ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1520 ให้คำมั่นสัญญาและรักษาคำพูด

ฮิวจ์คนน้องกำลังคุยกับวัยรุ่นพวกนั้น ส่วนวินนี่ก็ยืนมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชาอยู่ข้างๆ
หลังจากลงมาจากรถฉินสือโอวก็ดันฝูงคนพวกนั้นเพื่อเปิดทางให้เขาเดิน เมื่อเข้ามามองใกล้ๆ เขาก็เห็นว่าบนพื้นมีของจำพวกแผ่นป้ายประท้วงอยู่เป็นจำนวนมาก สารวัตรโรเบิร์ตก็ยังคงประคองพุงใหญ่ๆ ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างๆ อย่างที่ทำเป็นประจำ
พอเห็นฉินสือโอว สารวัตรพุงบวมเบียร์ก็เป็นฝ่ายเข้ามาอธิบายให้เขาฟังด้วยตัวเอง “วัยรุ่นพวกนี้จะมาจับนกในเมืองของเรา พวกเขาจะจับนกจมูกหลอดหางสั้นไปขาย พวกเขาทำอย่างนั้นไม่ได้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นฉันเลยจับกุมเด็กพวกนี้มา ส่วนพวกที่เหลือเลยมาที่นี่เพื่อประท้วง นายก็รู้ ฉันกับลูกน้องจัดการเรื่องแบบนี้ไม่ได้ พวกเราจะใช้กำลังขับไล่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้”
ราวกับว่าต้องการจะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเอง สารวัตรถึงพูดเน้นคำว่า ‘จับกุม’ เป็นพิเศษ
ขณะนี้นกจมูกหลอดหางสั้นอยู่ในสถานะสัตว์ที่ไม่เป็นอันตรายและได้รับอนุญาตให้จับได้ แต่ถึงอย่างนั้นแต่กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าและสัตว์ปีกของแคนาดาก็ได้กำหนดไว้ว่าห้ามไม่ให้ผู้ใดทำการล่าสัตว์ป่าในปริมาณมาก เว้นแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากรัฐบาล
ตัวอย่างเช่นเทศกาลล่าแมวน้ำที่จะจัดขึ้นในเดือนหน้า ที่รัฐบาลได้ประกาศให้ทำได้อย่างถูกกฎหมาย ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้รัฐบริติชโคลัมเบียจะเกิดภัยพิบัติจากกวางป่าหรือมีหมูป่าระบาด ประชาชนก็ทำได้แค่ฆ่าพวกมันในลักษณะของการล่าสัตว์ธรรมดา โดยจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เฮลิคอปเตอร์หรือปืนไรเฟิลซุ่มยิงในการล่าสัตว์เหล่านั้น
แน่นอนว่าในหลายๆ ครั้งสำหรับเมืองเล็กที่อยู่ใกล้กับชายแดนอย่างเกาะแฟร์เวล กฎหมายและข้อบังคับก็ถูกละเลย ดังนั้นเมื่อไม่นานมานี้วินนี่จึงตั้งใจที่จะบังคับใช้กฎระเบียบข้อหนึ่งคือไม่อนุญาตให้ใช้ตาข่ายในการล่านก และดูท่าว่าคนพวกนี้ก็คงจะมาประท้วงเรื่องนี้นั่นเอง
ฮิวจ์คนน้องที่ดูคล้ายว่าน่าจะรู้จักกับวัยรุ่นพวกนี้กำลังโน้มน้าวให้พวกเขาออกไปจากที่นี่ซะ ทว่าพวกเขาก็ยังยืนยันที่จะประท้วงต่อ โดยได้โบกมือกำหมัดตะโกนใส่วินนี่ด้วยท่าทางดื้อรั้นอยู่เรื่อยๆ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่าทางของโรเบิร์ตถึงได้ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ ตามกฎหมายนอกจากจะขับไล่ผู้ประท้วงไม่ได้แล้ว พวกเขายังต้องทำหน้าที่คุ้มครองและป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะกันอีกด้วย
ชาวเมืองกับนักท่องเที่ยวและพ่อค้าแม่ขายบางส่วนกำลังมุงดูความขัดแย้งอยู่โดยรอบ ท่าทางของวินนี่ในตอนนี้ดูเหนื่อยหน่ายรำคาญใจเป็นอย่างมาก
ฉินสือโอวจึงส่งสายตาปลอบประโลมให้กับเธอ หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปถามฮิวจ์คนน้องว่า “คนพวกนี้เป็นอะไรเหรอ? ฉันหมายถึงตัวตนของพวกเขาน่ะ พวกเขาเป็นคนจากที่ไหน?”
คนพวกนี้มีรูปร่างท่าทางเหมือนคนดำ แต่ไม่ใช่คนดำแบบชาวแอฟริกาแท้ๆ รูปร่างหน้าตาก็พอจะหล่อเหลา คล้ายว่าบนร่างกายของพวกเขาจะมีรอยสักอยู่ด้วย แต่เป็นเพราะสีผิวจึงทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก
ฮิวจ์คนน้องพูดกับเขาอย่างจนปัญญาว่า “พวกเขาเป็นชาวเอธิโอเปีย เป็นชาวยิปซีที่เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ ในแคนาดา ให้ตายเถอะ ฉันไม่เคยเห็นคนพวกนี้ที่นครเซนต์จอห์นมาก่อนเลย พวกเขาไม่ได้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเดียว น่าจะเป็นพวกอันธพาลที่เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ที่ไหนมีโอกาสค้าขายก็ไปหาเงินที่นั่น รับมือกับคนพวกนี้ได้ยากมาก”
ประเทศเอธิโอเปียตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกาเหนือ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศด้อยพัฒนาที่สุดในโลก เป็นประเทศที่พึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก ทั้งยังมีโครงสร้างทางอุตสาหกรรมที่อ่อนแอมาก หลายปีมาเกิดนี้ความวุ่นวายภายในขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการออกนโยบายที่ไม่มีความเหมาะสมไปจนถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ สภาวะเศรษฐกิจที่ใกล้จะล่มสลาย รวมถึงการโยกย้ายถิ่นฐานของประชากร ผู้ที่สามารถอพยพย้ายถิ่นฐานได้ก็ย้ายไปจนหมดแล้ว
ด้วยปัญหาด้านการศึกษาและความสามารถเฉพาะตัว ทำให้ชาวเอธิโอเปียในอเมริกาและแคนาดาหางานได้ยากมาก ที่ฮิวจ์คนน้องเรียกพวกเขาว่าชาวยิปซีที่เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ ในแคนาดา เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง คล้ายๆ กับพวกฮิปปี้สมัยก่อนที่เร่ร่อนไปทั่วทุกที่
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวินนี่ถึงได้ปวดประสาทกับเรื่องนี้ อันธพาลพวกนี้เคยชินกับการอดมื้อกินมื้อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่กลัวทั้งนั้น พวกเขาจะทำความผิดแค่เล็กๆ น้อยๆ แต่จะไม่ทำความผิดที่มีโทษหนัก ตำรวจก็ไม่รู้จะจัดการกับพวกเขายังไงเช่นกัน สำหรับคนพวกนี้แล้วการถูกจับไปที่สถานีตำรวจถือว่าเป็นเพียงเรื่องธรรมดา วัยรุ่นเอธิโอเปียบางคนถึงกับหาเรื่องให้ตำรวจจับเพื่อจะได้เข้าไปกินข้าวคุก พอกินอิ่มแล้วก็ค่อยออกมาใหม่
มีผู้ประท้วงทั้งหมดอยู่ประมาณสิบกว่าคน ซึ่งเป็นเด็กวัยรุ่นทั้งหมด พอเห็นว่าดึงดูดความสนใจให้ผู้คนมามุงดูได้มากขนาดนี้ พวกเด็กวัยรุ่นก็ตื่นเต้นดีใจมาก ทีแรกพวกเขาแค่ยกป้ายประท้วงเพียงอย่างเดียว ทว่าตอนนี้กลับมีผู้ประท้วงบางส่วนที่เริ่มจะยกแขนยกขาก่อเหตุวิวาท
ฉินสือโอวที่ได้เห็นอย่างนี้ก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เมื่อก่อนตอนที่ทำงานในฝ่ายบุคคลเขาก็เคยรับมือกับกลุ่มคนงานที่ดีแต่โทษบริษัทมาก่อนเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงมีวิธีที่จะจัดการกับคนพวกนี้
เดินไปตรงหน้าวัยเหล่ารุ่นเหล่านั้น ฉินสือโอวถามพวกเขาว่า “เฮ้ ฉันขอถามหน่อยนะ ใครเป็นลูกพี่ของพวกนายเหรอ?”
เด็กวัยรุ่นถักผมเดรดล็อกมองเขาตาขวาง แล้วจึงพูดกับเขาด้วยทักษะภาษาอังกฤษที่ไม่แข็งแรงว่า “ฟัคยู พูดช้าๆ สิวะ ฟังไม่รู้เรื่องโว้ย”
“ใครเป็นลูกพี่ของพวกนาย?” ฉินสือโอวไม่ถือสาเอาความที่ถูกแสดงกิริยาหยาบคายใส่ แต่กลับเอ่ยถามอีกครั้งพร้อมกับแย้มรอยยิ้ม
“ฉันเอง มีอะไรไหม?” เด็กถักเดรดล็อกพูดอย่างเหยียดหยาม ท่าทีจองหองแบบนั้นทำให้เบิร์ดและคนอื่นๆ ที่ยืนดูอยู่ข้างหลังเกิดอาการคันไม้คันมือจนพากันกำหมัดรอคำสั่งให้พวกเขาเข้าไปจัดการเด็กพวกนั้น
ฉินสือโอวจะให้คนไปกระทืบพวกเขาก็ได้ ตำรวจที่เมืองนี้คงไม่เข้ามายุ่งอยู่แล้ว แถมคนพวกนี้ก็ไม่มีเงินจ้างทนายมาช่วยทำเรื่องฟ้องร้องอีกต่างหาก เพียงแต่ว่าเขายังมีวิธีอื่นอีก เป็นวิธีที่ง่ายยิ่งกว่านั้น
เขาเข้าไปหาคนดำอีกคนแล้วถามเขาว่า “ใครพานายมาก่อความวุ่นวายที่นี่?”
ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษเท่าไรนัก จิตใต้สำนึกจึงสั่งให้เขาหันไปหาชายวัยกลางคนหัวโล้นคนหนึ่ง แบบนี้ฉินสือโอวก็รู้แล้วว่าคนที่พาพวกเขามาก็คือชายวัยกลางคนคนนั้นนั่นเอง
ล้วงกระเป๋าตังค์ออกมา ฉินสือโอวหยิบเงินออกมาปึกหนึ่ง เขาชี้ไปที่ชายวัยกลางคนพร้อมกับพูดว่า “ไปต่อยเขา! ใครต่อยได้แรงที่สุดฉันจะให้เงินคนนั้นหนึ่งพันดอลลาร์!”
คนดำสิบกว่าคนที่กำลังส่งเสียงงึมๆ งำๆ ก็พากันหยุดมือโดยไม่ได้นัดหมาย ฉินสือโอวจึงควักเงินออกมาอีกปึกหนึ่ง เขาชี้ไปที่ชายวัยกลางคนคนนั้นอีกพร้อมกับพูดเสียงดังว่า “ต่อยเขาซะ! ต่อยเขาแรงๆ! ฉันมีรางวัลให้!”
พวกคนดำเผลอหันไปทางชายคนนั้น ชายวัยกลางคนก็เริ่มเกิดความหวาดกลัวบ้างแล้ว ตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้างขึ้น เขาตวาดเป็นภาษาที่ฉินสือโอวไม่รู้จักออกมาอย่างดัง
ฉินสือโอวแบ่งเงินก้อนนั้นออกเป็นสองสามส่วน หลังจากนั้นก็ม้วนมันแล้วยัดใส่มือพวกคนดำที่อยู่ทางด้านหน้าแล้วตะโกนว่า “ต่อยไอ้**นั่น! ใครต่อยแรงที่สุด ฉันจะยกเงินพวกนี้ให้หมดเลย!”
เมื่อได้เงินแล้ว สีหน้าท่าทางของคนดำพวกนั้นก็เปลี่ยนไปโดยพลัน วัยรุ่นถักผมเดรดล็อกริมฝีปากหนาๆ แล้วกำหมัดพุ่งเข้าไปชกหน้าชายวัยกลางคนคนนั้นเป็นคนแรก
ทว่าชายคนนั้นดันเป็นนักสู้มือฉมัง พอหลบหมัดของเด็กถักเดรดล็อกได้แล้วเขาก็เตะสวนกลับไปจนทำให้ฝ่ายตรงข้ามล้มลงไปที่พื้น แต่เมื่อมีคนเริ่มแล้วคนอื่นๆ ที่เหลือก็ถูกปลุกปั่นให้ทยอยลงมือตาม คนดำสิบกว่าคนพากันล้อมชายวัยกลางคนคนนั้นไว้ พวกนั้นผลักเขาให้ล้มหลังจากนั้นก็ทั้งเตะทั้งกระทืบเขา
เป็นอย่างที่ฮิวจ์คนนองว่าไว้จริงๆ คนพวกนี้ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันทั้งหมด หลังจากชายวัยกลางคนถูกรุมกระทืบลูกน้องของเขาก็รีบเข้ามาคุ้มกันแล้วลงมือตอบโต้กลับทันที เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดความยุ่งเหยิงขึ้นในกลุ่มคนดำ
ผู้คนที่อยู่แถวนั้นจึงพากันเข้ามามุงดู รวมถึงโรเบิร์ตเองก็ยื่นคอเข้าไปผสมโรงสร้างความวุ่นวายแล้วเช่นกัน นี่ทำให้ฉินสือโอวโมโหจนทนไม่ไหว เขาดึงโรเบิร์ตแล้วพูดด้วยความโมโหว่า “คุณมัวแต่มองดูอยู่ทำไม? พวกเขาเข้ามาก่อเรื่องวิวาทในเมืองนี้ พวกคุณยังไม่รีบจับพวกเขาอีกเหรอ อย่าบอกนะว่าพวกคุณไม่มีอำนาจจับพวกนั้นในข้อหาทะเลาะวิวาท?”
โรเบิร์ตเริ่มรู้สึกตัวแล้ว เขารีบพยักหน้าแล้วตอบฉินสือโอวว่า “นายพูดถูก นายพูดถูกแล้ว…”
เขาขยับเข็มขัดหนังเล็กน้อย แล้วจึงสั่งให้ลูกน้องสองคนเข้าไปจับกุมพวกคนดำที่กำลังตีกันอยู่ ปรากฏว่าตอนนี้ชาวเอธิโอเปียต่างก็นอตหลุดจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้ว พอตำรวจทั้งสองนายเข้าไปใกล้ก็ถูกพวกเขาผลักลงกับพื้นทันที
โรเบิร์ตจึงรีบชักปืนออกมา เขาลั่นไกยิงปืนขึ้นไปบนฟ้า เมื่อเสียงปืนดังขึ้น พวกคนดำก็คุกเข่าลงทันที ในคราวนี้ถึงจะสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้
โรเบิร์ตเรียกรถตำรวจให้มาที่นี่อีกสองคัน ต้องใช้รถตำรวจทั้งหมดสามคันถึงจะสามารถควบคุมตัวคนพวกนี้ไปได้หมด
ท้ายที่สุดฉินสือโอวก็ทำรักษาคำพูดของตัวเอง เขานำเงินไปยัดให้วัยรุ่นคนหนึ่งที่มีเลือดไหลออกมาจากจมูกเป็นทางยาวแล้วพูดกับเขาว่า “ฉันให้นาย ไอ้หนุ่ม เมื่อกี้นายจัดการได้สวยมาก!”
………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset