ตอนที่ 22 : บทสนทนาไร้สาระกับการแนะนำตัว
ในที่สุดแองเจและคนอื่นๆนั้นต่างก็รู้สึกโล่งใจเมื่อพวกเขาไดเเห็นมาร์คผู้ซึ่งกำลังเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียอยู่ เขาก็ได้มาถึงบนดาดฟ้าอย่างปลอดภัย พวกเขาพุ่งเข้าไปหามาร์คเป็นการต้อนรับและขอบคุณทุกอย่างสำหรับที่เขาได้ทำให้ แต่พวกเขาก็ต่างตื่นตระหนกขึ้นก่อนที่จะได้เข้าไปถึงตัวมาร์ค พวกเขาเห็นมาร์คทรุดเข่าลงไปและตัวสั่นด้วยความเจ็บปวด
พวกเขาทั้งหมดในกลุ่มวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม และแองเจเป็นคนแรกที่เห็นถึงความเจ็บปวดของมาร์คและเห็นว่ามาร์คนั้นก็เป็นห่วงกังวลถึงเหมย
“คุณโอเคใช่มั้ย ?”
แองเจถามมาร์ค แ่ต่ก็ได้คำถามที่ประชดประชันกลับมา
“แหม่ ‘แค่กๆ’ ใช่ ฉันดูโอเคสำหรับเธอมั้ง? ”
แองเจรู้ตัวว่านั่นเป็นคำถามที่โง่มาก
ในขณะเดียวกันพอลลาก็ได้วิ่งมาถึง ในขณะที่ตามมาด้วยแม่เด็กที่อุ้มลูกของเธอมาด้วย หลังจากนั้นพนักงานทำความสะอาดและพนักงานชายก็มาถึง
“เกิดอะไรขึ้น?”
พอลลาถาม
มาร์คมองไปที่เธอแต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามใดๆ แต่เขากลับ….
“เอากระเป๋าฉันไป… ไม่ เปิดกระเป๋าสะพายและเอากระเป๋าเล็กข้างๆในออกมา และเอาน้ำให้ฉันดื่มหน่อย” เขากล่าว
พอลลาและแองเจได้ยินเขา พอลลาพยักหน้าให้แองเจและบอกเธอให้เอาสิ่งที่เขาต้องการออกมา
แองเจถอยไปตรงที่ที่เขานั่งก่อนหน้านี้เพราะว่ากระเป๋าอยู่ข้างๆกำลังแพงแถวนั้น เธอเปิดกระเป๋ามาร์คเพื่อหาสิ่งของโดยทันที แต่เธอก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ
เมื่อสังเกตุได้ว่าแองเจไม่ขยับเขยื้อน และยืนอยู่ตรงหน้ากระเป๋าของมาร์ค พอลลาก็ได้ตะโกนขึ้นมา
“แองเจ! เร็วเข้า!”
“อะ โอเค!”
เมื่อได้ยินเพื่อนของเธอตะโกนมา แองเจก็หากระเป๋าใบเล็กที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย เธอก็เจอกระเป๋าหนังใบเล็กทันที ในเมื่อมันไม่มีกระเป๋าใบอื่นๆอยู่ข้างในยกเว้นถุงพลาสติกที่เต็มไปด้วยขนมและเครื่องดื่ม เธอก็นำกระเป๋าหนังนั้นออกมาก่อนที่จะได้หยิบขวดน้ำเปล่าและเอาไปให้มาร์ค
ภายใต้สายตาที่เป็นกังวลของพวกเหล่าผู้หญิงและพนักงานชาย และความอยากรู้อยากเห็นของพนักงานทำความสะอาดสามคนนั้นที่ไม่คุ้นเคยและชินกับมาร์ค มาร์คก็ได้เอากล่องยาออกมาจากกระเป๋าที่มีหลายช่อง ช่องกล่องยานั้นก็ได้ว่างเปล่าอยู่หลายช่อง ในขณะนั้นแคปซูลยาก็หยิบออกมาได้ยาก เขาเอายาออกมาหนึ่งเม็ดและเอาเข้าปากก่อนที่จะได้ดื่มน้ำตาม ขวดน้ำเปล่าแทบหมดไปภายในทีเดียวเมื่อเข้าได้ดื่มมัน
มาร์คก็ได้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากได้ดื่มน้ำเข้าไป แต่เขาก็ยังคงไม่สามารถขยับร่างกายอะไรได้มากเท่าไหร่ เนื่องจากความเจ็บปวดและอาการเกร็งกล้ามเนื้อของเขาก็ยังไม่ได้มีการลดลง แม้ว่าเขาจะได้กินยาเข้าไปช่วยแล้ว
“แค่ปล่อยให้ฉันได้พักแปปนึง”
เขานั่งลงและพิงหลังไปกับกำแพง จากนั้นเขาก็หลับตาลงและค่อยๆหายใจเข้าอย่างลึกๆ
เมื่อเห้นเขาหลับตา คนรอบๆตัวเขาก็ตัดสินใจที่จะให้เวลาเขาได้พัก และพวกเขาก็ได้พักเฝ้าอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ๆมาร์ค
คนที่ยังอยู่กับมาร์คก็เหลือเพียงแค่เหมยที่ยังจับมือขวาของมาร์คเอาไว้ ในขณะเดียวกันเธอก็ได้นั่งอยู่ข้างๆมาร์คโดยที่เธอคอยเป็นห่วงเป็นใบ
แองเจและพอลลาก็คอยหันมาดูเขา ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้กังวลว่าเขานั้นอาจจะถูกกัดไปแล้วและกำลังจะกลายเป็นซอมบี้ แต่พวกเขาก็ได้เลิกคิดไปหลังจากนั้น พวกเขาเคยเห็นเพื่อนๆของพวกเขาแปลงร่างเป็นซอมบี้โดยใช้เวลาไม่นานเมื่อถูกกัด แต่มาร์คนั้นผ่านไปหลายนาทีแล้วก็คงยังไม่เป็นอะไรและนั่งอยู่เฉยๆอย่างเงียบๆ
ในขณะที่พวกผู้หญิงกำลังคุยกัน พนักงานทำความสะอาด พนักงานชายก็ได้เข้ามารวมกลุ่มด้วย
พวกเขาต่างก็ได้มีเวลาได้พูดคุยด้วยกัน ทุกๆคนก็ได้เริ่มที่จะแนะนำตัวให้กัน
ด้วยกาลเทศะ พนักงานทำความสะอาดที่แก่ที่สุดก็ได้เริ่มแนะนำตัวเป็นคนแรก โดยการบอกชื่อของเขา
“ฉันชื่อเบอนาร์ด พวกคุณยังดูเด็กกันอยู่เลย เรียกฉันว่าลุงก็ได้นะ และคนที่นี่ส่วนมากก็ชอบที่จะเรียกฉันว่าลุง และนี่คือโจเซฟ เขาแทบจะเหมือนเป็นลูกชายของฉันไปแล้ว” เบอนาร์ดชี้ไปที่พนักงานทำความสะอาดที่ยังดูเป็นวัยรุ่นอยู่
“หมายความว่ายังไงเนี่ย?!” โจเซฟพยายามที่จะไม่ยอมรับมัน
“และนี่คือ” โจเซฟถูกเมินเฉยไป และมองไปที่พนักงานทำความสะอาดชายวัยกลางซึ่งก็ได้เริ่มแนะนำตัวเอง
“แคลวิน โรแซส”เขาได้แนะนำตัวอย่างสั้นๆ เขานั้นดูเหมือนเป็นคนที่คุยไม่ค่อยเก่ง
“ฉัน แองเจไลน์ แองเจไลน์ เพเลซ และนี่เพื่อนของฉัน พอลลา เม คลาเรง” แองเจแนะนำตัวเองและพอลลาด้วย พอลลาก้มหัวเชิงเป็นการทักทาย
ถัดไปก็คือพนักงานซึ่งดูตื่นตระหนกกะวนกะวายเมื่อเขานั้นได้แนะนำตัวต่อหน้าเหล่าพวกผู้หญิง”
“เอ่อ… ผมเฟอร์นัน ใช่ เฟอร์นัน อินาเจ”
“ฉัน เรยาห์ อิสเมล” แม่เด็กบอกชื่อของเธอออกมา และคนสุดท้ายที่ได้แนะนำตัว แน่นอนจะเป็นใครไปล่ะ นอกจาก
“มานี่สิลูก บอกชื่อลูกให้พวกเขาฟังเร็ว” เรยาห์บอกลูกสาวของเธอ
“ซาริยา!” เด็กสาวนั้นพูดชื่อของเธอออกมาอย่างเสียงดัง
“พวกเธอเป็นมุสลิมหรอ?” แองเจถามด้วยความประหลาดใจ
“ก็ใช่ ฉันเป็นมุสลิม มีอะไรผิดปกติงั้นหรอ?” เรยาห์ถามด้วยน้ำเสียงที่ดูมีปัญหา
“เอ่อ ไม่ค่ะ” แองเจเพิ่งรู้ตัวว่าเธอนั้นได้ถามสิ่งที่ดูไม่เหมาะสมออกไป
“มันก็แค่ฉันไม่ค่อยเห็นผู้หญิงที่เป็นมุสลิมที่ไม่ได้ใส่ผ้าโพกศรีษะเท่านั้นเอง”
“มันเรียกว่าฮิญาบน่ะแองเจ” พอลลาป้อนข้อมูลให้กับแองเจ
“อ่าใช่ ฮิญาบน่ะ”
พอลลาก็ได้เคาะหัวเพื่อนของเธอไปเบาๆทีนึง
เรยาห์ก็ได้ดูเศร้าหมองและตอบกลับไป
“ฉันได้ที่สวมใส่มันไปก่อนหน้านั้นต่างหาก แต่ฉันก็ได้จับมันทิ้งไป มีซอมบี้ตัวหนึ่งที่อยู่ข้างล่างมันกำลังจะจับฮิญาบของฉัน ถ้าฉันไม่ทิ้งมันออกไป ใครจะไปรู้ว่าฉันอาจจะไม่ได้มีชีวิตมายืนอยู่ตรงนี้แล้ว”
ก่อนที่บทสนทนานั้นจะเต็มไปด้วยเรื่องเหตุการณ์ร้ายๆ เบอนาร์ดก็ได้ตัดบท
“แล้วพวกเขาล่ะ?” เบอนาร์ดชี้ไปที่มาร์คและเหมย
แองเจมองไปที่พวกเขาสองคนก่อนที่จะได้ตอบกลับไป แต่ก็มีบางเรื่องบางตอนที่เธออึดอัดใจที่จะบอก เธอจึงได้เอามือเกาหัวไปพลางๆ
“เอ่อ เด็กสาวคนนั้นชื่อเหมยน่ะ คิดว่านะ มาร์คเรียกเธอแบบนั้นน่ะ ใช่มั้ย?” เมื่อเธอไม่แน่ใจ เธอก็ได้หันไปหาคนอื่นๆไปด้วย
“และเขาน่ะ…”
แองเจไม่รู้ว่าจะเล่ายังไง ตอนนี้พวกเขารู้ว่าได้ตามมาร์คมาและพวกเขาปลอดภัยก็เพราะเขาช่วยเอาไว้ นอกจากนั้นพวกเขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวมาร์คแล้ว แม้กระทั่งชื่อของมาร์ค พวกเขาไม่เคยได้ถามและเขาก็ไม่เคยได้เอ่ยออกมาเช่นกัน มาร์คเองก็ไม่เคยเอ่ยถามชื่อพวกเขา เขาก็แค่ทำสิ่งที่เขาต้องการจะทำเพียงเท่านั้น
พวกเขาคุยแลกเปลี่ยนบทสนทนากันไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นเบอนาร์ดก็ได้ถาม พวกกลุ่มวัยรุ่นนี้
“เขาคือคนที่ช่วยพวกนายเอาไว้ ใช่มั้ย? และพวกนายก็คงคิดว่าเขานั้นยังโอเคอยู่งั้นหรอ?”
“เขาควรจะเป็นแบบนั้น” พอลลาตอบกลับและแองเจก็ได้พยักหน้า
“ฉันหมายถึงว่า เขาไม่ได้โดนกัดมาใช่มั้ย? จากตรงนี้น่ะ ฉันเห็นคนที่อยู่ข้างล่าง หากพวกเขาโดนกัด พวกเขาก็ได้กลายร่างเป็นซอมบี้ไปด้วย”
แน่นอนว่าทุกๆคนในกลุ่มของมาร์ครู้ว่าเบอนาร์ดกำลังพูดถึงอะไร พวกเขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสองตาของพวกเขามาก่อนแล้ว
“พวกเราคิดว่าเขานั้นไม่ได้โดนกัดมาหรอก พวกเราเคยเห็นแบบนั้นมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว และถ้าหากว่าเขาโดนกัดเขาคงกลายเป็นซอมบี้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น เขาใช้เวลานานเกินไปที่จะกลายแล้ว หากว่าเขานั้นโดนกัดมาจริงๆ”
“ซอมบี้งั้นหรอ? พวกเธอแน่ใจนะ ? ” แคลวินก็ได้ถามขึ้นมาด้วยเช่นกัน
“นี่คือชื่อที่พวกเราเรียกพวกมัน” พอลลาตอบในขณะที่ก็ได้ชำเลืองสายตาไปที่มาร์คอีกครั้ง
“ฉันรู้แล้ว”
“อ่อ! มีใครมีโทรศัพท์ที่สามารถให้พวกเรายืมได้มั้ย?”
แองก็ได้พูดแทรกขึ้นมาทันทีทันทันใด เหมือนว่าเธอรู้ว่าพอลลาจะทำอะไรบางอย่าง และเธอก็ได้ถามไปที่พนักงานชายสามคนนั้น
“เราควรโทรหาใครดี? ตำรวจหรือว่าโทรหาสายด่วนฉุกเฉินดี? ”
“ทำไมถึงคิดว่าพวกเราไม่โทรล่ะ?”
เบอนาร์ดไม่ตอบแต่สะกิดโจเซฟให้เอาโทรศัพท์ของเขาออกมา เขานำโทรศัพท์ของลูกขายเขาออกมาภายใต้ความไม่ยินดีของโจเซฟ และกดหมายเลขบางอย่างก่อนที่จะโชว์หน้าจอให้แองเจดู
บนหน้าจอ มีสัญลักษณ์ขึ้นว่า “เครือข่ายไม่ว่าง”
“พวกเราพยายามได้ลองโทรหลายครั้งแล้วด้วยเบอร์โทรของแต่ละคน และโทรศัพท์ของแต่ละคน แต่ผลออกมาก็เหมือนกัน” เบอนาร์ดบอก
แองเจและคนอื่นๆก็รู้สึกผิดหวังกับสิ่งนี้
“ฉันขอถามบางสิ่งหน่อยครับ” โจเซฟพูดออกมาอย่างนอบน้อม พร้อมกับมองไปที่หน้าของพอลลา
“คุณบอกว่าเธอเป็นโรคกลัวผู้ชายใช่มั้ย ? แล้วทำไมเธอถึง– โอ๊ย!”
โจเซฟชี้ไปที่เหมยในขณะที่เขากำลังพยายามถามคำถาม แต่เขาก็ไม่สามารถถามให้จบได้เพราะเขาโดนเขกไปที่ศรีษะก่อนที่จะได้ถามให้เสร็จ
“ทำแบบนี้ทำไมเนี่ย?!” เขาตำหนิไปที่พ่อของเขา
“มันใช่เรื่องที่ควรถามงั้นหรอ? นายควรถามอะไรที่มันควรจะถามหน่อย?”
แคลวินก็ได้พยักหน้าเชิงเป็นการเห็นด้วย เขาดูเหมือนว่าชินกับการทะเลาะกันของสองพ่อลูกนี้แล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ” พอลลาบอกเพื่อเป็นการหยุดสองคนนั้นไม่ให้ทะเลาะกัน
“เห็นมั้ยล่ะ!” โจเซฟยังคงต้องการที่จะโต้แย้งพ่อของเขา เขาก็ได้สะดุ้งขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อพ่อของเขาก็ได้จัดการเขกศรีษะเขาไปอีกทีหนึ่ง
“เกี่ยวกับคำถามของเขาน่ะ…”
พ่อลูกสองคู่นั้นก็รอที่จะฟังคำตอบของเธอ แม้ว่าเบอนาร์ดจะดุลูกของเขา แต่นั่นก็เพียงเพราะว่าเขารู้ที่จะควบคุมตัวเองว่าอะไรที่ควรจะถามหรือไม่ควรถาม แต่ในความจริงเขาก็ได้สงสัยเหมือนกันกับลูกของเขา
“เพราะเขาอาจจะเป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอไว้ใจ คนเดียวที่เธอไว้ใจในโลกใบนี้ ณ เวลานี้น่ะ”
พอลลาตัดสินใจที่พูดในสิ่งที่เธอคิดออกไปเกี่ยวกับนิสัยของเหมย
พวกเขายังคุยกันไปเรื่อยๆประมาณสิบนาทีก่อนที่บทสนทนาเหล่านั้นจะได้จบลง เมื่อพวกเขาได้เห็นว่ามาร์คนั้นค่อยๆยืนขึ้นอย่างอ่อนแรง และเดินตรงมาที่กลุ่มพร้อมกันกับเหมย