้ติดเชื้อได้อยู่มั้ย พวกนั้นเป็นปีศาจไปแล้ว ถ้ายัยเด็กนั่นกําลังเผชิญหน้ากับอะไรแบบนั้นอยู่…” นายพลกล่าว

 

นายพลมองไปที่เทเรซา

 

“ครั้งหน้าราฟติดต่อพวกเรามาบอกให้เขาหาเธอให้พบ แล้วก็รวมถึงพวกเพื่อนสนิทของเธอด้วย พวกเราสามารถปกป้องช่วยเหลือของครัวของเพื่อนเธอได้แล้วดังนั้นเราจําเป็นต้องตามหาเธอให้ได้ ลูกสาวของฉันจะต้องอยู่กับเพื่อนของเธอแน่นอนในตอนนี้ พวกเธอสองคนนั้นตัวติดกันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ” นายพลกล่าว

 

“ใช่ค่ะ พวกเธอผูกพันธ์กันมาก เธอทั้งสองคนนั้นต่างก็กล้าหาญ ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นแข็งแรง อีกคนหนึ่งนั้นก็ฉลาด” เทเรซากล่าว

 

“ถ้าเธอสองคนยังอยู่ด้วย เป็นไปได้ว่าพวกเธอนั้นยังมีชีวิตอยู่”

 

นายพลยิ้มออกมาอย่างฝืนในขณะที่เขาก็ได้ปลอบใจตัวเอง จากนั้นเขาก็ได้ทิ้งบุหรี่ที่ยังดูดไม่ทันเสร็จลงไปในถังขยะและดื่มกาแฟที่อยู่ตรงหน้าเขาแทน

 

แอววะ!

 

แต่เขาก็ได้คายทิ้งมันออกมาจากปากทันที

 

“ร้อน! เทเรซา เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบการดื่มเครื่องดื่มที่ร้อนเกินไป เธอควรทําให้มันอุ่นกว่านี้ก่อนนะ”

 

“มันควรอุ่นแหละค่ะท่านนายพล หากแต่ฉันก็ไม่ได้คาดคิดว่าท่านจะทิ้งบุหรี่ก่อนโดยที่ยังดูดไม่ทันเสร็จ”

 

นายพลเลิกคิ้วขึ้นไปที่ผู้หญิงซึ่งเป็นคู่หมั้นของลูกชายของเขา

 

มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์

มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์

เรื่องย่อ เป็นเช้าอีกวันที่คล้ายจะปกติธรรมดาเหมือนในทุกๆวัน แต่ใครจะรู้ล่ะ วันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ จุดกำเนิดเริ่มต้นของหายนะนั้นไม่ได้ถูกกำหนดเอาไว้ แต่หารู้ไม่ เชื้อหายนะนั้นเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เกิดจักรวาลแห่งนี้ แต่นั่นก็แค่เกิดขึ้นบริเวณนอกบรรยากาศของโลกเพียงเท่านั้นเอง ผู้คนและสัตว์ต่างๆกลับฆ่าฟันและกินกันเอง จากนั้นค่อยๆกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดที่ใครๆต่างก็รู้จักชื่อนี้ดี ‘ซอมบี้’ ในขณะที่บางคนนั้นโชคดีได้รับพลังและทักษะความสามารถที่จะต่อสู้กับมัน ทุกๆชีวิตในตอนนี้ที่ไม่ได้ ‘กลายร่าง’ ก็เริ่มพัฒนาหาวิธีทำลายล้างและหยุดเรื่องราวทั้งหมดนี้ในขณะที่โลกทั้งใบนี้กำลังติดเชื้อโดยสารก่อการกลายพันธุ์บางอย่าง มาร์ค ชายผู้เป็นโอตาคุ เกมเมอร์ และไม่ชอบออกไปสู่โลกภายนอก กลับติดแหงกอยู่ใจกลางแห่งความหายนะซึ่งดูเหนือธรรมชาติ การใช้ความคิด ความรู้ และความสามารถที่ไม่เหมือนใครและไม่เป็นไปตามแบบแผนของสังคมของเขานั้น จะทำให้เขามีชีวิตรอดไปอีกนานแค่ไหนกับหายนะที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดซอมบี้ การเปลี่ยนแปลงต่างๆ และผู้คนชั่วร้ายสารเลวในฐานะผู้ที่ยังรอดชีวิตอยู่ในประเทศบ้านเมืองที่มีประชากรล้นเหลือแบบนี้

Comment

Options

not work with dark mode
Reset